CARS
LAMBRETTA Elettra Concept อิเลคทริคสกู๊ตเตอร์สัญชาติอิตาลี ศิลปะแห่งอนาคตขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า
By: Chaipohn November 9, 2023 227915
สร้างความสั่นสะเทือนวงการรถจักรยานยนต์อีกครั้ง กับแบรนด์ LAMBRETTA (แลมเบรตต้า) เจ้าพ่อสกู๊ตเตอร์คลาสสิกระดับตำนาน 76 ปี จากอิตาลี ทำเซอร์ไพรส์เผยโฉมสุดยอดอิเลคทริคสกู๊ตเตอร์ EV Concept รุ่นต้นแบบ ในชื่อรุ่น Elettra กับรูปโฉมที่เปรียบเสมือนผลงานศิลปะแห่งอนาคต ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100%
Elettra รถรุ่นต้นแบบของสกู๊ตเตอร์พลังงานไฟฟ้า 100% จากแบรนด์ดังฝั่งอิตาลี อย่างแลมเบรตต้า ที่นำมาเผยโฉมให้ได้ชมกันเป็นครั้งแรกในโลก ภายในงาน EICMA 2023 (Esposizione Internazionale Ciclo Motociclo e Accessori 2023) จัดขึ้น ณ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 66 นี้ ซึ่งถือเป็นปีที่แบรนด์แลมเบรตต้าครบรอบ 76 ปี
สำหรับชื่อ Elettra เป็นชื่อภาษาอิตาเลียน ที่นิยามถึงหญิงสาวทรงเสน่ห์ มากความสามารถมีความคิดนอกกรอบและมีความมั่นใจในตนเอง นอกจากนี้ ยังมีความหมายอีกนัยหนึ่งว่าเป็น จิตวิญญาณแห่งการบุกเบิก หรือผู้ที่มีเอกลักษณ์ โดดเด่นจนได้รับเป็นผู้ที่ถูกเลือก ซึ่งนั่นจึงเหมาะสมกับการนิยามความหมายให้กับรุ่นต้นแบบของ Elettra สกู๊ตเตอร์แนวคิดแห่งอนาคตอันมีดีไซน์ทรงเสน่ห์คันนี้
“ แรงบันดาลใจจากอดีต สู่ แนวคิดแห่งอนาคต ”
เบื้องหลังของการออกแบบรูปโฉมของ Elettra สกู๊ตเตอร์แห่งอนาคตคันนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากอดีตในรุ่นตำนานอย่าง Model LD ในช่วงปี 1951-1958 นำมาถ่ายทอดเส้นสายของดีไซน์และพัฒนาใหม่เพื่อก้าวเข้าสู่ New Golden Era ของแลมเบรตต้า โดยใช้แนวคิดแห่งอนาคตในการออกแบบให้มีความล้ำสมัยระดับไฮเอนด์ แต่ยังคงกลิ่นอายและ DNA ดีไซน์โครงสร้างแบบ Low & Long อันเป็นเอกลักษณ์ของแลมเบรตต้าซึ่งมีมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันเอาไว้ได้อย่างลงตัว
การออกแบบในส่วนของด้านหน้ารถ เริ่มตั้งแต่ไฟหน้าที่ยังคงเอกลักษณ์ โคมหกเหลี่ยมพร้อมสลักโลโก้ LAMBRETTA ตรงกลาง ถัดลงมาที่โลโก้ INNOCENTI – LAMBRETTA ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ที่สืบทอดในหลากหลายโมเดลของแลมเบรตต้ามาหลายยุคหลายสมัย ก็ยังคงดีไซน์เดิมเอาไว้ แต่เพิ่มเติมลูกเล่นใหม่โดยใช้ lighting แบบแสงออกหน้า ถัดลงมาที่เอกลักษณ์สำคัญที่สาวกแลมเบรตต้าตัวจริงหรือชาวแลมเบรตติสต้า เรียกบริเวณนี้กันว่า จมูกหมู ซึ่งเป็นอีกเอกลักษณ์ที่มีในรถแลมเบรตต้ามาอย่างยาวนาน โดยในโมเดล Elettra คันนี้ ได้ปรับดีไซน์ใหม่ ให้มีการเล่น lighting ภายในดีไซน์ของบริเวณจมูกหมูถือเป็นการนำเสนอแบบใหม่ ที่เสริมคาแรคเตอร์ให้ดูล้ำสมัยมากยิ่งขึ้น แต่ยังคงตัวตนของแลมเบรตต้าเอาไว้ได้อย่างชัดเจนที่สุด
นอกจากนี้ ก็ยังคงแฝงดีไซน์การเล่น lighting ในจุดต่างๆ รอบคัน ทั้งบริเวณขอบคิ้วของตัวรถ ปลายแฮนด์ทั้งสองข้าง โลโก้บริเวณฝาข้างทั้งสองข้าง และที่แปลกตาคือไฟท้าย ในโมเดล Elettra รุ่นต้นแบบคันนี้ ออกแบบมาให้ไฟท้าย เล่น lighting สีแดง แบบที่ฝังอยู่ในตัวบอดี้ ไม่มีโคมแยกชิ้น ซึ่งหากไม่สตาร์ทรถ ก็จะเห็นเพียงชิ้นสีบอดี้แบบเนียนตาเลยทีเดียว สมกับเป็นดีไซน์ที่ใช้แนวคิดแห่งอนาคตในการออกแบบจริงๆ
มาถึงอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของโมเดล Elettra คันนี้ คือ การออกแบบให้บอดี้ตัวรถสามารถยกเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า ที่นอกจากจะได้อารมณ์ความล้ำนำสมัยขั้นสุดแล้ว ยังช่วยให้การเซอร์วิสหรือการคัสตอมอุปกรณ์ต่างๆด้านในกลายเป็นเรื่องที่ทำได้สะดวกมากยิ่งขึ้น อีกทั้งในส่วนของโครงสร้างด้านในตัวรถยังมีรายละเอียดทางด้านวิศวกรรมในการออกแบบที่เลือกใช้วัสดุอะลูมิเนียม ซึ่งมีคุณสมบัติให้ความแข็งแกร่ง ทนทาน ประกอบกับมีน้ำหนักเบา เพื่อให้สามารถตอบโจทย์กับการใช้งานแบบประหยัดแบตเตอรี่ได้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ในโมเดล Elettra คันต้นแบบคันนี้ ยังมาพร้อมกับช่วงล่างเอกลักษณ์ กับระบบโช๊คด้านหน้าแบบ Double Arm-Link พร้อม ปั๊มเบรค Brembo รัดด้วยยางหน้า-หลัง ขนาด 12” จากแบรนด์สัญชาติเดียวกันอย่าง Pirelli แบรนด์ยางชื่อดังจากอิตาลี ส่วนทางด้านหลังออกแบบให้ใช้ช่วงล่างแบบ “Push Rod” หรือระบบ
ช่วงล่างที่นิยมใช้กันในรถ Super bike และ Hyper Car คือการออกแบบให้มีการเคลื่อนที่ของสปริงโช๊คอัพไปในแนวระนาบแทน ซึ่งการวางแบบนี้ ในโมเดล Elettra จะสัมพันธ์กับการดีไซน์บอดี้ด้านข้างให้สามารถแคบลงได้ เพื่อให้ได้ฟีลลิ่งบอดี้สลิม รูปร่างเพรียว เมื่อมองจากทางด้านท้าย เหมือนกับโมเดลแลมเบรตต้าในอดีต
อีกทั้งยังมีข้อดีที่ช่วยให้ช่วงล่างมีความนุ่มนวลมากกว่าแบบปกติทั่วไป
สำหรับข้อมูลเบื้องต้นในขณะนี้ Elettra จะมาพร้อมกับโหมดการขับขี่ ถึง 3 โหมดด้วยกัน ได้แก่
เรียกได้ว่าแลมเบรตต้า EV Concept รุ่น Elettra คันนี้ ถือเป็นสกู๊ตเตอร์พลังงานทางเลือกที่มีสไตล์ที่สุดจากทางฝั่งอิตาลี และน่าจับตามองที่สุดในขณะนี้ แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับการลงรายละเอียดสเปคเพิ่มเติมของ Elettra จะเป็นอย่างไร มีโอกาสที่จะผลิตมาจำหน่ายในอนาคตหรือไม่ หรือจะนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเมื่อไหร่ คงต้องติดตามกันต่อไป…