Guide

‘ไม่ใช่ WHITE LABEL’ มารู้จักกับ JOHNNIE WALKER BLENDERS’ BATCH รสชาติจากการทดลองแบบ LIMITED EDITION

By: Chaipohn June 1, 2018

เพื่อที่เราจะเข้าถึงประสบการณ์ที่แท้จริงของการสัมผัสอะไรสักอย่าง การเข้าใจถึงเรื่องราวเบื้องหลังของสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญในการเติมเต็มประสบการณ์ให้เต็มที่ได้มากกว่า หรือที่เราเรียกว่าการเสพแบบมีศาสตร์และศิลป์ เช่นเราดูรูปภาพงานศิลปะระดับโลกที่มีมูลค่าหลายร้อยล้านบาท ถ้าขาดซึ่งประวัติของภาพนั้น ๆ การเสพศิลป์นั้นก็คงขาดความสนุกไปจนหมด

ไม่ใช่แค่ของไกลตัวอย่างงานศิลปะ ของใกล้ตัวพวกเราอย่างกล้องถ่ายรูปที่ผ่านการผลิตแบบ Handmade นาฬิกาที่ใช้ Movement ละเอียดประณีต หรือเครื่องดื่มดี ๆ ที่ผ่านการบวนการผลิตอันซับซ้อนยาวนาน การจะเข้าใจถึงสัมผัสของสิ่งนั้นย่อมต้องรู้เรื่องราวเบื้องหลังให้ดีเสียก่อน จึงจะเข้าถึงความพิเศษของสิ่งเหล่านั้นได้

ที่ผ่านมาเราพูดถึงเรื่องเรื่องราวความพิเศษของนาฬิกาชนิดต่าง ๆ ไปหลายรุ่นแล้ว วันนี้เราจะมาพูดถึงเครื่องดื่มตัวหนึ่งที่มีความพิเศษมาก นั่นคือ Johnnie Walker Blenders’ Batch แต่หลายคนอาจจะเผลอจดจำมันในชื่อ Johnnie Walker White Label หรือ Johnnie Walker ฉลากขาว  ซึ่งอาจจะสร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อน ทำให้เรามองข้ามรายละเอียดที่น่าสนใจของมันไป และวันนี้เราจะมาไขกระจ่างว่า Johnnie Walker Blenders’ Batch คืออะไร เกิดขึ้นมาจากไหน และมันมีรายละเอียดอะไรที่พิเศษจนเราต้องหยิบขึ้นมาพูด

Johnnie Walker Blenders’ Batch การทดลองพร้อมดื่มแบบ Limited Edition

แม้ฉลากจะเป็นสีขาว แต่มันไม่ใช่ White Label เพราะมันไม่ใช่ Range ใหม่ในกลุ่ม Classic Blend ของ Johnnie Walker

ภายใต้ฉลาก Blenders’ Batch คือผลงานการทดลองของเหล่าทีมผู้เชี่ยวชาญด้านหมักเหล้าของ Johnnie Walker จำนวน 12 คน ซึ่งรวมตัวกันแบบเฉพาะกิจ โดยมีเป้าหมายในการค้นหารสชาติและกลิ่นของเครื่องดื่ม Blended Scotch Whisky ที่แปลกใหม่แบบไร้ขอบเขต นอกเหนือจาก Johnnie Walker Colours Classic Blend ที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว โดยจะมีการผลิตออกมาทั้งหมด 11 รุ่น และที่หลายคนยังไม่รู้คือ ทุกรุ่นภายใต้ฉลาก Blenders’ Batch จะเป็นการผลิตแบบ Limited Edition ทั้งหมด เรียกว่าหมดแล้วหมดเลย ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้ นี่คือเหตุผลที่บนฉลากมีตัวเลข Bottle No. ระบุอยู่ด้วยนั่นเอง

ถ้าใครสังเกตฉลาก Blenders’ Batch ให้ดี นอกจากตัวเลข Bottle No. แล้ว ยังมีรายละเอียดที่น่าสนใจระบุอยู่ในหลายตำแหน่ง เช่น Blender’s Notes บอกรายละเอียดที่เล่าเรื่องราววัตถุดิบของเครื่องดื่มในขวดว่ามาจากส่วนผสมอะไรบ้าง หมักในถังอะไรมาบ้าง ผ่านขั้นตอนอะไรมา หรือบริเวณด้านหลังของกล่อง Packaging ก็มีข้อมูลบอกเล่าเรื่องราวของ Batch นั้น ๆ ที่ค่อนข้างละเอียดไว้ครบถ้วน พร้อมลายเซ็นของ Blending Team กำกับอยู่ด้วย

Diageo’s Johnnie Walker master blender, Jim Beveridge / Image Courtesy of Thepeakmagazine

สงสัยมั้ยครับว่านั่นคือลายเซ็นของใครบ้าง?

ลายเซ็นของแต่ละ Batch จะต่างกันไปตามผู้คิดค้น Batch นั้น ๆ โดยทีม Blenders เฉพาะกิจทั้ง 12 คน นำทีมโดย Dr. Jim Beveridge ตำนานมีชีวิตระดับ Master Blender ผู้ยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์วงการ Whisky ซึ่งร่วมงานกับ Diageo มาตั้งแต่ปี 1979 มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคาแรคเตอร์ของ Malt และกระบวนการขั้นตอนทุกอย่างอยู่ในขั้นทะลุปลุโปล่ง และไม่เคยหยุดพัฒนาประสบการณ์ใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น Johnnie Walker Double Black, Johnnie Walker Platinum หรือ Johnnie Walker The Explorers’ Club Collection ก็เป็นผลงานของ Dr. Beverige คนนี้เช่นกัน ถ้า Steve Jobs เป็นรุ่นใหญ่ในวงการ Technology ทางด้าน Dr. Beverige ก็ถือเป็นศาสดารุ่นใหญ่ระดับเดียวกันในวงการ Scotch Whisky เลยก็ว่าได้

ผลงานกับฉลาก Blenders’ Batch ถือเป็นอีกหลักฐานความเก่งกาจของ Dr. Beverige ในฐานะ Supervisor ซึ่งใครสังเกตที่ Blending Team บนฉลากของ Blenders’ Batch จะเห็นลายเซ็นของ Jim Beveridge เซ็นกำกับอยู่ด้วยเสมอ โดยในบ้านเราจะได้สัมผัสกับ Blenders’ Batch ‘Red Rye Finish’ ไปกันแล้วก่อนหน้านี้ ใครมีอยู่ในมือก็ลองอ่านดูให้ดี มันช่วยให้เราเข้าใจคาแรคเตอร์ของเครื่องดื่มในขวดได้เป็นอย่างดี มีกลิ่นหอมของอะไรบ้าง รสชาติเป็นแบบนี้เพราะอะไร ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นข้อมูลที่ Sommelier ในร้านหรูคอยอธิบายให้เราเมื่อสั่งเครื่องดื่มนั่นเอง

ยกตัวอย่างจาก Johnnie Walker Blenders’ Batch Red Rye Finish เป็น Batch ที่ผ่านการสรรหา Malt และ Grain Whisky ชั้นดีมากกว่า 200 ตัวอย่าง ก่อนจะจบที่ Blend ของ Malt และ Grian Whisky 4 ชนิด โดยมีส่วนผสมหลักจาก Single Malt จาก Cardhu ซึ่งมีคาแรคเตอร์ที่สดชื่นจากกลิ่นผลไม้ และ Grain Whisky จาก Port Dundas ที่มีความหอมหวานแบบ Vanilla Creamy ผ่านกระบวนการหมักในถัง Bourbon เพื่อสร้างคาแรคเตอร์ที่มีความ Spicy จากเครื่องเทศแบบอเมริกัน และจบด้วยถัง Ex-Rye Whisky เพื่อความหวานอีก 6 เดือน ก่อนบรรจุลงขวด ผลที่ได้คือประสบการณ์แปลกใหม่ของ Scotch Whisky ที่ดื่มง่ายได้ทั้งแบบ Neat และ On The Rock หรือแม้แต่ Mixologist ทั่วโลกยังต้องนำไปปรับสูตรใช้กับเครื่องดื่ม Cocktail หลายประเภท รวมถึง ‘Manhattan’ อันโด่งดังที่ไม่เคยใช้ Scotch Whisky เป็นส่วนผสมมาก่อนในอดีต

Johnnie Walker Blenders’ Batch Wine Cask Blend

สำหรับ Johnnie Walker Blenders’ Batch ที่เข้ามาเพิ่มในบ้านเรา ถือว่าเป็นอีกตัวที่แค่ชื่อก็น่าสนใจ มันคือ ‘Johnnie Walker Blenders’ Batch Wine Cask Blend’ ที่ได้แรงบันดาลใจจาก Johnnie Walker Black Label ซึ่งชื่อตามตัวก็คือ Whisky ที่นำไป Finish ในอดีต Wine Cask ซึ่งขั้นตอนกว่าจะเจอถังและรสชาติที่ถูกใจ Dr. Beverige นั้นไม่ง่ายเลย

Amy Gibson and Jim Beveridge cheers

แต่เป็นฝีมือของ Aimee Gibson ที่สามารถสร้างประสบการณ์รสชาติกลมกล่อมของกลิ่นผลไม้แบบ Scotch Whisky ให้เข้ากับความสดชื่นฟรุตตี้จากผลไม้ตระกูล Berry จบด้วยสัมผัสหอมหวานของ Toffee Caramel เป็น Batch ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว นุ่มนวล ดื่มง่าย เหมาะกับการดื่มเพื่อ Refreshing ได้เข้ากับอากาศเมืองไทย มีวางขายแล้วที่ Duty Free สนามบิน ดังนั้นใครมีโอกาสแวะไปก็อย่าพลาดหยิบมาทดลองกัน

ด้วยคาแรคเตอร์ที่ดื่มง่าย สามารถดื่มแบบ On the Rock ก็หอมสดชื่นรื่นคอ หรือจะผสมเป็น Cocktail ง่าย ๆ ก็ขอแนะนำเป็น Wine Cask + Spritz Tonic เพิ่มความซ่าสดชื่นแบบ Tonic หรือจะทอปด้วย Cranberry juice ก็เป็นไอเดียที่ดี รับรองว่า Batch นี้ดีดื่มสนุกแน่นอน

เชื่อว่าถึงตรงนี้พวกเราน่าจะรู้ถึงความพิเศษของ Blenders’ Batch กันมากขึ้นแล้ว ที่เหลือก็คือทำความเข้าใจกับรายละเอียดของแต่ละ Batch ค่อย ๆ แยกกลิ่น รสชาติ และคาแรคเตอร์ของมัน แบบนี้ถึงจะเรียกว่าดื่มแบบคนเป็น มีศาสตร์และศิลป์ในการสัมผัสประสบการณ์ของเครื่องดื่มแต่ละตัว ส่วนใครที่ติดใจก็อย่าลืมกักตุนเอาไว้ เพราะอย่าลืมว่า Johnnie Walker Blenders’ Batch ทุกตัวเป็น Limited Edition หมดแล้ว หมดเลยนะครับ

Chaipohn
WRITER: Chaipohn
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line