Entertainment

สารคดี “LIAM GALLAGHER: AS IT WAS” จากวันฝันสลาย สู่การหยัดยืนอีกครั้งอย่างสง่างาม

By: Synthkid October 17, 2019

สิ้นสุดการรอคอยสำหรับสาวก Oasis และ Liam Gallagher ชาวไทยทั้งหลาย เพราะในที่สุดหนังสารคดี LIAM GALLAGHER: AS IT WAS ก็มีกำหนดการฉายในบ้านเราแล้วเป็นที่เรียบร้อย โดยจะเข้าฉายพร้อมกันทั่วประเทศ (แต่ต้องเช็กนิดนึงว่าโรงไหนมีบ้าง) ในวันที่ 17 ตุลาคมนี้ ก่อนอื่นทาง UNLOCKMEN ก็ต้องขอบคุณทาง Lido Connect เป็นอย่างยิ่งที่เชิญทีมงานเราไปดูก่อนใครในรอบสื่อมวลชน

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา วันนี้เราก็จะมารีวิวหนังสารคดีของร็อกสตาร์ฝีปากกล้าเรื่องนี้ให้หนุ่ม ๆ ทุกคนได้อ่านเป็นน้ำจิ้มก่อนจะไปดูของจริงในโรงภาพยนตร์ โดยทางเราขอยืนยันว่าจะไม่มีการสปอยล์ใด ๆ ที่จะทำให้เสียอรรถรสอย่างแน่นอน มาเริ่มกันเลย!

จุดเริ่มต้นวันฝันสลาย “Oasis แยกวง”

credit: https://www.radiox.co.uk

หากจุดเริ่มต้นของ Oasis อยู่ในสารคดี Oasis: Super Sonic

จุดจบของ Oasis ก็คือจุดเริ่มต้นของสารคดี Liam Gallagher: As It Was

เรื่องราวของหนังจะเริ่มต้นตั้งแต่วันมหาวิปโยคที่เทศกาล Rock en Seine กรุงปารีส ปี 2011 เมื่อแฟนเพลงมากมายหลายชีวิตที่มารอชมการแสดงวงที่พวกเขารัก ต้องพบกับความผิดหวังอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อทางงานออกมาประกาศแทบจะในวินาทีสุดท้ายว่าOasis ปฏิเสธที่จะขึ้นแสดง เนื่องจากสองพี่น้องโนล กัลลาเกอร์ และเลียม กัลลาเกอร์ทะเลาะวิวาทกันรุนแรงที่หลังเวที’ จนฝ่ายคนพี่อย่างโนลตัดสินใจออกจากวงไปในที่สุดและขอให้ทุกคนรอติดตามข่าวทางเว็บไซต์

ผู้ชมทุกคนจะได้รับฟังเรื่องราวนี้จากปากเลียมเองอีกครั้ง นอกจากนั้นยังได้ฟังสัมภาษณ์จากคนใกล้ชิดและผู้อยู่ในเหตุการณ์นั้น เช่นพอล กัลลาเกอร์ (พี่ชายคนโต) และทีมงานคนอื่น ๆ ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง โดยจะเล่าสลับกับฟุตเทจภาพเหตุการณ์จริง เพื่อให้พวกเราได้ย้อนวันวานไปสู่จุดจบ ที่ต่อมาได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของสารคดีเรื่องนี้นั่นเอง

 

วง Beady Eye

อย่างที่ทราบกันว่า หลังจาก Oasis ยุบวงอย่างเป็นทางการ ไม่นานนัก เลียม กัลลาเกอร์ก็ตัดสินใจทำวงใหม่ที่ชื่อว่า Beady Eye โดยนำสมาชิกวง Oasis ชุดเก่า (ในตอนนั้น) อย่าง เก็ม อาร์เชอร์, แอนดี เบลล์ และคริส ชาร์ร็อก มาร่วมด้วย เรื่องราวของสารคดีจะเล่าเกี่ยวกับตัวเลียม การทำงาน และการใช้ชีวิตของเขาในช่วงนี้ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็ถือว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญและมอบบทเรียนสำคัญบางอย่างให้ชีวิตเขาเลยทีเดียว

 

เมื่อทุกสิ่งไม่เป็นเหมือนเดิม

credit: https://www.standard.co.uk/

Beady Eye กลายเป็นวงดนตรีอายุสั้น ออกมาได้แค่ 2 อัลบั้มก็เป็นอันต้องแยกย้าย ซึ่งตรงส่วนนี้ เรียกได้ว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของสารคดีเรื่องนี้ หนังจะเล่าให้เราฟังว่าในระหว่างนั้น เลียมหายไปไหน รู้สึกอย่างไร เหล่าปัญหาที่รุมเร้า ส่งผลกระทบอย่างไรกับตัวเขาบ้าง รวมไปถึงส่วนที่เรามองว่าสำคัญมาก ๆ คือมุมมองของคนรอบตัวเลียมในช่วงนั้น ไม่ว่าจะเป็น แม่ พี่ชาย แฟนสาว และเพื่อน ๆ ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร รวมทั้งรับมือกับความไม่เสถียรทางอารมณ์ของเลียมอย่างไรบ้าง

นอกจากนี้ เรายังได้เห็นทั้งวิธีการจัดการชีวิตของเลียม ทัศนคติในการรับมือกับปัญหา ได้ให้เห็นมุมเปราะบางของผู้ชายคนหนึ่ง รวมทั้งได้สัมผัสความรักท่วมท้นที่เขาได้รับจากคนรอบข้างในวันที่ยากลำบาก และคนทั้งโลกพร้อมเหยียบย่ำ ใครบ้างที่อยู่เคียงข้างเขา ช่วยฉุดร็อกสตาร์ฝันสลายคนนี้ให้ลุกขึ้นจากความผิดหวังและทุกข์ทนอีกครั้ง

 

หวนคืนสู่วงการ

หลังจากฟันฝ่าอุปสรรคมามากมาย ในที่สุดเลียม กัลลาเกอร์ก็ตัดสินใจจับไมค์ และกลับมาสู่โลกของดนตรีอีกครั้ง เราสังเกตเห็นความเปลี่ยนไปของเลียมได้ชัดเจนจากกระบวนการทำงาน ความคิดที่เติบโตขึ้น และความทุ่มเทในทุก ๆ ขั้นตอน ครอบคลุมไปถึงความใส่ใจที่เขามีต่อแฟนเพลง (ที่หลายคนเคยคิดว่าไม่มี) และแม้การกลับมาครั้งนี้จะได้รับกระแสตอบรับที่ดีเกินคาดแค่ไหนก็ใช่ว่าจะไม่มีอุปสรรคใด ๆ เลย ใครที่อยากรู้ว่าเขารับมือกับความลำบากครั้งนี้ยังไงต้องไปดูกัน

ด้านทักษะการแต่งเพลงของเลียมที่โดนเปรียบเทียบว่าด้อยกว่าพี่ชายเสมอ ในสารคดีเรื่องนี้จะโชว์มุมที่เลียมเองก็มีของ เขามุ่งมั่น ตั้งใจ พยายามพัฒนาตนเองและไม่ระเริงกับชื่อเสียงแล้ว ความตั้งใจครั้งนี้คือแม่เหล็กดึงดูดฐาน ‘แฟนเพลง’ อีกกลุ่มในยุคนี้ ซึ่งกลายเป็นกำลังใจสำคัญให้เขาผลิตงานเพลงต่อมาจนถึงปัจจุบันอีกด้วย

ถึงสารคดีเรื่องนี้จะถูกตั้งแง่จากแฟนเพลงบางกลุ่มว่าเป็นการเล่าเรื่องฝ่ายเดียวจากฝั่งเลียม แต่จากที่เราได้ดูคงต้องบอกว่ามันไม่ใช่แบบนั้นเสียทั้งหมด เพราะเรายังได้ฟังความเห็นจากคนรอบข้างตัวเลียมด้วย (อย่างที่รู้กันว่ายกเว้นโนล) รวมถึงได้เห็นเส้นทางชีวิตที่ไม่เรียบง่าย เพราะบางครั้งเงินและชื่อเสียง ก็สามารถแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง

หวังว่าแฟนเพลงเลียม กัลลาเกอร์ รวมไปถึงแฟนเพลงโอเอซิสทุกคน จะได้รับความอิ่มอกอิ่มใจ และได้แง่คิดบางอย่างจากภาพยนตร์เรื่องนี้ไปบ้างไม่มากก็น้อย จากนั้นก็เว้นพื้นที่ไว้ให้เป็นวิจารณญาณส่วนบุคคล ว่าตัวคุณรู้สึกอย่างไรกับตัวตนของผู้ชายที่ชื่อ “เลียม กัลลาเกอร์” คนนี้

ภาพยนตร์จะเข้าฉายในไทยวันที่ 17 ตุลาคมนี้ พิเศษ เฉพาะ Lido Connect เตรียมฉาย Oasis : Supersonic ควบ Liam Gallagher : As It Was กันไปเลย! ใครสนใจสามารถเข้าไปติดตามข่าวสาร หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.facebook.com/lidoconnect

 

Source: 1 / 2/ 3

Synthkid
WRITER: Synthkid
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line