CARS

ย้อนประวัติ DNA สุดเข้มข้นของ “MINI” ICONIC CAR ไซส์เล็กที่สมรรถนะเร้าใจตั้งแต่ปี 1959

By: HYENA September 25, 2017

ไม่ว่าใครก็ต้องการรถยนต์ที่ขับดูดี ขับสนุก ขับแล้วภาคภูมิใจ ที่สำคัญคือ มีรูปลักษณ์โดดเด่นสวยงามสะดุดตากันทั้งนั้น แต่จะมีรถแบบที่ว่าสักกี่คัน ที่มีคุณสมบัติตอบสนองความต้องการได้ครบถ้วน โดยเฉพาะผู้ชายอย่างเรา การซื้อรถสักคันนั้น มันต้องมีความเจ๋งอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในรถคันนั้นด้วย

DNA ความเจ๋งที่ว่านี้แหละ เป็นจุดที่จะทำให้เรารู้สึกหลงใหลรถแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งมากกว่าอีกแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และแน่นอน ฟีลลิ่งการขับขี่ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเข้มข้นผ่านทุกยุคสมัย ผสมผสานเข้ากับเทคโนโลยียุคใหม่ที่ล้ำหน้าขึ้นเรื่อย ๆ

เช่นเดียวกับ DNA ของรถยนต์ MINI ที่ไม่ว่าใครก็ตามที่กำลังมองหารถสักคันหนึ่ง แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นรถที่ขับสนุก เร้าใจ ได้ฟีลลิ่งความมันส์เสมือนขับ Go-Kart ในสนามแข่ง และมีความแตกต่างเป็นตัวของตัวเองกว่าใครบนท้องถนน สะท้อนคาแรคเตอร์ของผู้ขับได้ทันที ก็คงจะเป็นรถยนต์จากค่ายอื่นไปไม่ได้ ด้วยสมรรถนะระดับตำนานที่เป็นเลิศจนยากจะมีใครเลียนแบบได้ ยังคงถูกถ่ายทอดต่อมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน จนหลายคนถึงกับยกย่องให้รถยนต์จากค่าย MINI เป็นหนึ่งในตำนานที่ยังมีชีวิต และไม่เคยทิ้งจิตวิญญาณความเป็นตัวเองไปเลยแม้แต่น้อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เรียกว่าเห็นแค่เสี้ยวเดียวของรถ หรือได้ยินคำว่า MINI แม้แต่คนที่ไม่ได้สนใจรถยนต์​ ยังสามารถนึกภาพในหัวออกได้ทันที

วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักเรื่องราวของรถยนต์ไซส์กะทัดรัด แต่สมรรถนะใหญ่เกินตัว จากต้นกำเนิดมาจนถึงยุคปัจจุบัน และหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันเลยว่า ทำไม MINI ถึงได้กลายเป็นรถที่คนนิยมไม่เสื่อมคลาย

คงต้องย้อนไปไกลถึงปี 1959 ซึ่งเป็นปีแรกที่มีคนทั่วไปได้ทำความรู้จักกับแบรนด์รถยนต์ MINI ผลงานระดับ world class ของ Sir Alexander Arnold Constantine Issigonis ภายใต้ชื่อบริษัท British Motor Coperation (BMC) และใช้ชื่อเรียกรถยนต์ในตอนนั้นว่า “Austin Seven” ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชื่อที่คนในสมัยนี้ยังคงคุ้นหูกันดีอย่าง “Austin Mini”

ครั้งหนึ่ง Austin Mini ได้สร้างปรากฏการณ์ที่น่าตื่นเต้นในโลกยานยนต์ขึ้น และเป็นที่โจษจันกันมาจนถึงทุกวันนี้ ด้วยการปลดปล่อยศักยภาพความแรงของรถคันเล็ก ที่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ ขนาดความจุ 850 cc ซึ่งสามารถรีดแรงม้าได้ถึง 35 ตัว ทำให้ Austin Mini ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 122 กม/ชั่วโมง ยุคนั้นผู้คนจึงได้เห็นชื่อ MINI กวาดถ้วยรางวัลการแข่งขันเกือบจะทุกรายการ ทั้งทางเรียบ และแรลลี่ ซึ่งผลงานมากมายเป็นตัวสร้างชื่อเสียงและความนิยมในตัว MINI ให้กระจายออกไปอย่างกว้างขวาง เรียกว่าผู้คนต่างหลงเสน่ห์หน้าตา และประทับใจในสมรรถนะตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ไม่ต่างอะไรจากตอนนี้เลยแม้แต่นิดเดียว

เมื่อ Austin Mini ได้ฤกษ์วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ มันก็กลายเป็นสินค้าขายดีในแวดวงยานยนต์ทันที  เนื่องจากเป็นรถที่มีความสวยงามโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เหมาะกับการใช้งานในเมือง บวกกับสมรรถนะที่สูงพอตัวในสมัยนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอังกฤษ มีผู้คนจำนวนมากที่ทิ้งรถคันเก่าของตัวเอง และเปลี่ยนมาคลั่งไคล้ในรถไซส์เล็กอย่าง MINI เนื่องจากมันมีราคาที่คนทั่วไปสามารถเอื้อมถึงได้ เพียงแค่คันละ 496 ปอนด์ เท่านั้น

ถึงแม้ว่ารถยนต์ MINI จะประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม เรียกว่าผลิตแบบเดิมขายไปตลอดชีวิตก็น่าจะขายได้ (ดูจากราคา MINI classic ตอนนี้ คันสวย ๆ สภาพดี ๆ มีแตะเกือบสองล้านบาท) แต่ทางผู้ผลิตเองก็ไม่เคยที่จะหยุดพัฒนาคุณภาพ และสมรรถนะให้อยู่ในระดับหัวแถวของวงการยานยนต์ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ในขณะที่ต้องใช้ความระมัดระวังเพื่อจะคงความเป็นตัวตนของ MINI เอาไว้ให้สมบูรณ์ กระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในปี 1994 นั่นก็คือการที่ BMW Group ได้ทำการซื้อกิจการของบริษัท Rover Group และเริ่มต้นพัฒนารถยนต์ MINI ขึ้นมาใหม่ ซึ่งก็คือโปรเจ็ค E50 เพื่อที่จะมาทดแทนรถยนต์ MINI ต้นฉบับดั้งเดิม โดยมีจุดมุ่งหมายคือการเพิ่มเทคโนโลยีให้ทันสมัย ใช้งานง่ายขึ้น รักษา Go-Kart feeling และ DNA ไว้ได้อย่างครบถ้วน

ในที่สุด MINI ก็ได้คลอดลูกหลาน Generation ใหม่ออกมาอย่างน่าประทับใจ แม้ช่วงแรกจะมีหลายคนเป็นห่วงเรื่องคาแรคเตอร์ของ MINI ดั้งเดิม แต่เมื่อได้เห็นผลงานออกมา เสียงกังวลเหล่านั้นกลับเงียบไปกลายเป็นเสียงปรบมือในทันที โดยเฉพาะรุ่นที่ได้รับความนิยม ประสบความสำเร็จมากที่สุดในเวลานั้นก็คือ 2001 MINI Cooper 3-Door Hatch  R50 ที่ยังตัวบุกเบิกการเปลี่ยนช่วยเวลาของ MINI คงเอกลักษณ์ความ Classic ไว้ได้อย่างลงตัว และจากกระแสตอบรับที่ดี ทำให้ MINI มีความมั่นใจในการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ที่มีความยอดเยี่ยมเพิ่มมากขึ้นทุกครั้งที่มีการเปิดตัวออกมา

ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี MINI ได้มีการเปลี่ยนแปลงแบ่งออกเป็น 3 Generation ใหญ่ ๆ แบ่งเป็นช่วง

Gen.1 R50, R52 , R53 แบ่งรหัสตามรุ่นย่อย (2001 – 2008)

Gen.2 R55 – R61 (2006 – 2016) มีการนำเอาเทคโนโลยีจาก BMW เข้ามาพัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้นในหลายจุด มีการเพิ่มไลน์โมเดลใหม่ที่ได้รับความนิยมมากมาย เช่น Countryman

Gen.3 เปลี่ยนรหัสเป็น F54, F55, F56, F57, F60 (2014 – today)

ถ้าสังเกตให้ดี MINI แต่ละ Gen จะมีอายุขัยค่อนข้างยาวนาน เพียงแต่หลายคนอาจจะไม่รู้สึกเพราะรูปล่างหน้าตาที่ชนะกาลเวลา ดังนั้นการครอบครองรถ MINI ก็ทำให้มั่นใจได้ว่ารถจะไม่มีคำว่าเก่าตกรุ่นอย่างแน่นอน โดยใน Gen.3 นี้ นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งของค่ายรถยนต์ MINI เพราะไม่ว่าจะเป็นตัวถัง เครื่องยนต์ รวมไปถึงการตกแต่งภายในนั้นได้มีการปรับเปลี่ยน ออกแบบใหม่แทบทั้งหมด และโอกาสสำคัญในวันคล้ายวันเกิดของ Sir Alec Issigonis ก็มาถึง การเปิดตัว MINI 3-Door Hatch ในรหัส F56 ปี 2014 ที่ใครต่อใครต่างก็รู้สึกถูกอกถูกใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น

MINI 3-Door Hatch F56 ถือว่าเป็นรถยนต์ MINI ยุคใหม่อย่างเต็มตัว แต่มันก็ยังคงความเป็นตัวตนเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม จนมีคำนิยามว่า “The New Original” ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่องของตัวถังของรถที่มองยังไงก็ยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นอายของ MINI Classic รวมถึงดีไซน์กระจังหน้าแบบหกเหลี่ยม ที่ยกมาจาก MINI classic และถึงแม้จะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น แต่ก็มาพร้อมสมรรถนะที่ดีขึ้น รวมถึงฟีลลิ่งการขับขี่ที่สนุกเร้าใจ เสมือนกำลังขับรถ Go-Kart ก็ยังคงอยู่ไม่หายไปไหน

MINI 3-Door Hatch F56 นำเอาเทคโนโลยีทันสมัยมาใส่ไว้อีกเพียบ เช่นไฟหน้าที่เพิ่ม Day Time Running Lights แบบวงแหวนเป็นอุปกรณ์มาตรฐานติดรถ, ระบบ MINI Connected เวอร์ชั่นใหม่, กล้องหน้า – หลัง ที่จะช่วยให้การถอยจอดง่ายยิ่งขึ้น, หน้าจอแสดงผล Head-Up Display, รวมไปถึงจุดเด่นภายในห้องโดยสารอย่างแผงคอนโซลกลาง ที่มีการเพิ่มลูกเล่นด้วยไฟ ambient หลากสี สะท้อนอารมณ์การขับขี่ได้มากขึ้น

และสำหรับคนที่ชอบในรูปลักษณ์ของ MINI แต่ต้องการความกว้างขวางมากขึ้นอีก ก็ยังมี MINI 5-Door Hatch ซึ่งใช้รหัส F55 ที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานเดียวกับ MINI 3-Door Hatch (F56) มาทำการเพิ่มขนาดความยาวขึ้นอีก 161 มม. เพิ่มความยาวของระยะฐานล้อขึ้นอีก 72 มม. เพิ่มพื้นที่เหนือศีรษะที่สูง และโปร่งสบายมากขึ้นไปอีก 15 มม. และที่สำคัญคือคนนั่งด้านหลังเข้าออกง่ายขึ้นด้วยการเพิ่มประตูเข้าไปอีก 2 บาน

การที่ MINI ผลิต MINI Hatch 5-Door (F55) ออกมานั้น ก็เพื่อความสะดวกสบายรวมไปถึงตอบสนองความต้องการทางด้านการตลาด และผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือก็คือ ไม่ว่า MINI 5-Door Hatch (F55) จะมีมิติที่เปลี่ยนไป รวมถึงประตูที่มีมากขึ้นอย่างไรก็ตาม ฟีลลิ่งในการขับขี่สไตล์ MINI แบบดั้งเดิม ก็ยังคงอยู่ไม่ต่างจากตัว MINI Hatch 3 Doors (F56) เลยแม้แต่นิดเดียว

ส่วน Feature ต่าง ๆ ใน MINI Hatch 5-Door (F55) ก็ยังคงครบถ้วนเช่นเดียวกับ MINI Hatch 3 Doors (F56) โดยที่ทั้ง MINI Hatch 3 Doors (F56) และ MINI Hatch 5-Door (F55) จะถูกแบ่งออกเป็น 3 รุ่นย่อยได้แก่ Cooper, Cooper S (เครื่องยนต์เบนซิล) และ Cooper D (เครื่องยนต์ดีเซล)

หากใครที่กำลังมองหารถที่มีประวัติศาสตร์ และมีเอกลักษณ์โดดเด่นมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังเป็นเป็นรถยนต์ระดับ Premium ที่ตอบสนองการขับขี่ของคนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตกลางใจเมือง และมีรสนิยมที่ยอดเยี่ยม มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ชอบความแปลกใหม่ไม่ชอบอะไรที่มันซ้ำซาก รับรองได้เลยว่า รถยนต์ MINI คือ “รถที่ใช่” และตอบสนองความต้องการทุกรูปแบบของคุณได้อย่างแน่นอน

หากคุณได้สัมผัสกับความเป็นตัวตนของ MINI ดูสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ และสไตล์การขับขี่ที่จะทำให้คุณนึกถึงการขับ Go-Kart ที่ทั้งมันส์เร้าใจ สนุกแต่ปลอดภัยไปบวกกับมีสไตล์ไปในคราวเดียว ซึ่งเรื่องนี้เรารับประกันเลยว่า สิบปากว่าไม่เท่าการได้ไปทดลองขับ เพื่อสัมผัสอารมณ์ประสบการณ์การขับขี่แบบ MINI ด้วยตัวคุณเอง น่าจะบอกเล่าได้ดีที่สุด แล้วจะรู้ว่าทำไมคนที่ขับ MINI ถึงได้ชื่นชอบ MINI แบบรักเดียวไม่เปลี่ยนใจ

 

HYENA
WRITER: HYENA
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line