Life

The Real : ‘โคจอน’ นัก Prank มือวางอันดับต้นของประเทศ กับตัวตนหลังกล้องที่จริงจังกว่าที่คุณคิด

By: GEESUCH May 20, 2023

“ถ้าพูดถึง Content Creator ที่เป็นสาย Prank ของเมืองไทยแบบจริงจัง คุณจะนึกถึงใครเป็นอันดับแรก ?”

ย้อนกลับไปเกิน 10 ปีก่อนหน้านี้ ชื่อของ สาระแนโชว์ คงถูกยกขึ้นมาพูดเป็นอันดับต้น ๆ แต่ถ้าช่วงเวลานี้ถ้าไม่พูดถึง ‘โคจอน’ นั้นถือว่าผิด ผู้ชายที่เป็นหนึ่งใน Master Of Prank ที่ทำสายนี้มาเกินกว่า 10 ปีแล้ว เป็นตำนานที่ถึงขนาดถูกเรียกด้วยฉายาว่า ‘ตำนานที่ไม่น่ามีลมหายใจ’ คิดดูว่าถ้าไม่พิเศษจริง ๆ คงไม่ได้ชื่อนี้มาอย่างแน่นอน  

อีกหนึ่งชื่อเสียงของโคจอนมาจากการเป็นพิธีกรรายการชื่อ The Very Show แต่นั่นก็เป็นอดีตเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ปัจจุบันคุณจะเห็นหน้าของโคจอนปรากฎตัวเป็นคลิปปั่น ๆ โลดแล่นอยู่ทั่วอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะ TikTok หรือ FACEBOOK แถมเขายังได้ไปร่วมงานทำรายการกับ Content Creator สายอาหารเบอร์ต้นของไทยอย่าง Wongnai อีกด้วย แต่คำถามคือ “แล้วโคจอนคือใครล่ะ ?”

ตัวตนของโคจอนเป็นปริศนามาเสมอ ไปเสิร์ชดูได้เลยแล้วคุณจะตกใจที่ไม่พบว่าเขาเคยให้สัมภาษณ์เรื่องของตัวเองเท่าไหร่ ไม่เคยเปิดเผยชื่อจริง-นามสกุลบนสื่อให้ใครรู้ และก็ต้องบอกอย่างเสียใจว่าในบทความสัมภาษณ์นี้คุณก็จะไม่ได้รู้เหมือนกัน (อ้าว!) แต่คุณจะได้รู้จักเขาในแบบที่น้อยคนที่จะรู้ (เย้!) ซึ่งขอบอกก่อนเลยว่าบทสนทนาระหว่างเรากับโคจอนยาวมากกก คุยกันเกือบ 3 ชั่วโมง โคจอนบอกกับเราว่าเขาเกิดมาเป็น ‘นัก Prank’ และถ้าไปทำอย่างอื่นก็คงไม่เก่งเท่านี้ หลังบทสนทนาจบเราเชื่อเขาทันที

คอลัมน์ The Real ชิ้นนี้ เราจะปล่อยให้โคจอนพูดทุกอย่างที่อยากพูดถึงตัวเอง ย้อนกลับไปไกลตั้งแต่ปมในวัยเด็ก / วันแรกที่เข้าสู่วงการ Youtuber ในฐานะพิธีกรของ The Very Show / สู่วันที่คลิปไวรัลสุดขีดยอดวิวแทบไม่เคยต่ำกว่าหลักแสน แต่เกือบตัดสินใจลาออกจากวงการ Prank … แล้วคุณจะพบว่าในความตลกมีความจริงจังซ่อนอยู่เสมอ ผ่านหัวข้อสำคัญที่ที่ว่า “ตัวตนของโคจอนในคลิปกับชีวิตจริงคือคนเดียวกันรึเปล่า?’


ตอนที่ 1 ขอเงินแม่ซื้อกล้องทำช่อง CoJohn แล้วไปแกล้งไม่ให้เพื่อนนอน 

‘บอส’ คือชื่อเล่นจริง ๆ ‘โคจอน’ ก็เป็นชื่อเล่นจริงเหมือนกัน หยอก ๆ โคจอนก็ต้องเป็นนามสมมติในวงการที่เขาตั้งขึ้นเองสิ (แต่ในบทความนี้เราจะขอเรียกเขาด้วยชื่อโคจอนเพื่อความจำง่าย) อ๊ะ ถึงไม่รู้ชื่อจริงอย่างน้อยก็รู้ชื่อเล่นล่ะนะ ส่วนที่มาของชื่อโคจอนนั้น เดี๋ยวให้เขาเริ่มเล่าด้วยตัวเองในบรรทัดต่อไปเลยดีกว่า

โคจอน เป็นชื่อที่มาจากตอนเริ่มต้นทำ YouTube เลย ที่ใช้ชื่อช่องว่า Cojohn (ชื่อช่องเขาเขียนเป็นภาษาอังกฤษแบบนี้) ตอนนั้นตั้งชื่อโคจอนเพื่อให้พ้องกับคำว่า ‘อโคจร’ มั้งครับถ้าจำไม่ผิด และอาจจะทำให้ชื่อเขียนด้วยภาษาอังกฤษได้ด้วยว่า John คิดว่าประมาณนั้น แต่ก็จำไม่ได้ แค่คิดว่าประมาณนี้ เพราะตั้งไวมาก ด้วยความที่เป็นเด็กมั้งเลยไม่ได้คิดอะไรเยอะ ไม่ได้คิดว่ามันต้องมีเป้าหมายอะไร

ตอนนั้นผมอยู่ประมาณปี 1 ถ้านับจากตอนนี้ก็น่าจะ 12 ปีได้ เป็นยุคที่ยังไม่มีคำว่า YouTuber เลยมั้ง น้อยคนจะรู้ว่าสามารถหารายได้จาก YouTube ได้ด้วย เพราะว่ามันยังหารายได้ไม่ได้ในตอนนั้น ประเทศไทยยังไม่มี Google มาตั้งเลย ผมก็ต้องไปผ่านเอเจนซีก่อน เขามีเอเจนซีของอเมริกาที่เอาประเทศที่ยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการ YouTube Partner สามารถมารับตังได้ แต่จะหักให้เขา 20-30% แล้วเราได้ 70% เหมือนเอาเงินไปผ่านเขาก่อนแล้วเขาค่อยมาจ่ายให้เรา หักค่านายหน้าไป ตอนนั้นก็ต้องทำ way นั้น

ถ้าจำผิดขออภัยนะ นั่นน่าจะเป็นยุคที่เพิ่งผ่าน MySpace มา Hi5 แล้วก็มีช่วงหนึ่งเป็น Social Cam ช่วงหลังจากนั้นเริ่มมี BB (Blackberry) เป็นช่วงที่มีคนเพิ่งดังจาก YouTube มาไม่กี่คนเอง แล้วยุคนั้นถ้าใครดังก็คือดังเลยนะ มันไม่ค่อยเหมือนยุคนี้ เพราะว่าตอนนั้นคนยังไม่ค่อยทำ YouTube ด้วยมั้ง เดี๋ยวนี้ดาราก็ลงมาทำ YouTube กันเต็มเลย อย่าง VRZO ก็น่าจะเป็น YouTube ที่ดังที่สุดในยุคนั้นเลย ผมก็มาพร้อม ๆ กับเขาใกล้ ๆ กัน หลังเขาหน่อยหนึ่ง

ในช่วงเวลาของปี 2556 หรือนับย้อนกลับไปจากวันนี้ประมาณ 10 ปี โคจอนได้อัพคลิป Prank สุดเรียบง่ายบน Youtube ชื่อ ‘กูไม่นอนแม่งละไอสัด (55555+)’ แต่ผลปรากฎว่าปัจจุบันมีคนดูมากถึง 12 ล้าน ! ซึ่งก็แน่นอนว่ามันเป็นคลิปที่ไวรัลมากด้วยในช่วงแรกที่ปล่อยออกมา คนที่อายุเกือบ 30 หรือ 30 ต้น ๆ น่าจะจำกันได้ดี สำหรับแฟนคลับทุกคนคงจะอยากรู้ล่ะสิว่าเรื่องราวเบื้องหลังในคลิปคืนนั้นเป็นอย่างไร เราถามโคจอนมาให้แล้ว และคำตอบของเขาสามารถทำให้เราสรุปได้ว่า ความเป็นโคจอนคงจะติดตัวของเขามาตั้งวันที่เริ่มต้นทำช่องนั่นแหละ

จริง ๆ ก่อนหน้านั้นมันอาจจะมีมาแล้วสักกี่คลิปไม่แน่ใจ (มี 2 คลิป) แต่คลิปนั้นเป็นเหมือนคลิปแจ้งเกิด

คลิปนี้มันก็ไม่มีอะไร มันคือการที่ผมมีเป้าหมายว่าผมอยากทำ YouTube แล้วเรารู้สึกเอ็นจอยกับการทำคลิป จริง ๆ มันเป็นตั้งแต่ตอนเรียนมหาลัยแล้วแหละ เราชอบทำคลิปวิดีโอหรือเล่นสนุก ๆ กับเพื่อน พอเรารู้ว่า YouTube มันได้ตังโดยเราสามารถทำคอนเทนต์สนุก ๆ กับเพื่อนและเราได้ตังไปด้วยมันเจ๋งว่ะ ก็เลยเอาวะ ก็ทำ ตอนนั้นขอตังแม่ซื้อกล้อง จำได้เลย 650D ราคาประมาณ 15,000-20,000 บอกแม่ว่าอยากได้ มันเป็นทางสว่างของผม ก็พูดไปตามประสาเด็ก 

“คนอื่นเขาอาจจะ Story เริ่มจาก 0 หรือ Start From The Bottom อะไรอย่างนี้ใช่มั้ย ผมไม่ ขอแม่เลย 555 กล้องไม่จบนะ ต่อมาแม็คบุ๊กต่ออีก”

ย้อนกลับไปตอนคลิป ‘กูไม่นอนแม่งละไอสัด (55555+)’ ตอนนั้นก็มีกล้อง แล้วไปแฮงเอาท์ที่ห้องเพื่อน ออกไปกินเหล้ากันแล้วกลับมาที่ห้องเพื่อน คอนโดมันอยู่แถวเกษตรนวมินทร์เพราะมันเรียนเกษตร เลยนอนตรงนั้นเดี๋ยวค่อยกลับตอนเช้า กลับรถเมล์เอา ผมจำไม่ได้ผมไปทำอะไรมา แต่รู้สึกว่าดึกแล้ว และจริง ๆ ผมก็ชอบป่วนคนอยู่แล้วด้วย

ต้องแยกก่อนนะผมไม่ได้เป็นคนตลกเล่นมุกนะ ผมเป็นคนที่กวนตีนคน เป้าหมายของผมตอนนั้นคือผมจะตั้งกล้องแอบ และต้องแกล้งเพื่อนไม่ให้นอน เพราะว่าผมรู้ความลับอย่างหนึ่งของการนอน คือว่าคนที่นอนแล้วมีใครไปกวน พลังที่เขาจะโต้ตอบกลับมาจะลดลงเพราะเขาง่วง เราแกล้งอะไรเขามันก็จะงัวเงีย มันไม่สามารถไล่เราได้เต็มที่หรือโกรธเราได้เต็มที่ มันได้แค่ปัดป้อง แล้วมันก็จะกลับไปนอนต่อเพราะมันง่วงไง ผมก็เลยตั้งเป้าว่าทำอย่างไรก็ได้ให้เขาไม่นอนโดยที่กวนเขาให้มากที่สุดแบบเนียน ๆ ก็เลยทำนู่นทำนี่ป่วนเขา ใช้เสียงดังบ้าง ผมจำไม่ได้ว่ามีมุกอะไรบ้าง คิดอะไรออกก็เล่น ตอนนั้นมีพูดอะไรถึงพี่บัวขาวด้วย คนยังไม่รู้จักบัวขาวแต่ผมรู้จัก ตอนนั้นพี่บัวขาวยังไม่ดังเลย

พี่ลองสังเกตหรือลองไปแกล้งเพื่อนตอนนอนได้ แกล้งอะไรที่มันไม่หนักมาก ที่มันพอรำคาญเหมือนแมลงหวี่ งุ้งงิ้ง ๆ ตามหู เขาจะไม่ Trade Off เพราะเขาคิดว่ามันไม่คุ้มที่จะตื่นขึ้นมาเต็มตัวเพื่อที่จะมาไล่เรา อันนั้นเลยเป็นจุดที่ผมสามารถแกล้งเขาตอนนอนได้ มันมีเรื่องราวเชิง Technical อยู่นะในทุกอย่างที่ผมทำ ผมก็ไม่รู้จะภูมิใจดีไหม แต่ว่าหลัง ๆ รู้สึกเหมือนจะแกล้งแรงไปหน่อยจนมันลุกขึ้นมาได้ รู้สึกมันจะเกินระดับแล้วเหมือนเราจะคุมไม่อยู่แล้ว แต่ผมจำไม่ได้แล้วว่าสุดท้ายเขาได้นอนไหม รู้สึกน่าจะได้นอนนะเพราะผมก็ได้นอน ผมอาจจะแค่ออกจากห้องไปแปบหนึ่งมั้ง แต่มันก็ไม่มีอะไร มันก็ไม่ได้โกรธอะไร มันแค่หงุดหงิด มันแค่ง่วง เพราะทุกวันนี้ก็ยังไปกินเหล้ากับเขาอยู่ ยังนัดกันทุกอาทิตย์เพราะเป็นเพื่อนตอนมัธยม แต่ช่วงครึ่งปีมานี้ก็จะไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไรเพราะยุ่ง เขาก็ยุ่ง ไม่ได้ฝังใจนะ 555


ตอนที่ 2 ชีวิตมัธยมสีหม่นของเด็กชายบอส

 

ไหน ๆ ก็ได้มาคุยกับตำนานที่ไม่น่ามีลมหายใจทั้งที แถม UNLOCKMEN ก็เป็นแฟนคลับของเขาด้วย เราอยากรู้ว่าขุมพลังความคิดสร้างสรรค์ในการแกล้งคนของโคจอนมีจุดเริ่มต้นมาจากตรงไหน บทสนทนาในตอนนี้จึงจะพูดถึงปูมหลังครอบครัวของโคจอน โดยที่เขาขอเล่าย้อนไปไกลตั้งแต่อนุบาล (ไกลจริง)

ที่ผมพูดไปก่อนหน้านี้ว่าขอเงินแม่ จริง ๆ ผมขอแค่ตรงนั้นแหละ ผมไม่ค่อยได้ขอเงินแม่เยอะ และผมไม่ใช่ครอบครัวที่รวย เป็นครอบครัวระดับปานกลางค่อนไปทางล่าง เดี๋ยวคนก็จะหมั่นไส้ว่าล่างจริงเหรอ แต่ใช่ ปานกลางค่อนไปทางล่าง

ตอนประถมผมเรียนโรงเรียนวัด เราก็นึกว่าเราเก่งมากเลย ได้อันดับต้น ๆ ของห้อง อยู่ห้องเหมือนเป็นห้อง Gifted ซึ่งเขาเรียกว่า ‘ห้องปฏิรูป’ เป็นห้องโครงการพิเศษ ห้องอื่นเขานั่งเก้าอี้ไม้เรียนกัน อันนี้นั่งพื้นแบบโต๊ะจีนเลย เหมือนเขาอยากให้เด็กได้ประสบการณ์เรียนแบบใหม่ แล้วแบบการเรียนแบบใหม่ในยุคนั้น เป็นเหมือน Experimental ง่าย ๆ ว่าเป็นห้องที่หล่อที่สุดในโรงเรียน เราเก่ง แล้วผมก็เรียนเก่งลำดับต้น ๆ เลย คิดว่าเราเก่งมากแล้วแหละตอนอยู่โรงเรียนนั้น

พอขึ้นมัธยมต้องไปสอบเข้า พ่อแม่ก็อยากให้เข้าโรงเรียนที่ดี ๆ ไปดูไว้หลายที่มาก พ่อแม่เครียดนอนไม่หลับเลย ก็ไปสอบเข้า ‘โรงเรียนโยธินบูรณะ’ ซึ่งตอนนั้นถือว่าเป็นโรงเรียนท็อป จริง ๆ ตอนนี้ก็อาจจะยังท็อปอยู่มั้ง ท็อปแบบอย่างน้อยต้องมีท็อป 5 ท็อป 10 เราเข้าไปสอบ English Program แล้วผลสอบออกมา 49/200 คือแย่มาก ประมาณท้าย ๆ ของเด็กที่มาสอบ ตอนนั้นคือแบบ “เฮ้ย กูก็โง่นี่หว่า” เรานึกว่าเราฉลาดไง แต่จริง ๆ พอออกไปโลกกว้างแล้วมันมีคนที่เก่งกว่าเราเยอะมาก เราเป็นแค่แมลงตัวเล็ก ๆ ในโลกอันกว้างใหญ่ เพราะที่นั่นคือเด็กโอลิมปิกส์หมดเลย เรามาจากโรงเรียนวัด เราไม่รู้เลยว่าจริง ๆ มีคนเก่งกว่าเราเยอะมาก”

“จริง ๆ ถ้าผมเล่าจะยาวนะ แต่ว่าขอเล่าหน่อยละกัน”

สรุปก็สอบเข้าไม่ได้ เครียดมาก เราก็ไปสอบอีกหลายที่ พ่อแม่ผมเขาคาดหวังกับผมมาก เขาอยากให้ผมได้เรียนดี ๆ อาจเพื่อเติมเต็มที่ว่าเขาไม่ได้เรียนสูง พ่อน่าจะจบปวช. แม่น่าจะจบแค่ปริญญาตรี เพราะอย่างนั้นเขาเลยเครียดนอนไม่หลับ ต้องกินยานอนหลับเลย เขาก็ไปหาที่ใหม่ สุดท้ายจับพลัดจับผลูก็ได้เข้าโยธินบูรณะด้วยวิธีการสายมืดนิดหนึ่ง ง่าย ๆ ก็คือมีการจ่ายใต้โต๊ะ เสียเงินเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด แต่สิ่งที่ไม่ได้คาดหวังก็คือว่ามันดีเกินไปสำหรับผม คือเสือกได้อยู่ห้อง King เลย เพราะมันมีคนสละสิทธิ์ 

ตอนแรกผมยังไม่รู้ถึงความฉิบหาย-ฉิบหายแบบของจริง คิดดูว่าผมคือคนโง่คนหนึ่งที่ยังไม่สามารถเทียบกับห้องท้ายตารางของโรงเรียนโยธินบูรณะ แต่ผมได้อยู่ห้อง King กับเด็กโอลิมปิกส์ เด็กคณิตศาสตร์ เด็กที่แบบว่าได้เกรด 3.99 แล้วเอาหัวโขกโต๊ะ พอเข้าไปเราก็ปรับตัวกับเขาไม่ได้ พูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งยังไม่ได้เลย เพราะครูสอนเป็นภาษาอังกฤษหมดทุกอย่าง ครูฝรั่งเยอะมากมีครูไทยอยู่ไม่กี่คนเอง เนื้อหาทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษหมด เราก็ไม่รู้ด้วยว่าเราไม่เก่ง ทีแรกเรายังผยองหยิ่งผยองในตัวว่า “กูเก่ง” แต่กลายเป็นว่ามันไม่ใช่เลย 

มันเลยทำให้เราไม่สามารถเข้ากับใครได้ ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนสนใจ และก็โดนแกล้งด้วย แต่เราเป็นพวกไม่อยากให้เขารู้สึกแย่กับเรา เราก็เลยยิ้มสู้ เราไม่อยากให้เขาเห็นเราร้องไห้ก็เลยยิ้ม เขาก็แกล้ง ชอบมารุมเหมือนผมเป็นตัวตลก จับแก้ผ้า หรือมีหนัก ๆ ก็ขโมยรองเท้า เดินกลับบ้านเท้าเดียว จริง ๆ ตรงนั้นก็ยังไม่ค่อยเท่าไรนะ

แต่สิ่งที่ผมรู้สึกไม่ดีจริง ๆ ก็คือการที่ทุกครั้งที่มีงานกลุ่ม ผมจะเป็นคนเดียวที่เหมือนกับไม่มีตัวตนในห้องนั้นเลย มันไม่มีใครเอาผมเข้ากลุ่มเลย เขาทำเหมือนผมไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้นน่ะ เหมือนผมเป็นขยะชิ้นหนึ่ง แม้แต่อาจารย์เองก็ทำเหมือนผมไม่มีตัวตน พอผมไปขอเข้ากลุ่มเขาก็บอกกลุ่มนี้เต็มแล้วลองไปถามกลุ่มอื่น ไม่มีใครเอาผมเข้ากลุ่ม ผมไม่มีปัญหากับการทำงานคนเดียวนะ ผมทำได้ 

“แต่สิ่งที่ผมรู้สึกไม่โอเคและรู้สึกเศร้าคือทุกคนทำเหมือนผมไม่มีตัวตน” 

มันเป็นอะไรที่เศร้ามากที่เราเป็นเหมือนสิ่งที่ไร้ค่าในสายตาคนอื่น ลองคิดภาพตามนะครับ ทุกคนทั้งห้องเฮฮา ทำงานกลุ่มสนุกสนาน ผมนั่งอึนคนเดียวและอาจารย์ก็ไม่ช่วยอะไรทั้ง ๆ ที่อาจารย์ก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร มันก็เลยทำให้ผมเป็นคนเก็บกดมั้ง แต่นี่ไม่เกี่ยวกับเรื่องการที่ผมมาสาย Prank นะ ที่ผมแกล้งใครทุกวันนี้ผมแกล้งด้วยความรัก ผมไม่ได้แกล้งแบบบูลลี่ คือมันมีเลเวลของมัน ที่เล่าอันนี้ไม่เกี่ยวกับพาร์ทงาน แต่ว่าจะให้เห็นว่าชีวิตผมมันขมขื่นอย่างไร มันขมขื่นมากเพราะมันทำให้ผมเป็นคนเก็บกดในเรื่องความไม่ถูกต้องจนถึงทุกวันนี้ ผมจึงคิดว่าเรื่องบูลลี่เป็นเรื่องที่หนักมาก มันไม่ได้บูลลี่แค่ตอนนั้นแล้วแผลจะหายแล้วจบไป มันเป็นเรื่องที่อยู่กับเราไปตลอดเรื่อย ๆ มันทำให้ผมเป็นคนที่มีแผลในใจ มีความเก็บกด ทำให้มันต้องไปลงกับเรื่องอื่น

นั่นคือสภาพแวดล้อมตอน ม.1 ที่ทำให้ผมไม่มีเพื่อน รู้สึกเศร้ามาก และก็เป็นแบบนี้ทั้ง ม.2 และ ม.3 แต่พอขึ้น ม.2 ผมก็ตกไปห้องท้าย ๆ แล้ว ตกไปห้องท้ายอันดับท้ายด้วย มีนักเรียน 30 คน ผมได้ที่ 30 คือเหี้ยสุดในโปรแกรมเลย ปัญหามันไม่ใช่ว่าผมเรียนได้ที่โหล่หรือเรียนยาก หรืออ่านภาษาอังกฤษไม่ออกนะ ปัญหาคือผมไม่สามารถเข้ากับใครได้และทุกคนทำเหมือนผมเป็นสิ่งไร้ค่า ตั้งแต่นั้นมาผมจึงตั้งปณิธานตั้งเป้า ว่าถ้าเราไม่ชอบอะไรเราจะไม่ทำแบบนี้กับใคร อันนี้จริง ๆ ก็เป็นสิ่งที่พ่อแม่ผมสอนมาว่าถ้าเราไม่ชอบอะไรอย่าทำแบบนั้น ยกเว้นเรื่องแกล้งคนแล้วกัน 555 

ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มไต่อันดับมาเรื่อย ๆ จนมาอยู่อันดับกลาง ๆ แต่ก็ยังอยู่ห้องท้ายนะ อยู่ห้องสายศิลป์คำนวณแต่เรียนได้ลำดับกลาง ๆ ห้อง ไม่ได้แย่มาก ยังพอเกาะกลุ่มกับเขาได้ถ้าเทียบกับตอน ม.1 กับ ม.2 ที่เกาะกลุ่มกับใครไม่ได้เลย เริ่มเก่งขึ้น เริ่มเข้ากับเพื่อนได้มากขึ้น โดนแกล้งน้อยลง


ตอนที่ 3 The Very Show ตอน กำเนิดโคจอน

ตอนคุยกันถึงตรงนี้ เราเชื่อเลยว่าเพราะช่วงเวลาของมัธยมที่โคจอนเป็น No Body แบบที่เหมือนถูกสังคมรังแก ทำให้เขาเป็น Content Creator สาย Prank ที่แคร์ความรู้สึกของคนมาก เราแทบจะไม่เคยได้ยินข่าวเสียจากคลิปของเขาเลยสักครั้ง … เรื่องราวต่อจากนี้ ถึงทุกคนที่ทันช่อง Very และรายการ The Very Show นี่คือ Day 1 ของการเป็นโคจอนของพวกคุณครับ

พอเข้ามหาวิทยาลัย ผมเข้าศิลปากร ตอนนั้นเก่งฉิบหาย เก่งแบบทำไมกูเก่งจังวะ เหมือนผมกลายเป็นกัปตันทีม คือผมก็ไม่ใช่คนที่ตั้งใจเรียนอะไร แต่ด้วยความที่เราเจอสภาพแวดล้อมที่ยาก มีแต่การแข่งขันมีแต่คนเก่งมาโดยตลอด มันเลยทำให้พอเราเข้ามหาวิทยาลัยคณะการโรงแรม (Hotel Management) ภาคอินเตอร์ของศิลปากร ก็เลยกลายเป็นว่าเราเก่งกว่าคนทั่วไปพอสมควร แต่ไม่ได้เทียบกับตัวท็อปของเขาได้นะ แต่ว่าอย่างน้อยในแก๊งผู้ชายที่กินเหล้าด้วยกัน ผมไม่ได้อยู่แก๊งที่เป็นเด็กเรียนมาก และเรามีเป้าหมายว่าจะไม่ทำอย่างที่เจอมาตอนมัธยมกับใคร เพราะฉะนั้นผมเลยกลายเป็นตัวแบกของทีม คนที่ไม่เก่งก็มาเข้าทีมด้วย ผมเลยกลายเป็นเชิงหัวหน้าคอยช่วย เป็นคนที่ไม่ทิ้งเพื่อน ถ้าเป็นตอนมัธยมนะ พวกเพื่อนผมที่เสเพลพวกนี้มันไม่ได้อยู่กลุ่มใครแน่นอนเพราะมันไม่ทำงานอะไรเลย แต่ผมก็มีเป้าหมายว่าผมจะไม่ทำแบบนั้นกับใคร

ช่วงที่ทุกคนรอคอยเริ่มในบรรทัดต่อไป มันคือช่วงก่อนเรียนจบศิลปากรของโคจอน สิ่งที่เซอไพรส์เรามากที่สุดคือเขาเดินเข้าทำงานสายโปรดัคชั่น โดยการที่พกแค่แพชชั่นในกระเป๋ากางเกงข้างซ้าย ส่วนข้างขวาเหมือนจะมีพรสวรรค์ถูกซุกอยู่ในนั้น 

ผมไม่ได้เกี่ยวกับสายโปรดัคชั่นเลยนะ ไม่ได้เรียนนิเทศด้วย ไม่ได้เรียนอะไรที่เกี่ยวกับกล้องเลย เราแค่ชอบถ่ายคลิปในมือถือ และเรามีเป้าหมายของเรา และเราก็รู้ว่าถ้าเป็นคนดังจะสามารถประสบความสำเร็จได้ เพดานมันสูงกว่ามนุษย์ออฟฟิศ ด้วยความเป็นเด็กเลยคิดแบบนั้น

ผมก็ฝึกทุกอย่างเอง อย่างที่บอกไปว่า ตอนนั้นได้รับเงินสนับสนุนจากพ่อแม่เรียกได้ว่าไป Crowdfunding มาส่วนหนึ่ง ก็ซื้อ MacBook Pro 2011 ซึ่งยังใช้ปั่นงานส่งลูกค้าถึงทุกวันนี้อยู่เลย เราก็ฝึกมาเรื่อย ๆ ดูใน YouTube ดูพวกคลิปต่างประเทศ ผมว่ามันเป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่ผมฟังภาษาอังกฤษได้ เพราะว่าองค์ความรู้ใน YouTube ถ้าฟังภาษาอังกฤษออกมันมีเยอะมาก ของไทยมันอาจจะยังไม่เยอะ ในยุคนั้นจะหา Tutorial ของไทยมันไม่ค่อยมี มีน้อยและหายากหรือบางอย่างที่ลึกจริง ๆ มันอาจจะยังได้ไม่ครบ ทุกวันนี้ผมยังรู้สึกว่าถ้าคุณอยากทำอะไรก็แล้วแต่ต่อให้ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยมา ไม่ได้จบทางนั้นมายังทำได้เลย ถ้าคุณตั้งใจ อยากทำ ทุกอย่างมันมีองค์ความรู้อยู่ในเน็ตอยู่แล้ว ผมก็เลยอยากฝากไว้เป็นข้อคิดหน่อยว่าภาษาอังกฤษสำคัญมาก จะทำให้เข้าถึงองค์ความรู้ที่เยอะมากไม่ว่าจะอยากทำอะไรก็ตาม 

แต่ตอนนั้นเรามีคิดว่าอยากเป็นเชฟด้วย ก็เลยเข้าคณะการโรงแรม ก็ตอนนั้นไม่ได้คิดอยากเรียนนิเทศหรืออะไรที่เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย เพราะมองว่าเป็นแค่งานอดิเรก มันเป็นแค่ความชอบส่วนตัว แต่พอทำแล้วคลิปดัง คลิป ‘กูไม่นอนแม่งละไอสัด (55555+)’ นั่นแหละ ตอนนั้นมันดังเพราะว่าเพื่อนผมเอาไปลงเว็บ Soccer Suck ให้ ตอนนั้นถ้าจะโปรโมทอะไรก็ต้อง Soccer Suck ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม พอดังก็มีกำลังใจในการทำคลิปมากขึ้น ก็ทำมาเรื่อย ๆ ก็เลยไม่ได้ไปทำการโรงแรม มันประจวบเหมาะกับที่ว่าพอผมจะจบปี 4 ทาง Very เขาดึงตัวผมไปเลย

สำหรับคนที่ไม่ทัน VERY TV : นอกจากขาที่เป็นโปรโมเตอร์จัดคอนเสิร์ตของ Very Entertaintment ในชื่อ THE VERY COMPANY แล้ว ทาง Very เคยมี VERY TV เป็นช่องทางสำหรับผลิตสื่อรายการโทรทัศน์อยู่ในช่องของ True Vision นอกจากรายการ The Very Show ก็มีรายการไลฟ์สไตล์โดดเด่นมากมาย โดยเฉพาะรายการที่เกี่ยวกับดนตรี Super Duper Hits / Sakura Sunday / Very Special / Cheeze TV D.I.Y. / ซึ่ง VERY TV ยุติการออกอากาศไปแล้วตั้งแต่ปี 2564   

ตอนนั้น Very มาจีบให้ไปแคสติ้งดูก่อนลองสกิลพิธีกร ลองหน้ากล้อง ตอนเข้าไปใหญ่มาก ตอนนั้นออฟฟิศอยู่ที่ทองหล่อ มีพนักงาน มีโปรดิวเซอร์ มีฝ่ายคอสตูม มีไฟมีอะไร เราไม่เคยอยู่ในโปรดัคชั่นแบบนี้มาก่อน มันใหญ่มาก เราก็เป็นเด็กไม่มีสกิลพิธีกรด้วย อยู่ใน Very ก็ได้ไปขัดเกลาสกิลพิธีกร ได้เป็นเหมือน VJ ในช่องพูดเข้ารายการเพลง ตอนนั้นได้ทำอย่างนั้น

เอาจริง ๆ ตอนที่แคสติ้งไม่เชิงว่าแคสติ้งไม่ผ่านนะ แต่แคสติ้งแล้วเขาหายไปประมาณครึ่งปีแล้วอยู่ดี ๆ เขาก็โทรกลับมาตาม แล้วก็ไปลองกันเลยเทปแรกอีกวันหลังจากวันนั้น ก็คือพี่น็อตที่เป็นช่างกล้องปัจจุบันผมตอนนี้นี่แหละ พี่เขาติดต่อมา แล้วคุยกันว่าจะทำอะไรกันดี แล้วก็กลายมาเป็นคลิปแรก คลิปชื่อประมาณว่า ‘เที่ยว BTS 0 บาท’ อะไรประมาณนี้ เหมือนกับไป BTS โดยไม่ใช้ตังสักบาทในช่อง Very TV เป็นรายการชื่อ ‘The Very TV Show’

อย่าเพิ่งสับสนนะ รายการแจ้งเกิดผมคือ The Very Show แต่ The Very TV Show เป็นของทาง Very ที่ผมเป็นเหมือนคนแสดงซะมากกว่า หลังจากทำอันนั้นได้สักพัก 1-2 ปีถึงค่อยมาเปลี่ยนช่องเป็น The Very Show ทำเป็นช่องแยกโดยผมคุมเองหมดเลย จริง ๆ ที่นั่นเขามีคนตัดต่อให้ด้วยแต่ผมไม่ถูกใจ เขาตัดในแนวหนึ่ง แต่ผมเป็นแนวกึ่ง Perfectionist หน่อยหนึ่ง ผมตัดละเอียดมากในทุกจุด ผมไม่สามารถบอกคนตัดต่อได้ว่าจุดนี้ต้องตัดแบบนี้ มันมีเป็นร้อยเป็นพันจุดเราจะบอกเขาได้ไง แล้วเขาก็ต้อง Improvise ได้ด้วย แต่พอ Improvise มาให้มันก็ไม่ถูกใจผมอีก ก็เลยรู้สึกว่าผมต้องทำเอง สรุปผมทำเองหมดเลย เป็น VJ, Producer, Creative, ตัดต่อเองอีก บางเทปถ้าถ่ายเองได้คงถ่ายเองแล้ว เวลาที่ช่างกล้องไม่ว่างผมจะหงุดหงิดมากเลย เราอยากเป็น all in one service จบเองได้ทุกอย่าง

ต้องบอกว่าผมชอบการตัดต่อโดยส่วนตัวอยู่แล้ว เพราะนั่งตัดต่อไปก็ขำไป ผมไม่รู้คนอื่นเป็นเหมือนกันไหม ผมนั่งตัดต่อไปแล้วผมขำคลิปตัวเอง แต่ผมขำตอนตัดแล้วก็จบเลยนะ เพราะตอนตัดมันหลายรอบมาก มันต้องดูประมาณเป็นร้อยรอบ พอเอามาลงเราก็ไม่รู้แล้วว่าอะไรมันฮา เราต้องถามพี่โปรดิวเซอร์ว่าอันนี้มันฮาไหม เพราะผมเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ฮาแล้ว พี่เขาก็บอกฮาแล้ว คือเราไม่รู้เพราะเราชินชา ทำให้เวลาคลิปออกมาคนอื่นเขาฮากันแต่ผมก็ไม่ฮา แต่ถ้าไม่ได้ดูคลิปนาน ๆ แล้วกลับไปดูใหม่ก็ฮานะ ผมเป็นคนที่ฮาในผลงานของตัวเอง


ตอนที่ 4 The Master Of Prank 101

ขึ้นชื่อว่าเป็นตำนาน Youtuber คอนเทนต์แกล้งคน หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Prank คอนเทนต์ที่หน้ากล้องดูเหมือนไม่จริงจังอะไร จนบางทีเราก็เผลอคิดว่าเขาเตรียมตัวล่วงหน้ามาแค่ไหน แต่ใครจะนึกว่าโคจอนมีกระบวนการคิดงานที่ซับซ้อน และชัดเจนมากว่าคอนเทนต์จะตลกมาจากอะไร เราขอให้เขาช่วยแบ่งปันเคล็ดลับการสร้างงานของคลิปไวรัลที่ทุกคนอยากรู้มาให้ด้วย

Process การทำงานจะเริ่มจากไปเตรียมไอเดียมาก่อนว่าอยากทำอะไร อาจมีปรึกษากับทีมบ้าง ซึ่งทีมของผมคือพี่น็อต แต่ตอนไปคุยกับลูกค้าก็จะ “เดี๋ยวผมขอไปถามทีมก่อนนะครับ เดี๋ยวผมขอไป Brainstorm กับทีมก่อนนะครับ” แต่ทีมผมมีอยู่แค่ 2 คน จริง ๆ พูดง่าย ๆ คือขอกูโทรคุยกับพี่น็อตก่อน 555 

เราก็ไปคุยกับทีมว่าจะทำอะไรดี ก็มีดูจากคลิปต่างประเทศบ้าง แต่ผมเป็นคนอิงจากต่างประเทศน้อยมาก ถ้ายุคแรก ๆ ที่ทำ The Very TV Show อาจจะมี แต่หลัง ๆ พอเป็น The Very Show แล้วแทบจะไม่อิงจากต่างประเทศเลย เพราะเหมือนเรามีอีโก้ มันเป็นงานศิลปะและผมอยากทำงานที่ไม่เหมือนใคร เป็นซิกเนเจอร์ของตัวเอง ถ้าไปดูทุกงานผมมันไม่เหมือนใคร อย่างคลิป ‘มิติใหม่แห่งการสัมภาษณ์ : ไมค์ที่หนักที่สุดในโลก’ ผมยังไม่เคยเจอที่ไหนทำเลย เราภูมิใจตรงนี้ว่าเราได้สร้างสรรค์ผลงาน มันเป็นงานศิลปะที่สร้างออกมาเอง 

อย่างตอนคลิปกูไม่นอน ‘พี่เอก Heart Rocker’ ก็ได้แรงบันดาลใจจากผมไปนะ จนคนเข้าใจผิดถึงทุกวันนี้ว่าเขาทำแล้วผมไปก็อปเขา แต่ผมก็ภูมิใจ ว่าหลาย ๆ คลิปของผมใน The Very Show หลายช่องดัง ๆ ก็อาจได้แรงบันดาลใจหรือเอาไปทำ ขอไม่เอ่ยชื่อแล้วกัน แต่ว่าไม่ใช่ว่าเราโกรธ เราดีใจ รู้สึกว่าเราก็เจ๋งเหมือนกันนี่หว่าที่เขามาก็อป ช่องผมอาจจะมีคนติดตามไม่เยอะ ประมาณ 1-2 แสน แต่ผมเชื่อว่า YouTuber ดัง ๆ รู้จักผม ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมภูมิใจว่าการที่เราคิดผลงานสร้างสรรค์และต่อยอดเองได้ ผมสนับสนุนให้ทุกคนดูได้ก็อปคอนเซปต์ได้ แล้วเอาไปต่อยอดเป็นแนวของตัวเอง ไม่ใช่ก็อปเขามาทั้งดุ้น คือมึงก็ต้องเปลี่ยนเป็นตัวของตัวเองบ้าง เข้าใจว่าคลิปมันก็แนวคล้าย ๆ กัน อะไรก็คล้ายกัน แต่ต้องเปลี่ยนให้มีสไตล์เป็นของช่องตัวเอง

อีกสิ่งที่ผมภูมิใจอีกอย่างหนึ่งคือการเป็นช่องที่ไม่ดัง แต่แฟน ๆ คนดูเป็นคนคุณภาพที่เขารักเราจริง ๆ มันมีหลายองค์ประกอบมากว่าทำไมช่อง The Very Show ถึงไม่ดัง ทั้งที่เริ่มมาพร้อม ๆ หรือหลังพี่ FEDFE / VRZO / บี้ The Skar แต่ผมก็ภูมิใจที่เป็นความดังกลุ่มเล็ก ๆ ที่จนถึงทุกวันนี้มันก็ยังไม่ดัง ผมยังไม่เคยมีคนติดตามเกินล้าน ผมยังไม่เคยได้โล่ YouTube สักอันเลย และถ้าเขาส่งมานะผมจะไม่เอา จะตีกลับ ผมงอน 555” 

เดี๋ยวนะ Process การทำงานที่ถามไปอยู่ตรงไหน ?

ปัจจุบันตอนนี้ทำคลิป YouTube อะไรป้อนไปคนก็ไม่ค่อยดูแล้ว เลยมาทำคลิปใน TikTok กับ Facebook แทน มันง่ายกว่าเยอะ เหมือนเป็นบ้านหลักของเรา แล้ว YouTube เป็นเหมือนเป็นบ้านพักตากอากาศ ว่าง ๆ จะแวะไปบ้าง แต่ถึงยอดติดตามใน Youtube มันจะน้อยหลาย ๆ คนกลับจะคุ้นหน้าผมจากตรงนั้น 

เมื่อวานผมไปเดินตึกแดง พี่ผมยังทักอยู่เลยว่าคนรู้จักมึงเยอะนะ แต่ไม่ค่อยรู้จักชื่อมึง แบบว่าเคยเห็นหน้า หรือเห็นคนเขาถ่ายรูปกันก็ตาม ๆ ขอถ่าย คนมันต้องเคยเห็นหน้าบ้างไง เพราะคนดูดคลิปไปลง TikTok เยอะฉิบหายเลยตอนนี้ แต่ผมก็ไม่ได้อะไรก็ดีใจ แต่หลัง ๆ เริ่มเยอะแล้วเหมือนกัน 555 เพราะว่าตอนนั้น The Very Show ไม่ได้ทำ TikTok ด้วย คนเขาก็เลยดูดไปลง ผมก็เลยใช้คอนเซปต์ว่า ‘ดูดกลับแม่ง’ ดี กูไม่ต้องตัดต่อเอง ขอบคุณที่ตัดให้กู 555 ผมได้ยินสตอรี่จาก Salmon House ว่าเขาต้องเอางานไปขายลูกค้า ต้องขายยอด View ขายยอด Follow เขาเอางานจากพวกคลิปที่ดูดเขาไปรวม ไม่แน่ใจนะอันนี้ผมฟังมาอีกที ผมก็ว่าจะทำแบบนั้นบ้าง เดี๋ยวจะเอางานในแฮชแท็กโคจอน The Very Show ไปรวมกันแล้วส่งลูกค้า บอกว่านี่ครับของผมวิวเยอะนะครับ ถึง follower ผมอาจจะไม่เยอะ 

แต่จริง ๆ แล้วผมรู้สึกว่าผมจะไม่ปฏิเสธนะว่างานตัวเองคุณภาพ เพราะเทียบจากยอด Follow และ Engagement ในช่อง คลิปหลักแสนหลักล้านง่ายมาก มันดีมาก มันไม่ควรเป็นช่องหลักแสน Follower อะ ตอนนี้ TikTok ช่อง CoJohn ทำมาได้ไม่ถึงปี ได้ประมาณ 190-200k แล้วครับ ยังน้อยอยู่ แต่คลิป Engagement ไปเยอะมากและมีคุณภาพด้วย ต้องบอกว่าผมไม่ได้ลงคลิปทุกวัน บางคลิปดองมาเป็นเดือนเป็นปี

Process ก็ยังคงไม่มา … 

มีคลิปหนึ่งผมจำชื่อคลิปไม่ได้ (ชื่อคลิป-มิติใหม่แห่งการสัมภาษณ์ : นักข่าวหวงไมค์) เหมือนผมไปขัดตอนเขาพูดที่ผมไปสัมภาษณ์เขาแล้วพอเขาจะตอบผมก็ดึงไมค์กลับมา อันนั้นผมทำไปแล้วเป็นปีนะ ตอนนั้นรอยสักยังแค่นิดเดียวอยู่เลย เสร็จแล้วผมก็เอากลับมาทำใหม่ ลองฮึบดูอีกสักรอบ จนลายสักเพิ่มจากเดิมเต็มเลย ก็มีคนมาทักว่าพี่สองคนนี้เป็นฝาแฝดกันเหรอ คือไม่ใช่ คลิปมันดอง ซึ่งคลิปดองเป็นคอนเซปต์ที่อยู่คู่กับ The Very Show มานานมาก ด้วยความที่คอนเซปต์ผมอีกอย่างคือถ้าคลิปไม่ฮาไม่ลง ถ้าไม่มีอารมณ์ทำก็ไม่ลง แล้ว The Very Show หัวหน้าใจดีกับผมมาก แม้ว่าผมจะติสท์มากก็ตาม 

เดือนหนึ่งผมทำแค่ 2 คลิป ผมมองมันเป็นการทำงานศิลปะเราต้องมีอารมณ์ร่วม เราต้องแฮปปี้กับมัน เราต้องคิดออก เพราะเราอยากให้งานของเรามีคุณภาพ อยากให้คนมาดูแล้วเขารู้สึกว่าเขาไม่ต้องดูอะไรที่เป็นขยะ เหมือนแค่ทำคลิปคั่นเวลาไป ซึ่งจริง ๆ มันก็ไม่ดีหรอก เพราะในเชิงการตลาดแล้วทำคลิปถี่เยอะยิ่งดีกว่า ยิ่งดัง นี่ก็อาจจะเป็นหนึ่งเหตุผลที่ผมไม่ดังสักที เราแค่อยากทำงานออกมาให้ดีที่สุด เราไม่อยากลงงานที่แค่ทำ ๆ ไปให้ครบเดือน มันเป็นงานของเราเอง ถ้าเราทำไม่ดีสุดท้ายมันก็คือตัวเรา

เกือบทุกคลิปที่ออนไปมันเลยกลายเป็นว่าผมดูแล้วผมสนุกหมดเลยนะ ผมชอบเกือบหมดทุกคลิปเลย ยิ่งช่วงแรก ๆ ของ The Very Show นะ ผมโคตรตั้งใจเลย ออกกองบางคลิป 2-3 วัน สมมติไปทำ Prank สัมภาษณ์ 20 คน ผมอาจเอาสัก 5 คน เพราะคนที่ไม่ดีผมตัดทิ้งหมดเลย ผมจะเอาแต่คนที่ฮา ๆ แล้วบางครั้งผมตั้งเป้าไว้ว่าต้องเอา 10 คน มันก็ไม่จบในวันแรก ก็ต้องมาอีกวัน ผมก็เหมือนกลายเป็นมารร้ายในสายตาทีมออกกองเขา ว่าทำไมมึงไม่ทำให้จบในวันเดียววะไอเหี้ย ผมก็บอกว่างานผมมันงานประณีตพี่ ทีมออกกองนี่ก็เป็นพนักงานเงินเดือนไม่ใช่ Out Source ก็ถ้าผมไม่เหนื่อยก็ไม่ได้อะไรอยู่แล้ว ผมก็ไม่เหนื่อยด้วย ผมอยากทำให้มันดีไง 

“ผมเพิ่งนึกได้ว่าให้พูดถึง Process การทำงานนี่หว่า 555”

กลับมาที่เรื่อง Process ต่อจากที่ค้างเอาไว้ พอเราได้คอนเซปต์แล้ว ก็ Brainstorm คุยไอเดียกัน จะเป็นไอเดียคร่าว ๆ เพราะว่าไอเดียส่วนใหญ่ มุกส่วนใหญ่มันเกิดหน้างาน ตอนผมขายงานลูกค้าทุกอย่างผมบอกตลอดว่าไอเดียนี้คร่าว ๆ นะ หน้างานจะแล้วแต่ เพราะมุกมันจะออกมาหน้างาน หลาย ๆ มุกที่ออกมาหน้างานก็ออกมาหน้างานจริง ๆ และหลาย ๆ มุกที่ดังก็ออกมาจากหน้างาน เช่น ‘มุกไม่ใส่ผงชูรส’ ถ้าย้อนไปดูคลิปคือเขาแค่เอาอาหารมาให้ผมชิม เขาเห็นผมทำรายการเลยบอกให้มาลองชิมแล้วมาถ่ายร้านเขาหน่อย ผมก็คิดว่าเออหิวพอดีอยากกินเรื่อย ๆ ก็เลยชวนเขาคุยไปเรื่อย หาเรื่องยื้อเขาไว้ ก็ขอเขาชิมอีกชิ้น ๆ แล้วก็ถามเขาว่าตกลงใส่ไม่ใส่ แล้วเขาก็ดันเล่นกับผมด้วยไง เขาบอกจริงจังเลยว่าไม่ใส่ ผมก็บอกว่าใส่ เขาน่ะจริงจังส่วนผมน่ะหิว ก็กินอิ่มเลย แต่ร้านเขาก็ดังเลยนะยอดขายพุ่งเลย

ผมเป็นนักปั้นมือทองนะ ใครให้ผมหยิบจับอะไรดังหมด นั่นแหละมันก็เป็นมุกหน้างาน เราไม่สามารถคิดล่วงหน้าได้ เราจะคิดได้ไงว่ามันจะมีร้านนี้แล้วเราต้องเล่นมุกผงชูรส มันอยู่ที่อารมณ์ด้วย และอยู่ที่คนนี้เขาเล่นกับเราไหมด้วย เพราะฉะนั้นมุกส่วนใหญ่ 70-80% เป็นมุกหน้างานหมดเลย เราไม่รู้จะเจออะไรก็เป็นความตื่นเต้นมาก หรือแม้แต่ตอน Post-Production ตอนตัดต่อที่คิดมุกได้ เช่น อยากแกล้งคนดูตรงนี้ก็ตัดวน ๆ มีคลิปหนึ่งของ BNK48 ผมพูดว่า “เป็นคำตอบที่…” ผมก็คิดได้ว่า “งั้นกูไม่บอกคำตอบดีกว่าว่ะ” แล้วก็ตัดไปเลย มันจะเป็นแบบนี้ที่เราคิดได้ตอนนั้น เพราะสไตล์ผมเป็นสไตล์เรียล ๆ ถ้าเตี๊ยมมันไม่ฮา และไม่เคยมีหน้าม้าในคลิปเลย ก็เคยเตี๊ยมแต่มันไม่ฮาเลยแทบไม่เตี๊ยมเลย

ซึ่งเรื่องทั้งหมดที่พูดไปเราเรียนรู้เองหมดเลย ไม่ได้อ่านหนังจิตวิทยาอะไรนะ มันเหมือนคุณฝึกเดินน่ะ มันมีใครมาบอกว่าคุณต้องเดินไหม อยู่ดี ๆ ก็เดินได้เอง ไม่ได้มีใครมาบอกว่าต้องเดิน 45 องศา มันก็เดินได้เอง เหมือนเป็นสัญชาตญาณมากกว่า

และเมื่อพูดถึงคลิปของ The Very Show ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไม่พูดถึงโลเคชั่นของสยาม ที่เป็นภาพลักษณ์ซึ่งทำให้คนดูคิดถึงทันทีเมื่อพูดถึงคลิปของโคจอนจากช่องนี้

วิธีการเลือกสถานที่ถ่ายคลิป อย่างแรกคือ ‘ไม่เสียตัง’ คนในวงการจะรู้ดีว่าตรงช่วงสยามที่มันพ้นพื้นห้างมาแล้วตรงนี้เป็นที่สาธารณะ จุฬาเข้ามายุ่งไม่ได้ แต่ถ้าคุณก้าวเข้าไปในพื้นที่จุฬานะ แค่ปลายเท้ายามก็มาแล้ว ส่วนใหญ่ผมจะไปเป็นแบบ ‘สไตล์กองโจร’ ผมไม่รู้ที่อื่นใช้คำนี้หรือเปล่า คือผมไม่ขอ-ไม่ขอคือมันไม่ผิดเพราะมันเป็นที่สาธารณะ แล้วที่ต้องเป็นสยามเพราะว่ามันไม่เสียตัง วัยรุ่นเยอะ หลากหลาย คนทำงาน เด็กมหาวิทยาลัย ทุกอย่างมีหมด มีทุกวันด้วย เหมือนเป็นจุดศูนย์กลาง เดินทางสะดวกมี BTS ใครก็มาได้ รถไม่ติด มีที่จอด ออกกองเสร็จก็ไปกินข้าวต่อ ด้วยเหตุผลประมาณนี้สยามจึงเป็นที่โอเคสุด


ตอนที่ 5 เหล่านกฮูกผู้น่ารัก

ถ้าคุณเป็นแฟนคลับของ The Very Show จะพบว่าการ Prank ของโคจอน เหล่าเหยื่อทั้งหลายจะมีคาแรคเตอร์พิเศษบางอย่างในตัวเองอยู่ ซึ่งเราขอสปอยล์ล่วงหน้าก่อนเลยว่า เขามีวิธีการคัดเลือกคนที่จะแกล้งแบบเป็นจริงเป็นจังมาก ๆ ถึงขนาดว่ามีใบสเปกที่ต้องเช็คลิสต์ให้ครบก่อนจะพุ่งเข้าไปแกล้ง ไม่ใช่ว่าใครจะมาเป็นเหยื่อของโคจอนได้ง่าย ๆ นะ

ตอนเลือกคนเหมือนเป็นเรื่องง่ายนะว่าใครก็ได้ แต่ความจริงมันไม่ใช่ ด้วยความที่ผมคลุกคลีกับวงการ Prank มานาน มันมีศาสตร์ของมันอยู่ มันมีเรื่องราวเชิงเทคนิคอยู่ว่าถ้าคุณจะ Prank ต้องเอาคนประมาณไหน ประมาณไหนสนุก เวลาเลือกคนส่วนใหญ่ผมจะเน้นเป็นเด็กประมาณประถมถึงมัธยม ยิ่งประถมนี่ชอบมากเลย

จริง ๆ Target หลักของช่องผมถ้าสังเกต จะรู้ว่าผมจะล็อกเป้าหมาย มันจะเป็นคนประเภทนี้เลย ผมเรียกว่า ‘นกฮูก’ ผมไม่ได้ด่าน้อง ๆ นะ มันไม่ใช่ศัพท์เชิง Negative ไม่ใช่ศัพท์บูลลี่ เดี๋ยวคนเอาไปดราม่าอีก  คือเป็นคนที่ผมมองแล้วรู้สึกจิตใจดี เขาจะไม่ต่อยผมแน่นอน อยู่ด้วยแล้วมีความสุข เป็นเด็กที่น่าเล่นด้วย น่าแหย่เล่น ซึ่งต้องเป็นเด็กที่มี Condition เหล่านี้หรืออย่างน้อยสามอย่างขึ้นไป – นกฮูกจะต้องใส่แว่น อ้วนท้วมสมบูรณ์ หน้าตายิ้มแย้ม ดูทรงเดินช้า ๆ ไม่รีบไปไหนเท่าไร ไม่ได้รีบไปเรียนพิเศษ กระเป๋าตุง ๆ หน่อย ถ้าใส่ชุดนักเรียนก็ต้องไม่ใช่ชุดนักเรียนแบบเด็กเกเร ง่าย ๆ คือเด็กเรียนน่ะ ถ้ายิ่งตุ้ยนุ้ยผมจะชอบมากเป็นพิเศษ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน 

หลายคนก็จะถามว่าทำไมไม่มีผู้หญิงเลย เมื่อก่อนอาจจะมีบ้างแต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมี เพราะเรารู้สึกว่านกฮูกนี่แหละทางของเรา ถ้าเข้าคอนเซปต์ประมาณ 3-4 ข้อนี้ผมเข้าชาร์จเลย ดังนั้นผมจะรอคนนานมาก ผมว่าผมอาจจะเป็นรายการเดียว หรืออาจจะเป็นคนเดียวในโลกที่หลงใหลอะไรแบบนี้ คนอื่นเขาไป Motor Show ไปหาพริตตี้ ดูสาว ๆ น่ารัก อย่าง VRZO ก็หาคนหน้าตาดี ผมไม่ ผมมาสายนกฮูก ผมชอบเล่นกับเด็ก อยากทำรายการกับเด็กไง มันก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งของเราที่ได้แกล้งเด็ก เพราะเด็กเขาไม่ค่อยหือค่อยอือกับเรา เขาตามเราไม่ทัน แล้วเราก็ต้องวางตัววางคำพูดให้ดูน่าเชื่อถือด้วย เราต้องพยายามทำทุกอย่างตะล่อมให้เขามึน ๆ เด็กมันยังหัวไม่ไว และเขาคงไม่คิดว่าคนลุงแบบผมจะมาเล่นอะไรแบบนี้มั้ง ซึ่งเป็นเรื่องจิตวิทยาว่าทำอย่างไรให้ดูเนียน ๆ ดูว่าไม่ได้มาแกล้ง มุกผมมันไม่เหมือน Prank แบบในหลายช่องดัง มันไม่ใช่โหวกเหวกโวยวาย ดึงดูดความสนใจ แต่พยายามทำให้คนข้างนอกมองว่าผมคือคนปกตินี่แหละ

แล้วถ้าถามว่าทำไมนกฮูกถึงเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้ ก็ต้องเข้าใจว่าคนที่อายุตั้งแต่ 30 ขึ้นไป เขาจะไม่ค่อยเล่นกับเรา มันมีพลังลบเยอะ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมคนยิ่งแก่ไปถึงกลายเป็นคนที่มีพลังลบกับสิ่งรอบข้างเยอะ มันเลยเป็นอีกหนึ่งอย่างที่ผมไม่ Prank คนแก่ และนี่คือเหตุผลที่ผมไม่เคยโดนตีนใครเลย 

โคจอนไม่เคยโดนดีเลยแม้แต่ครั้งเดียวเหรอ ? 

อ้อ ๆ ผมเคยโดนครั้งเดียว โดนที่ ม.กรุงเทพ ตอนนั้นยังเป็นรายการเก่า Very TV Show เรื่องคือผมไปแซวนักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่ง คือตัวสูง ๆ เลย สูงกว่าผมอีก ประมาณ 180 กว่าได้ ผมก็ทัก “เฮ้ย นายจำเราได้เปล่าเราบอสไง เมื่อวานเห็นนายเต้นรูดเสาอยู่ที่สีลมซอย 2 อะ” แล้วเขาคงเคือง ไม่ชอบ เขาก็เข้ามาบอกไม่ใช่ พอผมขยี้ไปอีกรอบสองรอบ เขาเข้ามาแบบนักเลงตัวจริงมาก เอาหัวโขก Headbutt ใส่ ผมลงไปกองกับพื้นเลือดอาบเลย ผมก็บอก “ขอโทษครับ อันนี้มาถ่ายรายการ” ทีมงานก็กรูกันเข้ามาประมาณ 40 กว่าคน หยอก ๆ 555 ทีมงานประมาณ 3 คนก็เข้ามาเคลียร์ให้ เขาก็อ๋อ ๆ แต่ผมนี่คือนั่งกองเลือดไหลอาบอยู่เลย มันก็เป็นบทเรียนเรา เราก็เริ่มรู้ เจ็บแล้วเราจำ ทุกอย่างมันต้องมีคนเคยล้มอยู่แล้ว มันต้องเคยผิดพลาดอยู่แล้ว เราก็รู้เลเวลว่าระดับไหนโอเค ไม่ใช่โอเคแค่กับเรานะ โอเคกับสังคมด้วย


ตอนที่ 6 เพดานในการแกล้งคนของโคจอน

 

อีกคำถามสำคัญในเรื่องการทำคอนเทนต์แกล้งคนหรือ Prank ของโคจอนที่เราอยากรู้ ก็คงเป็นมุมมองที่ว่า แล้ว ‘เพดาน’ การแกล้งคนที่เหมาะสมอยู่ตรงไหน ยิ่งกับ Youtuber ในประเทศไทยที่สาย Prank ก็มีให้เห็นดราม่ากันตลอดเวลา ไม่ว่าจะถ่ายไปลงแล้วไม่ขอความสมัครใจ การแกล้งที่เลยเถิดเกินไปก็ตามที

ผมมีคอนเซปต์นะว่าควรจะเล่นถึงระดับไหน การ Prank มันคือการแกล้ง มันต้องมีคนถูกแกล้งอยู่แล้ว ถ้าคนที่ไม่โอเคกับการแกล้งก็จะ Negative อยู่แล้ว ต่อให้แกล้งเบาแค่ไหนก็ตาม แต่ผมพยายาม Run วงการแกล้งให้มันออกมาในเชิง Creative และไม่เสียหายกับเขามาก ให้พอกรุ้มกริ่ม พอจะสนุกสนานกันไปได้ ไม่ใช่ให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจ เราพยายามให้มันสุดเพดานของคำว่าพอดี 

ทั้งชีวิตที่ทำ Prank มา 10 ปี เคยโดนดราม่าครั้งเดียวเองมั้ง เรื่อง ‘ออมสิน’ (จากคลิป ‘พี่ไม่เชื่อ’ ตอน The Very Show) ตอนนั้นเฟมทวิตภาพลักษณ์เขายังเป็นแง่บวกอยู่ไง ผมโดนเพราะเขาบอกว่าผมรังแกเด็กที่ไม่เต็ม ที่ในคลิปหนึ่งผมบอกว่า “พี่ไม่เชื่อ” มีเฟมทวิตมารุมผมเต็มเลย ผมเลยต้องไปลากออมสินมาพูดให้ “เขาด่าว่ามึงไม่ปกติแล้วกูแกล้งคนไม่ปกติ มึงไม่ปกติเหรอวะ ?” ผมก็แค่เห็นว่าเป็นเด็กที่ alert ดี มันไม่ใช่ว่าเขาไม่ปกติ มันเป็นแค่คาแรคเตอร์ของเขามันจัดไปด้านนั้น และเขา Consent ที่จะมาอยู่ในรายการผมเอง แล้วเขาก็สนุกที่ได้เล่นกับผมด้วย 

“ถ้าเกิดว่าเขาโอเค คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์พูดแล้ว” 

สรุปก็คือผมมีคอนเซปต์ในการแกล้งของผมให้มันพอดี ไม่ทำให้เขาอาย ไม่ทำให้คนอื่นมองแล้วเขาอาย แม้ว่าเขาอาจจะภูมิใจที่ได้มาลงช่องผมก็ตาม เราไม่ได้ไปตบหัวเขา เราไม่ได้ไปทำร้ายเขาเชิง Physical อันนี้แน่นอนเพราะมันผิดกฎหมาย ถ้าคนส่วนใหญ่รู้สึกโอเค นั่นก็คือเพดานของผม ผมก็พูดไม่ถูกเหมือนกัน มันแค่เป็นความพอดีที่ไม่มีฝ่ายไหนรู้สึกเสียหน้าประมาณนั้น แต่ถ้าคนดูไม่ชอบเขาก็ไม่ชอบอยู่ดี ถ้าลองไปดูคลิปต่างประเทศเขา Prank กันโหดมากเลยนะ แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะ Prank โหดขนาดนั้น ผมแค่คิดว่าทำไมเวลาคุณดูคลิปต่างประเทศคุณไม่ไปงอแงฟ้อง NGOs ต่างประเทศบ้าง ทำไมคุณฟ้องแต่ของไทย แล้วบางคนดูคลิปต่างประเทศแล้วก็ขำด้วยนะ แต่ถ้าเป็นที่ไทยโดนดราม่าแน่นอน ก็เซ็งเหมือนกัน อาจเป็นเพราะคนทำภาพลักษณ์ในวงการ Prank ไม่ค่อยดีด้วยมั้ง ในบางอันที่มันแรงไปจนมีดราม่าสังคม ซึ่ง Prank ทุกอันมันไม่ใช่อย่างนั้นไง อย่างผม Prank พอประมาณแต่เขาก็เหมารวม 

อย่างมีคลิปนึงไปผมกินข้าวแล้วเห็นกระติบข้าวเหนียววางอยู่ ผมก็ทำมึน ๆ พอมีคนจะเติมน้ำผมก็เอากระติบข้าวเหนียวไปเติมน้ำ คนดูก็บอกว่า “ถ้าคนทำแบบคุณล้านคนเด็กเสิร์ฟก็เหนื่อย” เหมือนเขาพยายามจะ Exaggerate Point ตรงนี้ คือเขามาพร้อมพลังงานลบอยู่แล้วและพยายามมาลบใส่ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่มีใครทำแบบนั้นล้านคน มันเป็นไปไม่ได้ ใช่ว่าในเชิงวิทยาศาสตร์ไม่มีอะไรเป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์ มันอาจจะ 0.1 แต่มันเป็นไปได้ยากมาก ๆ แต่เขาก็พยายามเอา Point ตรงนั้นมาสร้างดราม่า มาเหยียบผมให้ได้ ผมก็รู้สึกว่าเหนื่อยเหมือนกันนะเว้ย ผมก็เริ่มชินชาแล้วว่าคนที่ไม่ชอบอย่างไรเขาก็ไม่ชอบอยู่ดี

“คุณรู้ได้ไงว่าหลังงานผมเป็นอย่างไร ผมขอโทษหรืออะไรเขาหรือเปล่า ผมก็ไม่ได้ถ่ายฉากหลังลง”

มันมีเคสน้อยมากที่คนถูกถ่ายบอกว่าขอไม่ลง เพราะส่วนใหญ่เมื่อก่อนผมไม่บอกเลยนะ ผมแกล้งเสร็จแล้วลงไปเลยไม่ขอด้วย ก็มีบางคนทักมาแต่มีน้อย ใน 10 ปีมีประมาณ 2-3 คนแค่นั้นเอง และมีคนทักมาด่าแค่คนเดียว เป็นเด็กที่ผมแกล้งเขานี่แหละ เขาก็เอาไอดีหลุมมาด่าหยาบเลย และด้วยความที่ผมกวนตีน และผมรู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นใครเพราะตอนนั้นผมสัมภาษณ์อยู่คนเดียว แล้วผมก็รู้ว่าน้องคนนี้อาจจะไม่โอเค ไม่เกินชั่วโมงมันพิมพ์มาด่าผม ผมก็พิมพ์กลับไป ลงดีเทลไปว่าคุยอะไรกันบ้าง ให้มันรู้ว่ากูรู้นะว่ามึงเป็นใคร ผมบอกพรุ่งนี้ไปขอโทษที่โรงเรียนได้ไหม เดี๋ยวให้ทีมงานไปขอโทษด้วย ขอโทษจริง ๆ ก็เป็นเชิงขอโทษเขาแหละ แต่ให้มันรู้ว่ากูรู้นะว่ามึงเป็นใคร เอาไอดีหลุมมาก็รู้นะ 555 แต่ก็ขอโทษเขาไป 

“สุดท้ายถ้าเราทำอะไรผิดก็ควรขอโทษเขาไง เพราะว่าจะพูดอะไรได้ แถแล้วมันได้อะไร คนที่ทำผิดแล้วแถทำเพื่ออะไร เราก็แค่ขอโทษ มันคือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว”


ตอนที่ 7 เป้าหมายสูงสุดของการ Prank

การที่คน ๆ นึงจะทำอะไรได้นานเกินกว่า 10 ปี นอกจากที่จะเก่งขึ้นแบบไม่สิ้นสุดไปเรื่อย ๆ แล้ว มันก็น่าสนใจมากเลยว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้เขายังคงทำมันได้อยู่ ช่วงเวลา 10 ปีในการ Prak ของโคจอน เขามีเป้าหมายอะไรในเส้นทางนี้ วางที่ทางบนโลกนี้ให้ตัวเองไว้ตรงไหน แล้วอยากพาตัวเองขึ้นไปถึงจุดไหนกันนะ 

จุดประสงค์ในการ Prank ของผมถ้าพูดแบบไม่ประดิดประดอยก็คือ ทำเพื่ออยากมีตัวตนในโลกออนไลน์ เราอยากทำอะไรสักอย่างที่เป็นของเรา การมีตัวตนไม่ใช่แค่เรื่องเงินนะ มันคือชื่อเสียงด้วย อย่างที่ผมบอกว่าผมมีเป้าหมายอยากจะขึ้นไปให้สูงเรื่อย ๆ อยากเอาชนะคนนู้นคนนี้ แล้วผมมาเจอว่าทางนี้คือทางของผม ผมรู้สึกว่าแค่ได้เงินมามันไม่พอ ต่อให้รวยแต่ถ้าไม่มีชื่อเสียงมันก็ยังแพ้เขาอยู่ดี ผมรู้สึกว่ามันต้องเป็นอะไรที่มากกว่านั้น เพราะการที่คุณจะแก่ไปแล้วให้คนจดจำคุณ มันก็ต้องมีอะไรที่มากกว่าเงินไหม คนรวยก็มีเยอะแยะไปหมด แต่คุณจะทำอย่างไรให้ครั้งหนึ่งมีคนจดจำ ผมก็มีเป้าหมายตรงนั้นอยู่

สิ่งนี่เกี่ยวข้องกับปมในวัยเด็กตอนมัธยมของโคจอนด้วยไหม ? 

ใช่ มันก็เป็นเหมือนดาบสองคมนะ คือทำให้เราเป็นคนเก็บกดก็จริงแต่ว่ามันทำให้เรากลายเป็นมีเป้าหมายสูงอยากถีบตัวเองขึ้นไปให้ไกลที่สุด


ตอนที่ 8 INPUT สำคัญของโคจอน ที่ทำให้ OUTPUT แข็งแรง 

เพราะว่าโคจอนพูดกับเราตลอดเวลาว่างาน Prank ของเขาเปรียบเทียบเท่ากับงานศิลปะชิ้นหนึ่ง เราจึงสนใจว่าเขามีความสนใจอะไรในชีวิต หรือเสพสื่ออะไรมา ถึงทำให้งานของตัวเองมีความสร้างสรรค์แตกต่างจากคนอื่นได้มากขนาดนั้นกัน 

จริง ๆ ผมไม่ใช่คนดู YouTube เท่าไร ถ้าดูจะดูแต่ช่องตัวเอง แต่ถ้าของต่างประเทศจะดูเยอะ คนอาจจะไม่รู้จักกัน มันเป็นช่องที่ไม่ค่อยดัง ชื่อ Ed Bassmaster ซึ่งเป็นสไตล์ Prank ด้วยความที่เขาสไตล์คล้ายกับผม ก็เลยชอบดู เขาก็ไม่ค่อยทำคลิปเหมือนกัน เขาเหมือนผมเลย คลิปดีสไตล์เดียวกัน Prank แบบมึน ๆ นิ่ง ๆ 

และมีอีกช่องที่เทพมากและเป็นช่องที่ล้ำที่สุดสำหรับผมแล้ว ชื่อว่า Vlog Creation มันคงไม่ได้ดังหรอกมั้ง แต่ในวงการ Prank ก็ดัง คลิปเขาลงทุนมากและเป็นสไตล์ Prank เหมือนผม มีคลิปหนึ่งเขาจอดรถแล้วมีป้ายห้ามเอาหัวรถออก ต้องจอดเอาหัวเข้า เขาก็ตัดครึ่งแล้วเอาหัวสอง ด้านมาต่อกัน หรืออีกคลิป โทรเรียกช่างคอมมาบอกว่าคอมผม Freeze ครับ แล้วคือมัน Freeze จริง ๆ เป็นน้ำแข็งเป็นก้อนเลย พอช่างมาก็งง มันก็เป็นสไตล์แบบ Candid (ตั้งกล้องแอบถ่ายโดยที่คนถูกถ่ายไม่รู้ตัว) หรือมีคลิปในลิฟต์สลับปุ่มเลขชั้นลิฟต์จากหัวไปท้าย จากเลข 1 เป็นชั้น 29 แล้วคนที่จะใช้ลิฟต์ก็งง คือเขาทำแบบลงทุนมาก

“จริง ๆ ผมเป็นคนที่อ่านหนังสือด้วยนะ ผมอะเป็นหนอนหนังสือตัวยงเลย”

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.


ตอนที่ 9 งานที่ดีของโคจอน

อ่านถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสงสัยถึงคำว่า ‘งานที่มีคุณภาพ’ ที่โคจอนพูดอยู่ตลอดเวลามันมีหน้าตาเป็นอย่างไร คอนเทนต์คลิป Prank ที่ฟังก์ชั่นเรียกเสียงหัวเราะ ดูสบาย ๆ จบแบบไม่ต้องคิดอะไร มีมาตรฐานที่จะสามารถใช้ำคว่าดีได้นั้นต้องเป็นอย่างไร 

มันเป็นงานที่นกฮูกทุกคนอย่างน้อยต้องเกือบพีค อย่างที่ผมบอกว่าออกไปถ่าย 20 คน แต่อาจจะคัดออกคลิปแค่ 5 คน ถ้าเทปหนึ่งมีนกฮูก 10 คน นั่นแสดงว่ามาจากผมถ่ายอย่างน้อย 30-40 คน ถ่ายเยอะมาก ถามว่ากองไหนจะทุ่มขนาดนั้นได้ เพราะการออกมาแต่ละครั้งก็มีค่าใช้จ่าย มีค่ากอง แต่ผมยอมไม่ได้ เพราะมันเป็นงานของผมเอง ผมก็เลยเลือกที่จะเหนื่อยได้แต่งานของผมต้องออกมาดี เพราะพองานออนไปแล้วมันอยู่ตลอดไปเลยนะ แล้วถ้าทุกงานมันดีหมด อยู่ระดับดีหมด มันจะแบบนึกออกปะ 

“คอนเซปต์คือทำงานศิลปะให้ออกมาดีที่สุด ให้คนสนุกที่สุด คลิปไหนไม่ฮาไม่ลง” 

มีคลิปที่ไม่เคยได้ออนเลยน่าจะมีเป็นสิบจนฟุตหายไปแล้ว บางอันแบบออกกองไปถ่าย 1-2 วันด้วยซ้ำ มีอันหนึ่งที่กำลังเป็นกระแสตอนนี้ใน TikTok เรื่อง ‘ไมค์เหม็น’ ที่เขาเอาน้ำยาเหมือนขี้มาป้าย ตอนนั้นผมหมักน้ำยานานมาก เอาทุเรียน เอาสะตอหมักไว้ ทิ้งไว้นอกบ้าน จนมันเหม็นแล้วเอามาทาฟองน้ำของไมค์ แล้วตอนนั้นมันไม่เวิร์คหรืออะไรสักอย่าง หรือมันยังเหม็นไม่พอ ถ้าจะเอาขี้มาป้ายก็เกินไปหน่อย ก็ออกไปถ่ายมานะ แต่รู้สึกว่า Reaction มันไม่ดีก็เลยเก็บไว้ แต่ถ้าให้เอากลับมาทำตอนนี้ก็คงไม่ทำแล้ว เพราะผมไม่ชอบทำตามคนอื่น ถ้าเป็นเทรนด์ผมจะไม่ทำ เหมือนผมแทงสวนน่ะ หรือถ้าเป็นเทรนด์แล้วจะทำจริง ๆ มันต้องมีอะไรที่หักออกไปจากงานของผมเอง

แล้วสามารถพูดได้มั้ยว่างานที่ได้ออนทุกงานคืองานที่เราต้องฮาด้วย ?

ใช่ เป็นงานที่ตอนตัดเราตัดต่อไปก็ขำไป ขำจนแฟนผมก็งงว่ามึงขำเหี้ยอะไรวะ 555 ปกติคนอื่นทำงานก็ทำเครียด ๆ แต่ผมตัดงานไปขำไป เราจะรู้อารมณ์อยู่แล้วว่าคนนี้โอเคไหม จะรู้ตั้งแต่ตอนถ่ายออกกองหน้ากล้องแล้ว แต่จริง ๆ จะเป็นช่างกล้องที่บอกผมว่าโอเคไหม เพราะว่าพอผมไปแกล้งคนตรงนั้นแล้วผมจะไม่เห็นภาพรวม ทั้งสีหน้าของเขาและภาพรวมของตัว แต่คนถ่ายภาพจะเห็นภาพรวมองค์ประกอบ Timing การเล่นมุกทุกอย่าง ผมก็จะมาถามทีหลังว่ามันโอเคไหม ก็มาสกรีนกันอีกทีนึง


ตอนที่ 10 ตัวตนจริงของ ‘บอส’ ที่ซ้อนทับกับ ‘โคจอน’

 

ถึงช่วงเวลาของถามสำคัญที่เราเกริ่นเอาไว้ในตอนต้น และเป็นคำถาที่พาเรามาสัมภาษณ์กับโคจอนในวันนี้ เพราะตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ช่องโคจอนลงคลิปแรก จน The Very Show ที่กลายเป็นกระแส สู่วันที่เขากลับมาทำช่องโคจอนอีกครั้ง เชื่อว่าไม่ใช่แค่ผมหรอก แต่ทุกคนที่ตามโคจอนคงจะนึกภาพกันไม่ออกว่าตัวตนหลังกล้องของเขาเป็นเหมือนหน้ากล้องจริงรึเปล่า และคนที่จะตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุดก็คือ ‘บอส’

จะว่าเหมือนมันก็ไม่เหมือนนะ จริง ๆ ผมมีหลายบุคลิก อยู่ที่ ณ เวลานั้นเราต้องเข้าหาใคร หรือว่าเราอยู่ในสถานการณ์ไหน ในสถานที่แบบไหน มันก็มีการวางตัวหลายระดับ ถ้าคนที่ไม่รู้จักก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง ไม่ได้เล่นมุก ไม่ได้อะไรเยอะ อย่างตอนนี้ที่สัมภาษณ์กันมาทำงานก็จะเงียบ ๆ ไม่ได้เล่นมุกกวนตีนอะไรเยอะ ถ้าอยู่กับเพื่อนก็จะเหมือนในกล้อง เพราะว่ามุกมันก็มาจากชีวิตจริง

แต่บางคนเขาก็บอกว่าผมไม่เหมือนกับในกล้องเลย ผมเป็นคนเงียบ ๆ นั่นหมายความว่าถ้าผมไม่สนิทกับใครก็จะไม่เล่นกับเขาเยอะ ไม่ไปกวนตีนเขา ถ้าไม่สนิทกันแล้วผมจะไปกวนตีนเขาได้ไง อยู่กับผู้ใหญ่ก็ต้องวางตัวอีกแบบหนึ่ง มันก็เฮฮาได้แค่กับเพื่อน อีกอย่างคือถ้าเจอแฟนคลับเด็ก ๆ มาขอถ่ายรูปก็จะเล่นมุกกับน้องกวน ๆ ก็เป็นอีกตัวตนหนึ่งที่เป็นเหมือนในกล้อง เพราะเขาพร้อมจะเล่นกับเรา เขารู้จักเรา แต่คนที่ไม่รู้จักเราก็ไม่ได้เล่น ก็เป็นคนปกติครับ ผมดูไม่เหมือนคนปกติหรอ 555

แบบนี้แสดงว่าหน้ากล้องหลังกล้องก็คือ ‘บอส’ ทั้งหมดเลย

เป็นผมในหลายเวอร์ชั่นแล้วกัน ถ้าเหมือนในกล้องสุดก็คือตอนอยู่กับเพื่อนสนิท แต่ไม่ได้แกล้งคนนะ อย่างมากก็มีแซว ๆ บ้าง สมมติเดินอยู่กับเพื่อนก็แซวคนนู้นคนนี้ แต่ไม่ได้แซวผู้หญิง แซวคนทั่วไป ผมชอบแซวคนแบบขำ ๆ เช่น เจอคนยืนดู YouTube อยู่ ผมก็จะคุยด้วยประมาณว่า “แหมดูบริษัทฮาล่ะสิ ตอนนี้ชอบเหมือนกันเลย” 555 แล้วในการเล่นมุกหรือแซวกับกลุ่มเพื่อนแต่ละกลุ่มมันก็จะไม่เหมือนกันด้วย อย่างกลุ่มเพื่อนมัธยมที่กินเหล้าด้วยกันก็จะเป็นมุกอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้ามุกแนวโคจอนก็จะอยู่กับทีมงานของผม เพราะเขาคลุกคลีมากับมุกแนวนี้ตอนผมทำงาน ก็จะชินกับมุกแนวนี้ ซึ่งทีมงานผมก็มีอยู่คนเดียว คือพี่น็อต 555 จริง ๆ มีอีกแต่หลัง ๆ ทำกับคนนี้แค่คนเดียว เพราะผมไม่ได้ทำกับ Very แล้ว 

โดยรวมก็คือเป็นผมหมดแหละแค่คนละแบบ แต่คนส่วนใหญ่คงไม่ได้เห็นผมเป็นโคจอนในชีวิตจริงเท่าไร เขินด้วย เวลาเจอผู้หญิงผมไม่ค่อยอะไร ผมว่าผมแพ้ผู้หญิง ผู้หญิงน่ารัก ๆ ผมไม่ใช่สายเต๊าะผู้หญิง ตอนสัมภาษณ์ก็ไม่เล่นมุกเต๊าะ ผมจะชอบเล่นกับเด็กมากกว่า

ถ้างั้นช่วยนิยามร่างโคจอนหน่อยว่าเป็นคนอย่างไร

โคจอนเป็นคนที่มึน ๆ มองโลกอีกแบบที่คนทั่วไปไม่มอง มึนกับทุกเรื่อง ไม่รู้อะไรผิด อะไรถูก ถ้าเทียบกับคนดังก็น่าจะ Mr.Bean ไม่ก็ Charlie Chaplin ทำอะไรแบบมึน ๆ แบบมึงไม่ควรทำอย่างนี้ มึงอยู่ในชีวิตจริงมึงไม่ควรทำแบบนี้ มึงไม่รู้ได้ไง มึงโง่เปล่าเนี่ย เป็นคนกวนตีนไปเรื่อย จริง ๆ ก็ไม่ได้โง่หรอกนะ แต่เป็นคนที่แกล้งโง่เพื่อหาสีสันให้ชีวิต

 

ดูเหมือนว่าทั้งสำหรับบอสและโคจอนเองที่มีการ Prank เป็นส่วนประกอบของชีวิต ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมามันมีส่วนสำคัญกับชีวิตของเราอย่างไรบ้าง

มันเป็นตัวตนที่มันอยู่กับผมมาทั้งชีวิต ผมเคยเลิกทำไปช่วงหนึ่งด้วยนะ เพราะผมท้อที่มันไม่ดังสักที เป็นช่วงหลัง ๆ ที่เราเริ่มรู้สึกว่าเห็นคนอื่นเขาเติบโตในหน้าที่การงานแล้ว ช่วงไม่กี่ปีมานี้แหละก่อนโควิด แต่เราไม่ได้เติบโตไปไหนเลย แล้วเราก็อิ่มตัวกับตรงนี้แล้วด้วย คิดว่าจะแกล้งคนไปตลอดไม่ได้นะ ก็เลยลองหาอย่างอื่นทำบ้าง หยุดทำบ้าง ท้อขี้เกียจทำบ้าง ช่วงหลัง ๆ ผลงานเลยไม่ได้ออกมาเท่าไร บางทีหายไปเป็นปีก็มี ไม่ออนคลิปเป็นปี ก็หายไปหาสิ่งใหม่ ๆ ในชีวิต อย่างตอนโควิดก็คิดว่าทำอะไรดีที่อยู่บ้านแล้วได้ตัง แล้วจะแกล้งคนก็ไม่ได้เพราะผมไม่ชอบแกล้งคนใส่แมสก์ มันไม่เห็น Expression ของหน้าเขา แล้วผมเชื่อว่าคลิปมันจะไม่สนุก ผมก็เลยไม่อยากแกล้งคนตอนที่เขาใส่แมสก์ ไม่ใช่เรื่องของจรรยาบรรณอะไรเลย 555 ก็ไปทำอย่างอื่น ไปเล่นคริปโต อยากจะลองทำร้านอาหาร จะเลิกอยู่แล้วสาย Prank

ผมพูดกับพี่น็อต (โปรดิวเซอร์และวิดีโอของ The Very Show) ว่าผมไม่อยากทำอย่างนี้แล้ว แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด แล้วผมก็เพิ่งมาคิดได้ ผมก็คุยกับทีมงานผม ก็พี่น็อตนี่แหละ เรียกทีมงานมันจะได้ดูยิ่งใหญ่หน่อย 555 คุยกับพี่น็อตว่า 

“มันมีสิ่งหนึ่งที่ผมทำได้ดี และผมดันทำได้ดีกว่าคนหลาย ๆ คน และเป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ดี ผมจะทิ้งมันไปทำไมวะ มันก็อยู่กับผมมาตั้งนานแล้วด้วย” 

คนอีกประมาณอาจจะ 98% ในสาย Prank เขาคงไม่ได้เชี่ยวชาญในการกวนตีนคนอื่นเท่าผม ไม่รู้มันเป็นพรสวรรค์หรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่าผมทำได้ไม่แย่ไปกว่าใคร ซึ่งคนอื่นเขาอาจจะไม่สามารถทำตรงนี้ได้ด้วยซ้ำ แล้วเราจะโง่ทิ้งสิ่งนี้ไปทำไม 

เมื่อปีก่อนผมก็เลยกลับมาตั้งใจฮึบทำจริงจังอีกครั้ง เพราะรู้สึกว่าเราแก่แล้ว 30 แล้ว ก็ต้องมีเป้าหมายในชีวิต ประจวบเหมาะกับหมดสัญญากับ Very พอดี เลยขอเขาว่าเดี๋ยวมาใหม่พี่ เดี๋ยวกลับมาปั้นช่องใหม่ ก็ขอพักไว้ก่อน อยากขอมาปั้นช่องตัวเองก่อน อยากมาทำ TikTok บ้าง TikTok มันทำง่ายโปรดัคชั่นมันเล็ก มือถือตัวเดียวก็อยู่แล้ว ตอนนี้ก็ได้ยอดมาประมาณหนึ่ง แต่ก็ยังเป็นช่วงเริ่มต้นอยู่ อาจจะด้วยบุญเก่าด้วยมันเลยไปได้เร็ว มันเหมือนคนที่ล้มละลายมาแล้วมาทำใหม่ มาเริ่มจากศูนย์ใหม่ มันเริ่มจากศูนย์ใหม่จริง ๆ แต่มันรู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร รู้ว่าต้องเป็นอย่างไรถึงจะดัง ตอนนี้เริ่มมาประมาณ 6-7 เดือนลูกค้าก็เข้าเยอะแล้ว เริ่มจะทำตังจากมันได้แล้ว ถ้าเทียบกับคนที่ No Name ที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาก็อาจจะเหนื่อยกว่า เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่จะทำตังตั้งแต่ตอนแรก มันต้องมีประสบการณ์ วางแผน ต้องรู้ว่าจะขายงานลูกค้าอย่างไรถึงจะหาตังจากมันได้ นอกจากว่าจะแค่ทำเพื่อความสนุก

 

“ผมมองการทำ YouTube หรือการทำสื่อออนไลน์ทุกอย่างในโซเชียลเป็นเหมือน Long Term Investment มันเป็นการลงทุนระยะยาวที่มีแต่คำว่าคุ้มค่า ความดังของเรามีแต่คำว่าเพิ่มขึ้นนะ มันไม่มีลดลง สมมติวันนี้คนจำผมได้ ไม่ใช่พรุ่งนี้เขาจะไม่รู้จักผม อาจจะลืมไปบ้าง แต่ถ้าเจอหน้าก็อ๋อคนนี้” 

แต่นั่นแหละ พอเรารู้แล้วมันก็เลยง่ายบวกกับชื่อเสียงที่เรามี และที่นัก TikTok คนอื่นเขาไปดูดมาลงให้ เลยกลายเป็นคนรู้จักเยอะมั้ง ช่วงนี้เด็กรู้จักผมเยอะมาก เมื่อก่อนไม่มีเด็กรู้จักผมนะ เด็กมัธยมไม่มีใครรู้จัก แต่เดี๋ยวนี้แกล้งคนยากมาก เสียใจ เสียดาย ลำบากจริง ๆ สายผมมันต้องคนไม่รู้จักไง หลัง ๆ เลยต้องดูคนด้วยสายตาก่อน เช่นคนนี้เขาอาจจะไม่ยิ้มให้ผม แต่สายตาเขาบอกแล้วว่าเขารู้จักผม มันจะเป็นอารมณ์แบบถ้ารู้จักคนนี้ มันจะมีวิหนึ่งที่สายตามันมองแล้วดูออกเลยว่าคนนี้รู้จักผม แล้วกลายเป็นเดี๋ยวนี้ 90% เด็กวัยรุ่นช่วงอายุต่ำกว่า 25 มันมีสายตาแบบนี้หมดเลย ซึ่งเมื่อก่อนมันไม่ใช่ อาจเป็นเพราะเดี๋ยวนี้ TikTok มันไปไวด้วยมั้ง ดูดทีมากกว่าช่องผมอีก พี่ไปดูแฮชแท็ก #Very Showโคจอน ได้เลย 70 ล้าน 100 ล้าน ประมาณนี้ โคตรเยอะ เสียดายมากที่ผมมาจริงจังช้าไป แต่ก็เริ่มกลับมาทำจริงจังแล้ว ครั้งนี้คงไม่พลาดเพราะตั้งเป้าไว้แล้ว ถ้าเราตั้งเป้าไว้เราก็ต้องทำให้ได้และเราก็โตขึ้นแล้วด้วย เราผ่านอะไรมาเยอะ คิดว่ากลับมาได้อยู่ เรียกว่ากลับมาแล้วกัน ตอนนี้เห็นมีแต่คอมเมนต์ตำนานนู่น ตำนานนี่ ตำนานที่ไม่น่ามีลมหายใจ ผมงงมากนี่ผมกลายเป็นตำนานไปแล้วเหรอ

กำลังจะถามต่ออยู่พอดีเลย คิดว่าคนอื่นมองเราอย่างไรถึงขนาดให้ฉายาว่า ‘ตำนานที่ไม่น่ามีลมหายใจ’

จริง ๆ มันอาจดูเหมือนตลกแต่มันเศร้านะ การเป็นตำนานคือมันเก่าแล้ว แสดงว่าที่ผ่านมาผมไม่ประสบความสำเร็จ อาจจะในเรื่องตัวเงินหรือชื่อเสียง แต่จริง ๆ ผมก็ภูมิใจที่ถึงเราจะไม่ดังแต่คนดูที่รู้จักเราจริง ๆ แม่งรักเราจริง ๆ และคลิปแต่ละคลิปมันมีคุณภาพ เราก็ภูมิใจที่ช่องดัง ๆ เขายังเอาไปเล่น ได้แรงบันดาลใจจากเรา และเขารู้จักเรา ตอนผมไปออกรายการดาราเขายังรู้จักผมเลย ก็เลยรู้สึกว่าเออก็ดีนะ และเราไม่ได้ดังแบบฉาบฉวย แต่เราดังด้วยสิ่งที่เราทำมา เป็นสิ่งที่เราตั้งใจทำด้วย เป็นศิลปะ ผมเรียกมันว่าศิลปะตลอด มันเป็นงานที่ผมตั้งใจทำขึ้นมาจริง ๆ พอคนชื่นชอบผลงาน ผมเลยแฮปปี้มาก ถึงแม้เราจะไม่ดัง เราไม่ได้ประสบความสำเร็จ ไม่ได้รวยเท่าใครเขา แต่ว่าเราดีใจที่ได้สร้างสรรค์ผลงานดี ๆ ออกมา


ตอนสุดท้าย มุมมองของ ‘น็อต’ ในตำแหน่งโปรดิวเซอร์และเพื่อนสนิท

น็อต-Producer+Video (The Very Show, โคจอน)

และเพื่อทำความรู้จักกับโคจอนตัวจริงอย่างแท้จริงให้ได้อย่างจริง ๆ (ใช้คำว่าจริงฟุ่มเฟือยมาก) เราก็เลยไปคุยกับบุคคลที่ถูกกล่าวถึงตลอดเวลาในบทความนี้ด้วย ในฐานะทีมงาน (คนเดียว) ของโคจอน ‘คุณน็อต’ โปรดิวเซอร์ + คนถ่ายวิดีโอ + คนรับมุกคู่ จาก The Very Show และช่องโคจอนในปัจจุบัน นอกจากเขาจะอยู่กับโคจอนใน The Very Show ตั้งแต่วันแรกแล้ว ก็มีความสัมพันธ์เป็นเพื่อนสนิทในชีวิตจริงด้วย และถ้าปัจจุบันคุณยังคงตามโคจอนกันอยู่ ก็จะได้เห็นความโบ๊ะบ๊ะลูกคู่ระหว่างคุณน็อตกับโคจอนที่หน้ากล้อง หลังจากที่ได้ยินแค่เพียงเสียงพูดจากหลังกล้องมาโดยตลอด แล้วเขามองโคจอนเป็นคนยังไงกัน ?

ผมรู้จักกับบอสน่าจะเกือบ 10 ปีแล้วตั้งแต่ที่ทำงานด้วยกัน จนปัจจุบันที่เขาทำโคจอนแยกออกมา ผมก็ยังทำกับเขาอยู่ จริง ๆ ‘โคจอน’ กับ ‘บอส’ ก็เกือบจะเหมือนคนเดียวกันนะครับ จะมีแค่บางมุมเฉย ๆ อย่างหน้ากล้องเขาก็เป็นเหมือนนักแสดง ที่จะแสดงไปตามบทนั้น ๆ แต่จริง ๆ แล้ว ในชีวิตเขาก็ไม่ได้เหมือนในคลิปเต็มร้อยขนาดนั้น คนส่วนใหญ่คนจะคิดว่าบอสหรือโคจอนจะเหมือนกับตัวตนเขาจริง ๆ แต่จริง ๆ มันไม่ใช่

ถ้าถามว่าหน้ากล้องกับหลังกล้องมีอะไรที่ไม่เหมือนกันเลย ในหลังกล้องจริง ๆ ตอนทำงานเขาเป็นคนซีเรียสนะ เขาเป็นคนจริงจัง แต่ว่าในกล้องหรือในคลิปจะดูแบบเหมือนอะไรก็ไม่รู้อะ กวน ๆ เบลอ ๆ แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนจริงจังและซีเรียสกับงานมาก ๆ กว่าในคลิปที่เราเห็นกัน

แล้วตั้งแต่ที่รู้จักกันมา 10 ปี จากวันแรกจนถึงวันนี้ บอสเปลี่ยนไปยังไงบ้าง ?

จริง ๆ ในมุมผม คือรู้จักกันมา 10 ปี ก็เปลี่ยนไปเยอะ เพราะรู้จักครั้งแรกเขายังเรียนมหาลัยอยู่เลย ตอนนั้นก็เหมือนเป็นเด็กคนนึง จะเรียกว่าเด็กกระโปกก็น่าจะเกือบใช่ แต่ก็ไม่ขนาดนั้น เป็นเด็กคนนึงที่มุ่งมั่นที่จะทำคลิป ทำคอนเทนต์สักอย่าง แต่มีความมุทะลุมาก มีความตั้งใจมาก มีไฟสูงมาก แต่พอรู้จักกันจริง ๆ จนถึงตอนนี้ เขาโตขึ้นเยอะ ไม่ใช่แค่เด็กเหมือนเมื่อก่อนแล้ว มีความตั้งใจสูงกว่าเดิมอีก มีความใส่ใจในงานมากกว่าเดิม แล้วก็มีความตลกมากกว่าเดิม

คือจริง ๆ ความพิเศษของเขา มันเป็นความพิเศษที่ผมไม่รู้นะว่าคนอื่นมองว่าพิเศษรึเปล่า แต่สำหรับผมพอทำงานกับเขามันมีความพิเศษที่คนอื่นไม่น่าจะจับต้องได้ เป็นความพิเศษที่เขาสามารถเข้ากับคนอื่น ในมุมที่คนอื่นไม่น่าเข้ากับเขาได้ 555 แอบงงมั้ย แล้วก็การทำงานในรูปแบบคอนเทนต์การ Prank คนพิเศษแบบนี้มันเป็นอะไรที่หายากระดับนึง ผมมองว่าไม่ใช่ใครก็ทำได้ มันมีความพิเศษของตัวคนที่เล่น คนที่แสดง ที่จะสามารถเข้ากับคอนเทนต์แบบนี้ได้ เขาเป็นคนนึงที่ผมรู้สึกว่าเขาเข้ากับคอนเทนต์อย่างนี้ แล้วก็เป็นธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่เคยดูมา

แล้วคิดว่าเคล็ดลับอะไรที่ทำให้เขายังสามารถแกล้งคนได้เป็น 10 ปี โดยที่แทบจะไม่เคยมีดราม่าเลย

ต้องบอกว่าเขาเลือกคนเก่ง คือเลือกคนที่จะเข้าไปเล่นถูกคู่ หลายคนอาจจะสงสัยว่าเวลาที่เขาเข้าไปแกล้งแบบนี้ ไม่มีคนโกรธเขาบ้างเหรอ ไม่มีคนไม่พอใจเขาบ้างเหรอ จริง ๆ แล้วคือเวลาเขาแกล้งใคร พอจบแล้วเขาก็จะไป Take Care ความรู้สึกของคนนั้นด้วยนะ ไปถามว่าโอเคไหม โกรธมั้ย รู้สึกไม่พอใจในสิ่งที่แกล้งไปมั้ย แค่ส่วนใหญ่เราจะไม่ตัดต่อออกมาให้ดูในคลิป จริง ๆ เขา Take Care ความรู้สึกคนโดนแกล้งตลอด ถ้าไม่โอเคก็ไม่เอา

คิดว่าอะไรที่ทำให้คุณน็อตกับบอสเข้ากันได้ดี เพราะดูเหมือนไม่ใช่ว่าใครก็จะสามารถเข้ากับเขาได้ มันมีความเฉพาะตัวมาก ๆ ประมาณนึงเลย 

ผมว่ามันเป็นความกาวมากกว่า 555 มันเป็นความกาวของผมสองคน ที่เวลาพูดอะไรหรือคิดอะไรจะมีความกาวที่แม่งแบบตรงกันอยู่ แม้แต่จะเรื่องที่มันจริงจัง หรือเรื่องที่แม่งไม่มีสาระอะไรเลย แม่งก็จะมีความกาวที่แบบมันเชื่อมเราอยู่สองคน ว่าแบบเราคิดเหมือนกันว่ะ เรื่องบางเรื่องแค่มองก็คิดเหมือนกันไปแล้ว แต่ไม่ใช่ทรงแบบแฟนที่แบบรู้ใจอะไรกันนะ แต่มันเป็นความคิดที่แบบเรื่องกาว ๆ อะ เลยทำให้เข้ากัน 555

 

ถ้าต้องนิยาม ‘บอส’ ในมุมมองของคุณน็อตล่ะ บอสเป็นคนยังไง ? 

หลาย ๆ คนคงจะมองเขาว่าเป็นคนกวน เป็นคนขี้แกล้ง เป็นคนเฮฮาอะไรแบบนี้ แต่เขาก็จะไม่ได้เป็นแบบนั้นตลอด ผมมองว่าในมุมของผมถึงเขาคือเป็นคนจริงจัง ตลก แล้วก็ขี้เล่น ต่างกับหน้ากล้องประมาณนึง เหมือนหน้ากล้องเขาก็รับบทแสดงเป็นคน ๆ นึง แต่ละคลิปก็จะมีความไม่เหมือนกันอยู่ วันนี้เขาอยากเป็นใครก็แสดงบทบาทนั้น ซึ่งตัวจริงเขาก็ไม่ได้เป็นขนาดนั้น บางคนก็อาจจะคิดว่าตัวจริงเขาเป็นแบบนั้นรึเปล่า จริง ๆ เขาก็เป็นคนปกติทั่วไปครับ เป็นมนุษย์คนนึง 

และเมื่อเราอยากรู้ว่าคุณน็อตใช่ ‘นกฮูก’ ของโคจอนมั้ย คำตอบก็คือ … 

“ไม่เข้าข่าย ไม่เป็นเลยครับ ถ้ามองจากภายนอกมันก็หลายอย่าง 1.ไม่ใส่แว่น 2.ไม่ได้มีรูปร่างอ้วนท้วน ตุ้ยนุ้ยแบบน่าแกล้ง แล้วก็ไม่ได้แบกกระเป๋าแบบหนังสือเยอะ ๆ แล้วก็ส่วนใหญ่นกฮูกเขาจะแต่งตัวเรียบ ๆ ไม่ได้แฟชั่นมาก เป็นเด็กเรียน เป็นเด็กมีอนาคต แต่ถ้าใส่ชุด รด. ก็อาจจะช่วยได้นะ มันเป็นเหมือนมนต์ขลัง ไม่รู้ทำไมเวลาทำคอนเทนต์กับเด็กชุด รด. คอนเทนต์จะดีทุกครั้งเลย”


และนี่ก็คือ Long Fact About CoJohn ยาวสะใจกันไปเลยมั้ยล่ะ สิ่งที่น่าดีใจสำหรับเหล่าแฟนคลับคือ โคจอนบอกกับเราว่าปี 2023 เขากลับเข้าสู่วงการ Prank อย่างจริงจังอีกครั้ง และมีการทำคอนเทนต์ใหม่ ๆ อย่างการ Street Interview เข้ามาด้วย ซึ่งทั้ง Reel ใน FB และคลิปใน TikTok ก็เรียกว่าเป็นมีมไปหลายตัวแล้ว แต่ไม่ว่าหลังจากนี้โคจอนหรือบอสจะเลือกทำคอนเทนต์แบบไหนออกมา แนวคิดสุดแข็งแรงที่ว่า ‘มองงานทุกชิ้นเป็นเหมือนกับงานศิลปะ’ ก็ทำให้เรามั่นใจได้เลยว่าเขาจะผลิตผลงานที่มีคุณภาพ พร้อมกับรันวงการ Prank ประเทศไทยให้ไปในทิศทางที่ดีได้อย่างแน่นอน “เชื่อมั้ย ?”

รูปโดย : Krittapas Suttikittibut

GEESUCH
WRITER: GEESUCH
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line