Entertainment

จิตวิญญาณของ BIG MOUNTAIN คือความกวนตีน “ป๋าเต็ด-ยุทธนา”กับการจัดคอนเสิร์ตแบบมันเว่อร์มาก

By: PSYCAT October 3, 2018

“จิตวิญญาณของ Big Mountain คือความกวนตีนตั้งแต่ครั้งแรกอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าฉลองกันทั้งทีก็ฉลองให้เว่อร์ไปเลย มันก็เลยเป็นที่มาของสโลแกนปีนี้ว่ามันเว่อร์มาก” ประโยคนี้จากปากป๋าเต็ด-ยุทธนา บุญอ้อมฟังผิวเผินดูคล้ายเป็นการเจาะจงพูดถึง Big Mountain Music Festival ครั้งที่ 9 ที่กำลังจะกลับมามอบความสนุกให้พวกเราอีกครั้งช่วงปลายปีนี้ แต่เราเชื่อว่าป๋าเต็ดไม่ได้หมายถึงแค่มิวสิคเฟสติวัลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยเท่านั้นที่เขาแอบใส่จิตวิญญาณบางอย่างเข้าไปในงาน แต่หมายรวมถึงการเป็นผู้จัดคอนเสิร์ตมายาวนานจนพอจะเข้าใจว่าแก่นหรือจิตวิญญาณของคอนเสิร์ตแต่ละงานควรมีหน้าตาเป็นอย่างไร

ถ้าจิตวิญญาณของ Big Mountain Music Festival คือความกวนตีน แล้วจิตวิญญาณของคอนเสิร์ตอื่น ๆ เป็นแบบไหน ? แล้วแก่นแท้ของการเป็นผู้จัดคอนเสิร์ตคืออะไร ? เราว่าคงไม่มีใครตอบเราได้ดีเท่าป๋าเต็ด-ยุทธนา บุญอ้อมอีกแล้ว รวมถึงประสบการณ์การจัดมิวสิคเฟสติวัลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยมากว่า 8 ครั้ง จะมีอะไรใน Big Mountain Music Festival ครั้งที่ 9 ที่จะเว่อร์มากจนเราตกตะลึงได้อีก

เมื่อความสงสัยทะลักล้น UNLOCKMEN ก็คงไม่อาจทนได้ บทสนทนากับป๋าเต็ดจึงเริ่มขึ้นพร้อม ๆ กับความตื่นเต้นในใจเรา

Promoter  Concert ไม่ใช่โปรโมเตอร์มวยนะ (โว้ย)

“ผมเป็น Concert Promoter ในภาษาไทยคำว่า Promoter มันไม่มีคำแปลตรงตัว มันเลยทำให้คนนึกถึงคนจัดมวย แบบจัดมวยเวทีราชดำเนิน แต่อาชีพที่ผมทำอยู่เนี่ย คำที่ถูกต้องคือ Concert Promoter ก็คือคนจัดคอนเสิร์ตนั่นแหละ” ป๋าเต็ดเริ่มต้นด้วยการนิยามสิ่งที่ตัวเองทำให้เราฟัง แต่ก็ไม่วายกวนตีนตามสไตล์ แม้ตอนแรกป๋าเต็ดเลือกจะนิยามว่าเขาคือคนจัดอีเวนต์ แต่เมื่อนิ่งคิดแล้ว การจัดคอนเสิร์ตให้เกิดขึ้นได้อย่างใกล้เคียงความสมบูรณ์ในหัวที่สุดนั่นแหละคือหน้าที่ของเขา

“ถ้าเปรียบกับการทำหนังสักเรื่องผมก็เป็น Producer เรามีหน้าที่คิดคอนเซ็ปต์ รวบรวมผู้คนที่ทำให้คอนเสิร์ตนั้นมันเกิดขึ้นได้จริงไม่ว่าจะเป็นศิลปิน คนออกแบบฉาก คนออกแบบโปสเตอร์ คนที่จะช่วยกันทำทุก Element ในงานให้มันเกิดขึ้นมาได้จริง Promoter มีหน้าที่ในการควบคุมภาพรวม”

“ใครก็ตามที่ได้เข้ามาทำแล้วจะรู้ว่างานนี้มันไม่ได้ง่าย มันเป็นงานที่คนมักจะเข้าใจว่าเป็นผู้จัดคอนเสิร์ตก็คือคิดชื่อศิลปินที่จะมาแสดง เตรียมเพลง ทำสคริปต์แล้วก็เสร็จ”

“ความจริงแล้วคอนเสิร์ตมันมีอะไรมากกว่านั้น มันมีสิ่งที่คนที่ดูไม่เห็นอีกมากมาย เรื่องยากมันไม่ใช่สิ่งที่คนดูเห็นในคอนเสิร์ตด้วยซ้ำ แต่มันอยู่ระหว่างนั้น”

ยอมรับว่าทุกครั้งที่เราได้ยินคำว่า Promoter ก็อดคิดถึงนักมวย เวทีมวยไม่ได้ แต่หลังจากนี้ภาพ Concert Promoter ในหัวเราก็ชัดเจนขึ้นกว่าที่เคย พูดง่าย ๆ ว่าถ้าเรามีคอนเสิร์ตในฝันที่อยากจะเห็นร่วมกัน คนที่จะเนรมิตรให้คอนเสิร์ตในฝันเราเป็นจริงได้เป๊ะทุกกระเบียดนิ้วตามที่เราจินตนาการไว้ก็คือ Concert Promoter นี่เอง และความยากของการเป็น Concert Promoter ไม่ใช่การต้องคอยอธิบายว่าอาชีพนี้ทำอะไร แต่เป็นทุกรายละเอียดทุกขั้นตอนกว่าจะประกอบสร้างออกมาเป็นคอนเสิร์ตที่เราเห็นว่าสมบูรณ์แบบขึ้นมาสักคอนเสิร์ตหนึ่งนั่นเอง

หัวใจของคอนเสิร์ตที่ดีคือเคมีที่สอดคล้องกันระหว่างคนดูกับศิลปิน

คำตอบของป๋าเต็ดทำให้เราอดขบคิดกับตัวเองไม่ได้ เพราะหลังจากดูคอนเสิร์ตมาจำนวนหนึ่ง บางครั้งคอนเสิร์ตจัดในที่เล็กแสนเล็ก คนดูก็ไม่มากมายอะไร ทำไมเราถึงประทับใจคอนเสิร์ตนั้นเป็นพิเศษ หรือกับคอนเสิร์ตใหญ่ที่ก็สร้างความฮึกเหิมให้กับเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในทางกลับกันมันก็มีทั้งคอนเสิร์ตเล็กและคอนเสิร์ตใหญ่ที่เรากล้าใช้คำว่าไม่น่าจดจำเอาเสียเลยอยู่เช่นกัน อะไรคือปัจจัยที่ทำให้คอนเสิร์ตประทับใจคนหรือไม่เป็นที่จดจำ คอนเสิร์ตที่ดีมันคืออะไรกันแน่ ?

“คอนเสิร์ตที่ดีสำหรับผม คือการมาเจอกันของศิลปินที่เหมาะสมและคนดูที่เหมาะสม ไม่เกี่ยวกับขนาด ไม่เกี่ยวกับจำนวนคนดู คอนเสิร์ตที่ดีมีคนดู 5 คนก็เป็นคอนเสิร์ตที่ดีได้”

“ดูแสนคนก็เป็นคอนเสิร์ตที่ดีได้ แต่ที่สำคัญศิลปินกับคนดูต้องเหมาะสม ต้องสอดคล้องกัน ต่อให้คุณเอาคนดูที่ไปดู Madonna มาเล่นแต่ ไม่ใช่แฟนคลับ Madonna มันก็จะไม่เกิดความประทับใจ หรือเอาเด็กอนุบาลมานั่งดูก็จะไม่ใช่ละ ดังนั้นหน้าที่ของโปรโมเตอร์คือจับเอาสองสิ่ง ศิลปินกับคนดูมาทำยังไงถึงจะเหมาะสมกัน แล้วสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายได้เติมสารกระตุ้นให้แก่กัน ให้ได้เป็นตัวของตัวเอง ปลดปล่อยพลังงานมาอย่างเต็มที่ ผมว่าอันนี้คือหัวใจของมัน”

“ความท้าทายของการจัดคอนเสิร์ตมันคือตรงนี้ มันคือการที่ต่อให้เราได้ศิลปินที่ดี แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคนดูที่เหมาะสมจะได้มาดู”

“จากนั้นมันก็เกี่ยวกับเรื่องของการโปรโมต เกี่ยวกับเรื่องของการทำหน้าหนังให้คนดูที่เหมาะสม เข้าใจและได้มาดู รวมถึงการตั้งราคาบัตร เมื่อมาถึงแล้วการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมมันก็เป็นเรื่องทีมงานเล่นให้ดี outdoor หรือ indoor ขนาดใหญ่หรือขนาดเล็ก ฉากเป็นยังไงดี สคริปต์เป็นยังไงดี แสงเป็นยังไงดี เสียงเป็นยังไงดี รอบ ๆ ต้องมีอะไรไหมหรือปล่อยให้เขาดูกันไปหรือต้องมีกิจกรรมก่อน หน้างานหรือระหว่างงาน นั่นคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม นั่นคืองานทั้งหมดของ Promoter ครับ”

ป๋าเต็ดจบประโยคด้วยใบหน้าระบายยิ้มบาง ๆ อธิบายรวดเดียวราวกับทุกอย่างอยู่ในใจ แต่เรามั่นใจว่าทั้งหมดที่อธิบายมาไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ เหมือนอย่างตอนเล่าแน่ ๆ และดีใจที่ได้รู้ว่าคนดูอย่างเรา ๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คอนเสิร์ตแต่ละครั้งมันสมบูรณ์แบบและอิ่มใจไปอีกขั้นเมื่อรู้ว่าบางทีก็เพราะเคมีที่ถูกต้องของเราที่เป็นเหมือนสารกระตุ้นให้ศิลปินที่เรารักแสดงได้เต็มสูบเข้าไปอีก แต่ทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าขาด Concert Promoter ที่เฟ้นหาศิลปินที่เหมาะสม และคนดูที่ลงตัวกับพวกเขา

ต้องขอบคุณ Concert Promoter ที่พาเราไปเจอศิลปินที่เรารักท่ามกลางคอนเสิร์ตที่เราประทับใจจริง ๆ

คอนเสิร์ตเหมือนเดิม แต่ต้องจัดให้มันไม่เหมือนเดิม

ฟังแล้วก็อดฮึกเหิมไม่ได้ การนำพาศิลปินกับคนดูที่ดึงดูดกันมาเจอกันในบรรยากาศที่เหมาะสมดูเป็นงานที่ต้องใส่ใจทุกรายละเอียดมาก ๆ และป๋าเต็ดทำหน้าที่นั้นได้แทบไม่มีที่ติ แต่เราก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำคอนเสิร์ตมาเป็นสิบเป็นร้อย มันก็คือการทำคอนเสิร์ตซ้ำ ๆ อยู่ดี มันจะมีอะไรซ้ำ ๆ วน ๆ ชวนเบื่อบ้างไหม ?

“ไม่เหมือนกันเลย แล้วโดยนิสัยของโปรโมเตอร์ทั่วไปรวมถึงผมด้วย เราไม่อยากทำอะไรที่มันเหมือนเดิม เช่น บางครั้งเราอาจจะต้องทำคอนเสิร์ตให้กับศิลปินที่เคยทำมา แล้วเราต้องทำอีก เราก็ เอ๊ะ มันจะต่างจากคราวที่แล้วที่เราทำยังไง แล้วพอต่างแล้วมันจะดีเท่าคราวที่แล้วไหมหรือมันจะดีกว่าได้ยังไง”

“แต่ในขณะเดียวกัน ทั้งคนดูทั้งศิลปินก็ต้องไม่สูญเสียความเป็นตัวเอง เราจะไม่บังคับให้ศิลปินเป็นในสิ่งที่เขาไม่ได้เป็น เราจะไม่ยัดเยียดในสิ่งที่คนดูเขาไม่ได้อยากได้”

“เราอาจจะให้มากกว่าที่เขาอยากได้นิดหน่อย แต่ว่ามันต้องไม่ใช่การยัดเยียด ไม่งั้นเคมีมันจะผิดและทุกอย่างมันจะจบเลย เพราะการทำคอนเสิร์ตมันว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างคนดูกับศิลปิน

มันมี Element หนึ่งที่สำคัญ ในเรื่องของการโชว์ก็คือความเซอร์ไพรส์ ความได้เห็นในสิ่งที่เกินคาดหรือไม่ได้คาดหวังไว้ บางเซอร์ไพรส์มันก่อให้เกิดปฏิกิริยาเคมีอะไรบางอย่างในตัวเอง ซึ่งมันส่งผลต่อความรู้สึกในการที่แสดง หรือสิ่งที่คนดูจะแสดงออกมา ซึ่งมีผลต่อโชว์ โชว์ดีคนดูนิ่ง ศิลปินก็จะเริ่มเล่นไม่ออก ในสิ่งที่เราทำคือเราต้องทำยังไงให้ศิลปินปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างออกมาต้องทำยังไงให้คนดูร้องเพลงออกมาดังที่สุด กระโดดสูงที่สุด หรือ ปรบมือดังที่สุด”

“ความเซอร์ไพรส์เป็น Element พิเศษ ที่ไปกระตุ้นอะไรบางอย่างในตัวคนดู แล้วคนดูจะกระตุ้นศิลปิน ฉะนั้นคือไม่อยากให้ทำอะไรให้มันเหมือนเดิม”

เก่งขึ้น ชำนาญขึ้น ไม่ได้แปลว่าสบายขึ้น

“ทุกครั้งที่ผมทำจะรู้สึกอยากพอตลอดเลย คิดว่า เออ ทำครั้งนี้แล้วก็พอแล้วล่ะ แต่พอมันทำแล้วเกิดอะไรบางอย่าง เช่นแบบ เฮ้ย มุขนี้เวิร์กมาก หรือ อื้อหือ อยากแก้มือว่ะ เวลามันไม่ได้อย่างที่คิดนะ ทำให้เรารู้สึกว่างั้นเราต้องไปสร้างโจทย์ใหม่ทำอะไรใหม่เพื่อให้มันท้าทายขึ้น หรือแก้มือในสิ่งที่มันไม่สำเร็จมัน สุดท้ายมันก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ”

“คนทำงานที่มันต้องใช้ครีเอทีฟ มันมีความอยากท้าทายตัวเอง มีความไม่ยอมที่จะหยุดอยู่กับที่ เก่งขึ้นก็จริงแต่ว่ามันก็จะอยากทำสิ่งที่ยากกว่า สิ่งที่มันท้าทายตัวเองมากกว่า เหมือนนักวิ่งอะ วิ่งได้เท่านี้ก็อยากวิ่งให้มากขึ้นหรือวิ่งได้ไกลขึ้น ยกน้ำหนักก็อยากยกให้มันได้มากขึ้น”

“ต่อให้เขาเก่งขึ้นก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะยกผ่านสบายเพราะว่าเขาเลือกที่จะยกน้ำหนักอันที่มันใหญ่กว่าอันที่เขาเคยยกมาได้”

“อะไรที่มันกระตุ้นให้รู้สึกอยากทำต่อมันเป็นโดยธรรมชาติ คือ ประสบความรำเร็จก็อยากทำต่อ เพราะว่าเรารู้สึกว่า โอ้โห มันสะใจมากเลย อยากได้ความสะใจอย่างนั้นอีกครั้ง ไม่ประสบความสำเร็จก็จะรู้สึกอยากแก้มือ ก็เลยยังไม่ได้หยุดสักทีครับ”

จะบอกว่าในหัวป๋าเต็ดไม่มีคำว่าหยุดพักเลยก็คงไม่ใช่ เพราะเขาสารภาพชัดเจนว่าทุกครั้งที่ต้องทำก็คือทุกครั้งที่คิดว่าจะทำงานนี้เป็นงานสุดท้าย แต่เหมือนว่าผลงานที่ออกมาทุกครั้งนั้นเองที่เป็นตัวการในการกระตุ้นเขาให้ก้าวไปข้างหน้า ด้วยจิตวิญญาณแบบสู้ไม่ถอย ดังนั้นถ้างานออกมาดี เขาก็จะฮึกเหิมอยากทำที่มันดีให้สะใจไปกว่านี้ แต่ในขณะเดียวกันถ้างานออกมาไม่ได้ดั่งใจเขาก็ยิ่งอยากแก้มือใหม่ให้มันออกมาเข้ารูปเข้ารอยจนได้ คำว่าหยุดอาจโผล่มาบ้าง แต่คำว่ายอมแพ้ไม่เคยอยู่ในพจนานุกรมของเขาเลยจริง ๆ

Big Mountain Music Festival ยิ่งใหญ่ ยิ่งเว่อร์ ยิ่งท้าทาย

ถ้าย้อนกลับไปสิบกว่าปีก่อนแล้วพูดถึงมิวสิคเฟสติวัล เราอาจนึกภาพอะไรไม่ออกเลย แต่ในวันนี้ต่างออกไป เมื่อไหร่ที่พูดถึงมิวสิคเฟสติวัลชื่อของ Big Mountain Music Festival จะผุดขึ้นมาในหัวเราแทนทันที ดังนั้นถ้าย้อนกลับไปในเวลาที่แม้แต่คนดูก็จินตนาการไม่ออกว่ามิวสิคเฟสติวัลในไทยจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร แต่กลับมีคนคิดที่จะจัดมิวสิคเฟสติวัลขึ้นมา แถมหาญกล้าบอกว่ามันคือมิวสิคเฟสติวัลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ในหัวจะต้องคิดอะไรอยู่กันแน่ ?

“มันย่อมต้องมีความท้าทายนะ มันต้องมีความไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่เลยแน่ ๆ แต่ว่าเรารู้ว่าถ้าทำในสิ่งที่คนทำมาก่อน แล้วเราทำให้ดีกว่าไม่ได้หรือพิเศษกว่าไม่ได้ อันนี้แหละที่น่ากลัวมากกว่า โอกาสที่ทำสิ่งซ้ำ ๆ แล้วจะประสบความสำเร็จมันน้อยมาก ก็ไม่รู้จะทำไปทำไม เรากลัวล้มเหลว ไม่ใช่ไม่กลัวล้มเหลว แต่เรากลัวจะทำในสิ่งที่มันไม่รู้จะทำไปทำไมมากกว่า”

“เราเลยเลือกที่จะเดินเข้าหาโจทย์ที่ยาก แต่ว่าผลตอบแทนมันคุ้มค่ากว่า มันได้ในสิ่งที่พิเศษกว่าและมันสนุกกว่า”

เราคงไม่ต้องอธิบายว่า Big Mountain Music Festival คืออะไร ประสบความสำเร็จมากแค่ไหน เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนเติบโตมากับมิวสิคเฟสติวัลนี้เลยด้วยซ้ำ ถ้าให้ต้องสารภาพแบบเขิน ๆ ก็คือเราไป Big Mountain Music Festival ครั้งแรกตอนมัธยมปลาย จนตอนนี้เราจบมาทำงานได้สักพักแล้ว เมื่อพูดถึง Big Mountain Music Festival เราก็เห็นภาพแจ่มชัดในความทรงจำได้ไม่ยาก

“ถ้าเอาเป็นตัวเลขเลยมันก็ค่อนข้างชัดเจนนะ ครั้งที่ 1 ผมจำได้ว่าขายบัตรได้ประมาณหนึ่งหมื่นห้าพันใบ มีคนดูอยู่ในงานประมาณสองหมื่นคน ครั้งล่าสุดคือปีที่แล้วขายบัตรได้ประมาณเกือบ ๆ หกหมื่นใบ มีคนอยู่ในงานเจ็ดหมื่นคน ไม่ใช่แค่คนดู แต่รวมสตาฟ รวมทีมงาน รวมทุกอย่าง เป้าหมายปีนี้คือจะมีคนอยู่ในงานประมาณเก้าหมื่นคน นี่เป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนมากว่า โอ้โห มันโตขึ้นกว่าเดิม ถ้าครั้งนี้ทำได้ตามเป้าก็โตขึ้นกว่าเดิมประมาณสี่เท่าเกือบห้าเท่าแล้ว”

นี่จึงเป็นครั้งที่ 9 ของมิวสิคเฟสติวัลอย่าง Big Mountain Music Festival ที่จะกลับมาแบบเว่อร์ ๆ อีกครั้งและแน่นอนว่ายิ่งฟังจิตวิญญาณของการจัดคอนเสิร์ตและการจัดมิวสิคเฟสติวัลจากป๋าเต็ดแล้ว เราว่าเราไม่ควรพลาด Big Mountain Music Festival ครั้งนี้ด้วยประการทั้งปวง

มันสะดวกมาก มันเว่อร์มาก เว่อร์ชนิดเหมารถห้องน้ำในประเทศมาเกือบหมด!

ในฐานะศิษย์เก่า Big Mountain Music Festival รุ่นไปงานครั้งแรก เรื่องคอนเสิร์ตเรามั่นใจเต็มล้าน แต่เราก็อดสงสัยไม่ได้ว่าถ้าเราไปแล้วเราจะต้องเบียดเสียดแย่งกันเข้าห้องน้ำอยู่หรือเปล่า เพราะมิวสิคเฟสติวัลจะเด็ดดวงขนาดไหน แต่ถ้าความสะดวกไม่พร้อม ด้วยอายุที่ไม่ได้เด็กเหมือนครั้งไปงานหนแรก เราก็คงลังเลใจไม่น้อย

“เอาเป็นว่าวันที่ 8-9 ธันวาคม ถ้าคุณไปงานอื่นในประเทศไทยที่เขาจัดอะไร แล้วห้องน้ำน้อยให้โทษ Big Mountain Music Festival เลยนะ เพราะเราเหมารถห้องน้ำมาไว้ที่นี่หมดแล้ว”

เราหัวเราะกันครืนใหญ่ แม้จะฟังดูเหมือนมุขตลก แต่ก็เหมือนว่าแพลนการจัดการจะจริงจังเอามาก ๆ เพราะไม่ใช่แค่ห้องน้ำ แต่ระบบการอำนวยความสะดวกและการจัดการเตรียมไว้รอคนมางานอย่างพร้อมสรรพ

“เราเช่าพื้นที่เพิ่มเติมเป็นร้อย ๆ ไร่ไว้เป็นที่จอดรถเพิ่มเติม เราเพิ่มพื้นที่กางเต็นท์เพื่อให้คนนอนในงานได้มากขึ้น เพราะเรารู้ว่าการไป Big Mountain Music Festival ที่สะดวกที่สุดเลยนะ ดีที่สุดเลยที่ผมแนะนำเลยฮะ จับตัวกันเป็นกลุ่มไปกันหลาย ๆ คน แล้วไปรถสาธารณะจะไปรถตู้ก็ได้ที่มันมีรถบริการ รถบัสทั้งหมดซื้อตั๋วได้ผ่านเซเว่นฯ แล้วพอไปถึงงานแล้ว ก็จองเต็นท์ คุณจะช่วยลดปัญหาการจราจรเพราะการใช้รถสาธารณะ ทำให้คนไม่ต้องเอารถส่วนตัวไปทุกคัน

พอไปงานไม่ต้องไปไหนแล้ว ทุกอย่างพร้อมเพรียง ปีนี้เต็นท์ก็มีให้เหมาะสมให้ทุกระดับความพึงพอใจ จะเป็นคนที่ไปแคมปิ้งบ่อยอยู่แล้วมีพื้นที่เปล่าให้เอาเต็นท์ไปกางเอง หรือแคมปิ้งแบบมือใหม่ก็มีเต็นท์ที่กางรอไว้แล้วให้คุณเตรียมอุปกรณ์การนอนไปหรือเป็นแคมปิ้งมือใหม่มาก ๆ เรามีความสะดวกสบายรออยู่เพราะมีแคมปิ้งแบบไฮโซขึ้นมา มีทั้งเบาะปูให้นอน มีกระทั่งที่เสียบชาร์จแบตมือถืออยู่ในเต็นท์เลย หรือบางคนจะมาไฮโซกว่านั้นก็รถบ้านติดแอร์มีห้องน้ำในตัว มีน้ำอุ่น เลือกได้ทุกอย่าง

ที่สำคัญปีนี้เราเพิ่มทางเข้าออกสำหรับคนสัญจรในรถสาธารณะโดยเฉพาะ ดังนั้นใครที่มารถสาธารณะก็จะสะดวกรวดเร็วกว่าคนอื่นแน่นอน ถ้าคุณใช้รถสาธารณะก็มีทางเข้าตั้งหลายทาง ถ้าคุณพักรีสอร์ท บนเขาใหญ่ คุณเรียกมอเตอร์ไซค์มา เรียกรถตู้ของโรงแรมมา คุณก็ไปจอดอีกประตูหนึ่ง แล้วที่จะเดินเข้ามางาน ไม่ต้องไปเข้าทางเดียวกับคนที่เอารถส่วนตัวมา

พอแยกแบบนี้ชีวิตจะดีขึ้น ถ้าคุณไม่อยากเข้าไปในที่จอดรถหลักกลัวรถเยอะเราก็มีที่จอดรถแบบที่อยู่หน้างานเพียงแต่ว่ามันจะอยู่อีกฝั่งหนึ่ง คุณจอดรถคุณแล้วต่อรถบัสเข้ามาในงาน เราพยายามเพิ่มทางเลือกให้ อย่างเว่อร์ ๆ เลย”

เพราะคนดูทุกคนคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Big Mountain Music Festival สมบูรณ์

“ความพิเศษ  Big Mountain Music Festival ครั้งนี้เป็นการฉลองครบรอบ 9 ปี พอมันเป็นการฉลองครบรอบ 9 ปี เราก็ชอบเลข 9 เลข 9 คนไทย มันคือ เลขที่เป็นมงคล ก็เลยคิดว่าเฉลิมฉลองกันสักนิดแล้วกัน ด้วยความที่งานเรามันเป็นงานใหญ่ด้วยครับ เราก็เลยเฉลิมฉลองกันแบบเว่อร์ ๆ

“จิตวิญญาณของ Big Mountain Music Festival คือความกวนตีนตั้งแต่ครั้งแรกอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าฉลองกันทีก็ฉลองให้เว่อร์ไปเลยมันก็เลยเป็นที่มาของสโลแกนปีนี้ว่ามันเว่อร์มาก”

ทุก Element ที่จะนำเสนอออกไปมันต้องเว่อร์ ๆ เท่านั้น เอาแค่การขยายขอบเขตของงาน เพิ่มจำนวนคนดูจาก 70,000 เป็น  90,000 มันก็เว่อร์อยู่แล้ว ใครที่เคยมาแล้วมีอะไรที่เป็น Element หลักหรือภาพจำเราก็จะเก็บเอาไว้ในครั้งนี้ แล้วจะเสริมเติมให้มันเว่อร์ขึ้นอีก”

“เอาเป็นว่าของที่เราเคยทำไว้ใน 8 ครั้งที่ผ่านมาแล้วเป็นภาพจำและความประทับใจเราจะเอากลับมาใหม่ แต่ว่ากลับมาให้สอดคล้องของบริบทในวันนี้”

“ทำให้การมางาน Big Mountain Music Festival ปีนี้มันจะได้ความรู้สึกอย่างแรกว่ามันใหญ่ขึ้นอีกแล้ว มันใหญ่อยู่แล้ว มันใหญ่ขึ้นแบบเว่อร์อะไรอย่างนี้ ในขณะเดียวกันจะมีบางมุมบางช็อตที่ชวนย้อนความทรงจำ เช่นว่าเราเคยเต้นเวทีนี้เมื่อ 3 ปีก่อน มันกลับมาอีกแล้ว

ถ้ากลับไปที่โจทย์แรกสุดอย่าลืมที่ผมบอกไว้ว่าความสัมพันธ์ของศิลปินกับคนดูสำคัญที่สุด ดังนั้นคนดูทุกคนที่มางาน Big Mountain Music Festival คือ Element สำคัญ คุณต้องกลับมาสร้างบรรยากาศนั้นในงาน เพราะ Big Mountain Music Festival นี่ถ้าจัด Fullscale แต่ถ้าคนดูออกไปหมดมันก็ไม่มีทางสนุก ได้ยืนดูพี่ตูนกระโดดแบบเหงา ๆ ก็ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าเติมคนเก้าหมื่นคนเข้าไป อันนี้คือสิ่งที่แตกต่าง”

“ครั้งนี้มันพิเศษจริง ๆ มันเป็นการฉลองครบ 9 ปีในสิ่งที่เราทำมา ตั้งแต่ในปีแรกหลายคนบอกว่าเคยไป Big Mountain ครั้งแรก ๆ ไปครั้งหลัง ๆ ไม่เหมือนเดิม เราอยากจะบอกว่าหัวใจมันยังเป็นเหมือนเดิมทุกประการ”

ถ้าให้พูดแบบเว่อร์ ๆ แต่เป็นจริงทุกประการคือการได้ฟังจากป๋าเต็ด-ยุทธนาว่าเรา (ในฐานะคนดู) นี่แหละที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คอนเสิร์ตมันสมบูรณ์แบบ เพราะคอนเสิร์ตที่ดีหรือมิวสิคเฟสติวัลที่งดงามมันจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าขาดคนดูที่ต้องการไปมีส่วนร่วมกับศิลปินอย่างจริงจัง ดังนั้นมันจึงไม่มีเหตุผลไหนเลยที่เราจะพลาด  Big Mountain Music Festival ครั้งนี้ ด้วยศิลปินที่ตบเท้ากันมาอย่างโคตรคับคั่งที่สุดในรอบเก้าปี มีครบทุกแนวตั้งแต่สากล หมอลำ ป็อป ร็อก ไล่ยาวไปถึงเวทีตลกคาเฟ่ เรื่องความสะดวกก็พร้อมสรรพกว่าครั้งไหน ๆ ที่สำคัญ  Big Mountain Music Festival มันร่ำร้องหาคนเก่า ๆ ที่เคยไปงานนี้มาแล้วให้กับไปกอบเก็บความทรงจำกับงานที่เราเติบโตมาด้วยกัน ส่วนคนใหม่ ๆ ที่ไม่เคยไปงานนี้ยิ่งไม่ควรพลาด เพราะในชีวิตหนึ่งเราจะได้สัมผัสมิวสิคเฟสติวัลที่เว่อร์ขนาดนี้ได้ง่าย ๆ ซะที่ไหน

UNLOCKMEN เลยอยากมาเตือนว่าวันศุกร์ที่ 5 ตุลาคมนี้ คือวัน EARLY COW วันที่บัตรเข้างาน Big Mountain Music Festival จะราคาถูกที่สุด ซื้อง่ายที่สุด ท่องให้ขึ้นใจว่า ขายบัตร 5 ตุลาคม นี้ วันเดียวเท่านั้น! สำหรับ บัตร EARLY COW 1,900 บาท และพิเศษเว่อร์! บัตร VIP EARLY COW 3,000 บาทที่ Counter Service All Ticket ในร้าน 7-Eleven ทั่วประเทศ หรือจะไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Big Mountain Music Festival

รับรองว่าทุกรายละเอียดใน Big Mountain Music Festival จะทำให้เราเห็นภาพทุกรายละเอียดได้จริง ๆ ว่ากว่าจะเกิดขึ้นมาเป็นความกวนตีน ความสมบูรณ์แบบ และความมันส์ขนาดนี้ได้ นอกจาก Concert Promoter เจ๋ง ๆ อย่างป๋าเต็ดและทีมงานทุกคนแล้ว เราทุกคนนี่แหละที่เป็นปัจจัยสำคัญ

PSYCAT
WRITER: PSYCAT
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line