Guide

ManCave: Roaring Room บาร์ของคนรักเสียงเพลง บรรยากาศโรแมนติกแบบ Art Deco และค็อกเทลรสเยี่ยมที่เปี่ยมไปด้วยเรื่องราว

By: GEESUCH April 5, 2024

เมื่อพูดถึงการใช้เวลาท่องไปในราตรีของคืนวันศุกร์ ณ สะพานควาย อารีย์ ย่านรวมบาร์ที่เรียกได้ว่ามีความเป็นตัวของตัวเองมากที่สุดแห่งหนึ่ง จะบาร์ลับที่รอต้อนรับคนแปลกหน้าไม่ซ้ำแต่ละวันก็ดี หรือจะบาร์สาธารณะที่ผู้คนทั่วทุกย่านต่างต้องมาก็ไม่เลว ในอินเตอร์เน็ตมีไบเบิ้ลออนไลน์ Bar Guide ชี้โลเคชั่นแทบจะทุกจุดในซอกซอยที่มีบาร์ของย่านแห่งนี้เอาไว้หมด 

แต่แน่นอนว่าบางบาร์ก็หลบตัวจนพ้นจากสปอตไลต์ของนักรีวิวไปจนได้ และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที่พวกคุณคนอ่านไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ เรามายืนอยู่ที่ Roaring Room ใน 490/3 ถนนพหลโยธิน บาร์ที่อยู่ไม่ห่างไกลจากสำนักงานใหญ่ของธนาคารออมสินมากนัก 

ประโยคสั้น ๆ ง่าย ๆ ในบรรทัดที่คุณเพิ่งจะอ่านผ่านมา คือคอนเซปต์ของบาร์แห่งนี้ และไม่ว่าใครจะรู้สึกอย่างไร มันชวนให้เรานึกถึงบาร์แจ๊สที่ไม่มีอยู่จริงในหนังสือของนักเขียนชาวญี่ปุ่น Haruki Murakami ที่ชื่อ South Of The Border, West Of The Sun อยู่ไม่น้อย ตัวละครหลักชายหนุ่มวัยกลางคนอย่าง Hajime เลือกที่จะเปิดธุรกิจบาร์แจ๊สที่ Niche สุด ๆ แต่เขาก็ทำมันจนสามารถประสบความสำเร็จได้เพราะเชื่อใน ‘เสียงเพลง’ เหนือเหตุผลอื่นใดทั้งหมด เรามองเห็นสิ่งนี้ใน Roaring Room ไม่ต่างกัน

ด้วยความความคล้ายคลึงของเสน่ห์บางอย่างจาก Roaring Room นี้เอง ทำให้เราอยากจะเขียนบรรยายความรู้สึกที่มีต่อร้านผ่านวลีแบบเดียวกับการเขียนนิยายสักเล่มออกมาเหมือนที่มูราคามิใช้นิยายบรรยายบาร์แจ๊สแห่งนั้นเหมือนกัน และเราจะเล่าบาร์ในคอลัมน์ Man Cave ครั้งนี้ด้วยความตั้งใจอย่างที่กล่าวมาในบรรทัดถัดไป


18:00 ประตูหน้า 

สัมผัสของกลิ่นไม้จาง ๆ ลอยออกมาจากประตูหมุน 360 องศาของบาร์แห่งนี้ มันเป็นประตูแบบที่มักจะเห็นผ่านตาได้เสมอในโรงแรมของหนังประเภท Rom-Com จากยุค ’80s (ช่วงเวลาที่ Meg Ryan เปล่งประกายมาก) มีฉากหลังเป็นแสงสีตามบล็อคถนนของมหานครนิวยอร์ก ยิ่งเคาน์เตอร์ต้อนรับที่วางเทียบข้างซึ่งมีโคมไฟเหงา ๆ วางเอาไว้อยู่หนึ่งตัวก็ยิ่งทำให้นึกถึงภาพนั้นชัดเจนมากขึ้นไปอีก

แต่ชื่นชมอยู่ได้ไม่นานนัก เสียงของซอยข้าง ๆ ที่เริ่มจอแจไปด้วยผู้คนมากมายซึ่งต่างเริ่มใช้ชีวิตในอีกพาร์ทของตัวเองหลังเวลาเลิกงาน ก็ทำให้เราตัดสินใจจะปลีกวิเวก เอาตัวเบียดประตูเข้าไปในร้านที่แสงของภายในรอดผ่านใต้ประตูบานนั้นเหมือนเป็นการเชื้อเชิญอยู่สักพักแล้ว เพื่อหวังจะได้เจอกับความรู้สึกแบบไหนก็ตามที่ทำให้รู้สึกสงบได้มากกว่านี้


18:06 ภายในร้าน

“เป็นไปได้มั้ยที่จะใช้คำว่า ‘รักแรกพบ’ กับอะไรหรือใครสักคน” 

เราเคยถามคำถามไม่ต่างกันนี้ตอนที่เถียงกับแฟนคนก่อนเรื่องเพลงของวง Tattoo Colour ที่ดูไม่สมเหตุผลเลยสักนิด กับคนที่เชื่อในการฟูมฟักความรักผ่านระยะเวลาอย่างเธอ และมันคงด้วยเพราะเหล่าแสงจากโคมไฟติดผนัง เทียนที่ถูกวางอยู่ตรงกลางของทุกโต๊ะ หรือจะไฟจากชั้นวางเครื่องดื่มหลังบาร์เทนเดอร์เหล่านั้นล่ะมั้ง ทำให้ความทรงจำย้อนกลับมาแบบไม่ทันตั้งตัว

แต่เราใช้คำที่ว่านี้ได้กับอะไรก็ตามที่เรียกว่า Art Deco เสมอ การตกแต่งของ Roaring Room ในสไตล์ที่ว่าทำให้เรารู้สึกอย่างนั้นอีกครั้งโดยที่ตั้งใจรู้สึกด้วยตัวเอง และหลังจากกวาดสายตาสาดส่องภายในที่ทุกส่วนของร้านอยู่ตรงหน้าเราแล้ว มันทั้งเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน และสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าทุกอย่างถูกเลือกสรรมาอย่างดีจนกลายเป็นของทุกชิ้นที่ไม่ใช่แค่ผู้เป็นเจ้าของเองพอใจ ผู้คนที่ผ่านไปมาก็รู้สึกไม่ต่างกัน 

เก้าอี้ทรงกลมบุด้วยผ้าหนังสักหลาดสีส้มลงตัวไปด้วยกันกับผนังครึ่งแรกที่เป็นไม้ ทอดยาวมองตรงไปจะเห็นโซฟาหนังสีดำตัดกับปูนเปลือยของกำแพงได้อย่างลงตัว แผ่นเสียงอัลบั้มเพลง Motown ในตู้กระจกที่คั่นส่วนหนึ่งของร้านออกจากกัน เลยไปถึงตู้ Slot Machine ขนาดเล็กบนชั้นวางไม้ตัวนั้นเอง ก็ทำหน้าที่ของมันได้ดีในการขับความงามของร้านออกมา

หลังจากใช้เวลาตัดสินใจเลือกที่นั่งเหมาะสมอยู่สักพัก ก็ตกลงกับตัวเองได้ว่าสปอตของคืนนี้เคาน์เตอร์บาร์จะถูกต้องที่สุด แต่หากถามถึงเหตุผลนั้น ถึงแม้จะไม่ได้อยากคุยกับใคร แต่การได้เครื่องดื่มที่ถูกใจตลอดคืนย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด และสิ่งนั้นจำเป็นที่เราจะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับบาร์เทนเดอร์ของร้านสองคน (ซึ่งได้ยืนประจำจุดของตัวเองเรียบร้อยแล้ว) ได้ตลอดเวลา เราเริ่มต้นค่ำคืนด้วย On The Rock ก่อนจะพบว่าวันนี้มีค็อกเทลพิเศษถึง 3 แก้ว ที่บาร์ตั้งใจเลือกส่วนผสมแห่งความคราฟต์อย่าง Black Barrel ของ Jameson มารังสรรค์

บาร์เทนเดอร์คนหนึ่งพูดขึ้นแบบที่รู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้มีสายตาและท่าทางที่พยายามอวยตัวเองหรือพูดเกี่ยวกับบาร์แห่งนี้ที่เกินความจริงแม้เพียงสักนิด ทั้งคู่พยายามเล่าต่อไปอีกหน่อยว่า ผู้คนเริ่มต้นบทสนทนา Speakeasy ในชั่วโมงแรก พอเข้าชั่วโมงที่สองก็เริ่ม Deep Talk ใส่กัน และเมื่อผ่านชั่วโมงที่ 3 จะถูกเรียกว่า Drunk All Night ! บาร์แห่งนี้เหมาะสำหรับทุกสถานการณ์ของนักท่องราตรีจริง ๆ เสียงในหัวเราพูดขึ้นมาแบบนั้น คงจะดีไม่น้อยถ้าบรรยากาศที่โรแมนติกของร้านจะทำให้เราได้เจอกับใครสักคนอีกครั้ง

“Roaring Room จะคิดธีมของ Music ในแต่ละเดือน แล้วเวียนไลน์อัพ DJ ไปเรื่อย ๆ มีตั้งแต่ Black Music ที่เป็น Hip-Hop / R&B ชวนโยกเบา ๆ เหมือนอยู่ในฟลอร์เต้นรำ เพลง Pop / Funky จังหวะร้อนแรงของนักเต้นเท้าไฟ ไปจนถึงเพลงไทยยุค Fat Radio ชวนให้คิดถึงวันเก่า ๆ ตะโกนกันลั่นร้านไปด้วยกันทุกคน ตั้งแต่เปิดร้าน 17:00 ไปจนถึง 02:00 แล้วนักแสดงที่พี่คุ้นหน้าจากหนังเรื่อง 4 Kings ที่ถามผมเมื่อกี้ เขาใช้ชื่อว่า DJ Poom Tharn ก็เป็นหนึ่งใน DJ ที่มาเปิดเพลงที่นี่ด้วยเหมือนกันครับ สามารถเช็คไลน์อัพประจำเดือนของบาร์ได้ที่หน้าเพจ Facebook


19:15 ค็อกเทลแก้วพิเศษ

ในมือของทั้ง 2 ต่างก็ยกแก้วขึ้นมาชนเข้าใส่กันครั้งแล้วครั้งเล่า จนเครื่องดื่มในแก้วทำท่าจะหกล้นออกมาอยู่หลายครั้ง ท่ามกลางบรรยากาศซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยบทสนทนาเคล้าคลอเสียงหัวเราะ แบบที่แทบจะไม่มีช่องว่างแห่งความเงียบให้ได้ยินเลย ปนคำหยาบหยอกล้อกันบ้าง ปนคำสุภาพและสีหน้าจริงจังบ้าง สิ่งนั้นยิ่งทำให้ไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ของทั้งคู่เท่าไหร่ และเราเองก็ไม่ได้อยากจะก้าวก่ายความสัมพันธ์ของแขกโต๊ะที่ 2 ของร้านในคืนนี้ไปมากกว่านั้นด้วย 

แต่สิ่งที่ชัดเจนแน่นอนบนโต๊ะตัวนั้น คือ Signature Cocktail ที่อยู่ตรงหน้าของทั้งคู่ในตอนนี้ 

Jeramy Rose (ในมือของเขา)

แก้วที่ได้แรงบันดาลใจจากขนมหวานทานคู่กับกาแฟของประเทศตุรกีที่ชื่อ Turkish Delight ให้รสชาติหวานตัดกับความเปรี้ยว ใส่ส่วนผสมความพรีเมียมของ Jameson Black Barrel ผสานกับกลิ่นของควันไม้จากเชอร์รี่ เหยาะโฮมเมด Rose Syrup ให้ลองกัดราสป์เบอร์รีก่อน จากนั้นตามด้วยใบมินต์ แล้วจิบเครื่องดื่มตามเข้าไป จะรู้สึกได้ถึงกุหลาบไหม้ในถังไม้โอ๊คขึ้นมาทันที

Choc Pink (ในมือของเธอ)

แก้วที่หน้าตาเหมือน Milkshake นี้ มีการเบิร์นช็อคโกแลตที่ขอบปากแก้ว ให้ความหอมของมะพร้าวอ่อน ๆ มี Strawberry Syrup และ Hazelnuts จากนั้น Shake ออกมาจนกลายเป็นเครื่องดื่มเบา ๆ ดื่มง่ายตลอดคืน เหมือนว่าได้เคี้ยว Pop Corn ยังไงอย่างงั้นเลย 

ภาพที่เห็นตรงหน้าสะกิดให้เรานึกขึ้นได้ก่อนที่สติจะเลือนลางนิด ๆ เพราะ On The Rock ของที่นี่แรงใช้ได้ ยังเหลือแก้วพิเศษอีก 1 ตัวให้ลอง เราส่งคำขอร้องที่แฝงไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นต่อรสชาติของแก้วชื่อ Cork Co Nut ไปสู่บาร์เทนเดอร์ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงวางมือรอออเดอร์แก้วถัดไป นี่คือแก้วที่ได้แรงบันดาลใจจากการเที่ยวทะเลแล้วได้จิบน้ำมะพร้าวกับผลไม้แตงไทย เกิดเป็นความหอมสดชื่น เป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนสำคัญของแตงล้าน ชงแบบ Spirit Forward Style จากนั้นหยด Bitter ที่เป็น Cucumber เข้าไป เติม Malibu อีกหน่อย ก็เหมือนเราเอาใจไปลอยอยู่กลางทะเลแล้วจริง ๆ

เราอาจจะดูเป็นคนจุ้นเรื่องของชาวบ้านไปสักนิด แต่ต้องยอมรับว่าไม่ใช่แค่ค็อกเทล เมนูอาหารบนโต๊ะนั้นช่างดึงดูดสายตาที่เราแอบเหลือบมองทั้ง 2 คนเป็นระยะ และเท่าที่ตาพอจะสังเกตเห็นได้ จานเหล่านั้นจะมี ลิ้นวัวย่างซอสแอปเปิ้ล / เนื้อสันนอกมีเดียมแรร์ย่างเกลือ / ลาบทูน่า / สปาร์เก็ตตี้กุ้งซอส Pesto ดูจากสีหน้าปนร้อยยิ้มของทั้งคู่เชื่อเลยว่าอาหารของที่นี่ได้สร้างความสุขต่อพวกเขาจริง ๆ 

เวลา 21:30 เราเลือกที่จะเดินออกจาก Roaring Room โบกแท็กซี่ผ่านรถติดของอินทามระเพื่อกลับสู่ย่านลาดพร้าวที่คุ้นเคย หลังจากที่ปล่อยให้ค่ำคืนที่มีเสน่ห์นี้ผ่านพ้นไปอยู่ในความทรงจำที่ดีแทน ในความสัมพันธ์ครั้งหน้าเราตั้งใจว่าคงจะลองพาเธอคนนั้นมาที่ร้านแห่งนี้ โดยที่ไม่แน่ใจว่าถึงตอนนั้นร้านจะเปิดเพลงของ Tattoo Colour ให้ได้เถียงเรื่องรักแรกพบกันมั้ย แต่ไม่เป็นไร ปล่อยให้ดนตรีที่ถูกเลือกมาอย่างดีของที่นี่ทำหน้าที่ของตัวเองไปอย่างทุกวันก็พอแล้วล่ะ

Roaring Room
– Open: Monday – Sunday 5 pm – 2 am
– Map: https://g.co/kgs/xtnoFn
– Tel: 081-242-4258
– FB: https://www.facebook.com/profile.php?id=61550646435376
– IG: https://www.instagram.com/roaring_room/

 

GEESUCH
WRITER: GEESUCH
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line