MUSIC

Sweet Mullet กับความสัมพันธ์แบบ Bandmate สิ่งที่ (ไม่เคย) หายไป ตลอดช่วงเวลา 21 ปี

By: GEESUCH August 12, 2023

เมื่อพูดถึงช่วงกลางของยุค 2000s ช่วงเวลาที่ซีนดนตรีอันเดอร์กราวด์ Emo / Screamo / Metal เบ่งบานในไทย มันเป็นไปไม่ได้เลยถ้าหากคุณถามผู้คนที่ทันใช้ชีวิตอยู่ในตอนนั้น แล้วไม่มีใครพูดชื่อ Sweet Mullet ออกมา และการไม่พูดถึงเพลงตอบ / หลับข้ามวัน / เพลงของคนโง่ ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ 

ตั้งแต่ที่อัลบั้มแรก Light Heavyweight (2007) ของ Sweet Mullet ปล่อยออกมา เวลาก็เลยผ่านมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ผ่านการสร้างความทรงจำต่อวงและแฟนคลับ จนมาถึงปี 2023 คงไม่มีเรื่องไหนสำคัญต่อแฟนคลับและวงเองได้เท่ากับการที่พวกเขาตัดสินใจว่าจะประกาศยุบวงผ่านการหายไปเงียบ ๆ อีกแล้ว 

ไม่ว่าจะเป็นโชคดีหรือว่าอะไรก็ตาม การที่เราได้นั่งคุยกับพวกเขาเพื่อเขียนเป็นบทความนี้อยู่ นั่นแสดงว่ามันไม่เกิดขึ้นจริง และพวกเขาไม่ได้หายไป หนำซ้ำเรายังสามารถใช้คำว่า “Sweet Mullet กลับมาแล้ว” ได้อีกด้วย   

เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับการกลับมาของ Sweet Mullet เท่าที่เด็กซึ่งโตในยุค Emo / Screamo / Metal Era อย่างเราพอจะทำได้ เราพาทุกคนไปคุยกับพวกเขาย้อนกลับไปไกลตั้งแต่ day 0 วันที่แต่ละคนเริ่มชอบดนตรี – day 1 วันแรก ๆ ที่ได้เจอกัน – และ day 1 (again) ความฝันปัจจุบันในวันที่เริ่มต้นก้าวใหม่อีกครั้ง พร้อมกับการรักษาความสัมพันธ์ของ Bandmate สิ่งพิเศษที่พวกเขามีร่วมกันมาตลอด 21 ปี 

นี่ไม่ใช่บทสัมภาษณ์ที่พูดถึงวงดนตรีวงหนึ่งเท่านั้น แต่มันคือเรื่องราวของกลุ่มเพื่อน 4 คน ที่ตัดสินใจเล่นดนตรีด้วยกันตั้งแต่ปี 2002 … สำหรับคนที่เคยทำวงดนตรีทุกคน ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะซ้อนทับกับภาพของทุกคน และสามารถเข้าใจได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องอธิบายอะไรเลย และสำหรับแฟนคลับที่ติดตามวงมานาน เราเชื่อว่านี่คือความเป็น Sweet Mullet ที่ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี 

** Parental Advisory : This Column Contains So Much Funniest Moments From Hardcore Band ! **


Chapter 0 : เสียงดนตรีก่อนจะมี Sweet Mullet

หลังจากซิงเกิ้ล ‘เชื่อหรือไม่’ ในเดือนพฤศจิกายนของปี 2021 ก็ไม่มีเพลงใหม่จาก Sweet Mullet อีกเลย … ลากยาวมาจนกระทั่งเดือนพฤษภาคมของปี 2023 ซิงเกิ้ล Something’s Missing ก็ถูกปล่อยออกมา พร้อม ๆ กันกับสารคดีสั้นของช่อง Genie Records ที่เป็นการเปิดใจของสมาชิกทั้ง 4 คนว่าจริง ๆ พวกเขาเกือบจะยุบตัวลงไปแล้ว

“เสียงตอบรับของแฟนคลับที่มีให้กับเพลง Something’s Missing ซิงเกิ้ลคัมแบ็คของวง” 

เต๋า : ฟีดแบคที่ได้กลับมาดีเกินคาดเลยครับ ดีกว่าที่คิดไว้

หมู : ว่าแล้วต้องตอบแบบนี้ อยากให้ตอบว่าแบบ “โคตรเงียบเลยครับ” 555

เต๋า : เงียบกริบ 555

เคยมีคำถามในหัวประมาณนี้กันมั้ย ประมาณว่าเราชอบวงดนตรีวงหนึ่งมาก ๆ จนอยากรู้ว่าชีวิตของพวกเขาก่อนที่จะมีวงดนตรีของตัวเอง ได้เจอกับคนเคมีเข้ากันที่สุดในชีวิตมันจะเป็นอย่างไร … และนี่คือจุดเริ่มต้นในการเล่นดนตรีของสมาชิก Sweet Mullet แต่ละคน 

ตี่-พิสุทธิ์ โล่ห์สีทอง / ตำแหน่ง : เบส / 2003-Present

ตอนนั้นแค่เหมือนไปเจอลูกพี่ลูกน้องเค้าดีดกีตาร์ และเขาก็ร้องเพลงคาราบาว เราก็รู้สึกว่า เห้ย ! มันเป็นของที่เราไม่เคยเห็นอะ มันสามารถมีความสุขกับแค่ดีดกีตาร์ ร้องเพลง ตอนนั้นก็เลยให้เขาสอนจับคอร์ดกีตาร์โปร่ง 4 คอร์ด C / A minor / D Minor แล้วก็ G7 เพราะมันจับง่ายกว่าคอร์ด F ถ้าตอนนั้นเค้าสอนทาง F มา อาจจะเลิกไปละ หัดอยู่ 4 คอร์ด ตั้งแต่แรก

ซึ่งตอนนั้นอยู่ราว ๆ ม.3 แต่ว่าเรามาเล่นเบสตอนอยู่ ม.6 ตอนนั้นก็มีวงครับ ผมก็เล่นกีตาร์มาก่อน เสร็จแล้วเพื่อนที่เล่นเบสมันชิ่งการซ้อม 2 วันติด ก็เลยบอกเพื่อนคนอื่น ๆ ในวงว่า “เดี๋ยวกูเล่นเบสให้ก่อน พอหามือเบสได้แล้วเดี๋ยวกูกลับไปเล่นกีตาร์” แล้วตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่ได้กลับไปเล่นกีตาร์อีกเลย 555

หมู : แล้วทุกวันนี้จับคอร์ด F ได้ยัง

ตี่ : ก็ยังไม่ได้ 

555 (ทุกคนในวงหัวเราะพร้อมกัน)

แป๊ป-ประณัฐ ธรรมโกสิทธิ์ / ตำแหน่ง : กีตาร์ / 2003-Present

ของผมต้นกำเนิดมันจะเหมือนพี่ตี่ คือมีญาติที่อายุเท่ากันกับผม แต่ว่าเค้ามีศักดิ์เป็น ‘อา’ นะ ผมก็ไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่เขานับยังไงเหมือนกัน คือผมอะต้องเรียกเขาว่าอาตลอด มันก็เหมือนเราแพ้มาตลอด อายุก็เท่ากัน ทำไมต้องเรียกอาวะ ซึ่งคนนี้เขาจะอยู่ใต้ครับ ตอนปิดเทอมเขาจะมาเที่ยวบ้านผมบ่อย ๆ แล้วเขาก็จะมีของใหม่ ๆ มาโชว์เราเสมอ

อย่างแบบขี่จักรยานสองล้อมาโชว์ผม ผมก็แบบ อ้าว ยอมไม่ได้ เราก็ต้องพยายามไปฝึกปั่นจักรยานสองล้อ แล้วก็มันมีอยู่ช่วงนึง เขาเอากีตาร์โปร่งมา ก็เล่นโชว์ ซึ่งมันมั่วไม่มั่วรึเปล่านี่ผมไม่แน่ใจ เพราะตอนนั้นผมก็เล่นไม่เป็น ก็เข้าอีหรอบเดิม กูจะแพ้อีกไม่ได้ ความรู้สึกที่อยากจับกีตาร์มันเริ่มจากตอนนั้นฮะ แค่อยากชนะเขาแค่นั้นเลย 

ทีนี้พอตอนมัธยมเพื่อน ๆ เขาไปห้องซ้อม เราเล่นเป็นแค่กีตาร์โปร่งตีคอร์ด ก็อยากเล่นเบสว่ะ เบสแม่งเท่ ก็จะไปขอเล่นเบสละ แต่โดนเพื่อนแย่งเล่น แม่งเสือกไม่มีใครเล่นกีตาร์ ผมก็ไม่เข้าใจ ปกติคนมันก็จะเล่นกีตาร์ก่อน ห้องซ้อมตอนนั้นไม่มีคนเล่นกีตาร์เลย

ตี่ : แปลกนะ ปกติมีแต่คนไม่อยากเล่นเบส

ก็เริ่มมาตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งเราก็ได้ขึ้นไปเล่นโชว์ในโรงเรียนด้วย แล้วเมื่อก่อนเป็นคนขี้อายมาก

หมู : หรอวะ ?

เมื่อก่อนขี้อายมาก มีครั้งหนึ่งตอนขึ้นไปเล่นเพลงร็อค เราแบบไอเหี้ยลองตัดใจโยกหัวสักทีได้มั้ยวะ เหมือนกับทลายกำแพงบางอย่าง ตอนนั้นก็เออแบบทนเขินเหี้ย ๆ โยกหัวไปทีนึง แล้วฟีดแบคแม่งดีเว้ย ลงจากเวที ผู้หญิงทุกคนที่เราเคยเห็นว่าน่ารัก ๆ แม่งเข้ามาทักเราหมดเลย ทุกอย่างแม่งดี พอตอน ม.6 อาจารย์แนะแนวก็เรียกไปถามว่าจะไปเรียนคณะอะไร จะสอบวาดรูปที่ไหน พอดีผมเคยวาดรูปแข่งมาก่อนไรงี้ แต่ผมก็บอกอาจารย์ว่าผมจะไปเรียนดนตรีครับ พูดง่าย ๆ คือมันเรื่องผู้หญิงนะฮะ ตั้งแต่วาดรูปมาไม่เห็นมีใครมากรี๊ดเราเลย ก็เลยทิ้งดินสอตั้งแต่วันนั้น 555 

ก่อนไปสอบที่ ‘วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล’ เราแค่เรียนทฤษฎีเบื้องต้นกับกีตาร์คลาสสิคเพื่อสอบเข้า พวกกีตาร์ไฟฟ้าผมมวยวัดหมดเลยตอนนั้น แล้วผมไม่มีกีตาร์คลาสสิคเป็นของตัวเอง ผมจะแบกกีตาร์ไฟฟ้าไปเรียนตลอด ตอนเรียนก็คือต้องไปขอยืมอาจารย์ อาจารย์เขาก็จะไม่ค่อยชอบผมเท่าไหร่ ผมบอกอาจารย์ว่าไม่ได้อยากเรียนกีตาร์คลาสสิค แต่วิชาบังคับให้เรียนไง ตอนหลังอาจารย์ก็เลยเข้าใจละ เขาก็ให้เพลงสอบผมไปเลยตั้งแต่ต้นเทอม ไปเตรียมตัวสอบของมึงเอง เรียกว่าหน้าด้านจนโชคดี

หมู-วิทวัส ภักดิ์แจ่มใส  / ตำแหน่ง : กลอง / 2003-Present

ของผมก็จะคล้ายพี่ตี่กับแป๊ป ก็คือญาติเล่นก่อน แต่ญาติของผมจะใกล้ตัวกว่า เพราะว่าญาติของผมก็คือพี่ บ้านผมมีพี่น้อง 4 คน ผมเป็นน้องคนสุดท้อง แล้วพี่สามคนคือเล่นดนตรีหมดเลยครับ คือพูดง่าย ๆ เราเห็นพี่เล่นดนตรีตั้งแต่เด็กมาก ๆ ผมก็เลยเริ่มเล่นดนตรีค่อนข้างเร็วครับ แต่ตอนเริ่มต้นจริง ๆ ก็ไม่ได้มีเครื่องไหนที่ชอบเป็นพิเศษนะ ก็คือเล่นมั่วซั่วไปหมด

พี่สาวสอนเปียโน ผมก็อะให้เขาสอนให้ พี่ชายตีกลอง/เล่นกีตาร์ ก็ให้เขาสอน ก็เหมือนแบบมีเครื่องดนตรีแทบทุกชนิดที่บ้านอยู่แล้ว มันเลยก็เลยเป็นกิจกรรมเดียวที่ทำกับพี่น้องมากที่สุด อยู่บ้านไม่มีไรทำก็เล่นดนตรีด้วยกัน คือพูดง่าย ๆ แบบตอนพี่ชายผมเริ่มเป็นวัยรุ่น ก็จะมีเพื่อน ๆ มาซ้อมที่บ้าน เวลาขาดตำแหน่งไหนที่เพื่อนเขาไม่มีเงี้ย “เอ้าเฮ้ยหมู มาเล่นแทนหน่อย” ก็จะเข้าไปเล่นแทน ซ้อมกับวงพี่ชายไปครับ ก็เลยเป็นจุดที่สะเปะสะปะ เพราะจริง ๆ ก็ไม่ได้เรียนโดยตรง มาจริงจังก็คงน่าจะช่วงมัธยมครับ พอเราโตขึ้น เราก็เห็นแบบ เอ้ยเพื่อนคนนี้เล่นอะไรได้ เราก็ชวนมาเล่นกัน ก็เริ่มจริงจังมากขึ้น 

จริง ๆ ผมรู้สึกว่าในยุคผมมือกลองหายากเหมือนกันนะ ประมาณว่ารวมวงทีนึงก็จะมีมือกีตาร์ 5 คนพร้อมกัน แม่งร้องไม่ได้สักคน ตีกลองก็ไม่เป็น เราตีกลองได้ก็เลยไปตีกลอง เพราะว่าเพื่อน ๆ ส่วนมากในยุคนั้นก็จะเล่นกีตาร์กันเยอะ ละส่วนมากก็จะมาแบบ “เฮ้ย เดี๋ยวกูร้องเอง” โห แล้วแม่งร้องอย่างเรื้อน 555 เป็นยุคเด็ก ๆ ครับ ก็เลยทำให้ช่วงมัธยมเราก็เลยตีกลองมาเยอะหน่อยนึง แต่จริง ๆ เวลาไปห้องซ้อมตอนนั้นก็ยังมั่ว ๆ กันอยู่ ตีกลองจบเพลงนึงก็เดี๋ยวไปเล่นกีตาร์บ้าง ไปเล่นเบสบ้าง วัยรุ่น SuckSeed 555 อันนี้ Sucker นิดนึง

เต๋า-ดุลยเกียรติ เลิศสุวรรณกุล   / ตำแหน่ง : ร้องนำ / 2003-Present

 

ผมไม่ได้คิดว่าจะเป็นนักร้องตั้งแต่แรกอยู่แล้ว คือเหมือนแบบเริ่มเล่นดนตรีเพราะว่าเห็นเพื่อน ๆ ตอนม.ปลายเขาเล่นกีตาร์โปร่งกัน ประมาณว่าอยากให้สาว ๆ มากรี๊ดกัน ผมก็เลยให้เพื่อนสอนกีตาร์ให้ ซึ่งก็ …

หมู : ได้ผลมั้ย

เต๋า : ก็นิดนึง

ตี่ : เพื่อน ๆ สอนคอร์ด F มั้ย

เต๋า : ตอนนั้นยัง เพราะไม่งั้นอาจจะท้อได้ ก็คล้าย ๆ พี่ตี่ เป็นคอร์ด C คอร์ด D อะไรพวกนั้นครับ ง่าย ๆ เล่นไปก่อน 

แต่ตอนแรกผมจะรู้ว่าตัวเองเป็นคนชอบที่จะฟังเพลงมากกว่า ฟังกับเพื่อนตอนม.ปลาย แล้วมันมาหัดเล่นกีตาร์จริงจังตอนพี่ ๆ Modern Dog มีเพลง ‘ก่อน’ ออกมา แล้วผมรู้สึกชอบเพลงนี้มากเลย แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องสาว ๆ นะฮะ ส่วนตัวอยากเล่นเพลงนี้ให้มันได้ ก็เลยให้เพื่อนสอน แล้วก็ไปนั่งฝึก ก็เริ่ม ๆ เล่นดนตรีมาตั้งแต่ช่วงม.ปลาย

เรื่องร้องเพลงนี่คือมาทีหลังเลยครับ เป็นตอนจบม.ปลาย ช่วงเริ่มเข้ามหาลัยครับ ช่วงปี 1 ปี 2 ผมโดนไปเล่นเบสก่อน ก็ไม่ได้เล่นเก่งอะไร แต่ว่ามีรุ่นพี่เป็นนักร้องที่เก่งมาก คนนี้คือเป็นแบบอย่างที่ดีของผมมาก ๆในตอนมัธยม ตอนนี้เค้าเป็นนักร้องอยู่วง Sleeping Sheep ชื่อเอก 

คือเหมือนเอกนี่เป็นรุ่นพี่ผมตอนเรียนอยู่นนทรี ผมอยู่ ม.5 เอกจะอยู่ ม.6 แต่ตอนนั้นไม่รู้จักกันนะครับ มารู้จักกันตอนเรียนจบแล้ว บังเอิญเจอกันแล้วต้องมาอยู่วงเดียวกัน แล้วก็ cover วง ๆ นึงชื่อ Deftones คือเพลงของวงเนี้ย มันจะต้องมีท่อนที่ผมต้องตะคอกประสานกันไปด้วย ซึ่งตอนนั้นยังตะคอกไม่เป็นเลย ก็ต้องถามพี่เอกเอา เพราะตอนนั้นพี่เอกเขาเซียนเรื่องนี้มาก ก็ค่อย ๆ เริ่ม ๆ ตั้งแต่ตอนนั้นมา


Chapter 1 : Sweet Mullet วันแรก ๆ (เต๋า หมู ตี่ น้าวีน กล้วย อั๋น แป๊ป)

เรื่องเล่าก่อนจะมี EP.Panaphobia (2003) ก่อนที่จะมีคำว่า Sweet Mullet ชื่อวงที่มาจากทรงผมของเดอะดู๊ดกายฝรั่งคนหนึ่งในรายการทีวีโชว์จะถูกตั้งขึ้น ก่อนพวกเขาจะออกเขย่าซีนอันเดอร์กราวด์ Emo / Screamo / Metal นี่คือ Day1 ของวงที่ใช้นามสกุลด้วยแนวเพลง Metal / Hardcore ที่มีพาร์ตดนตรีหนักหน่วง กีตาร์อุดสายเล่นพาวเวอร์คอร์ดแรง ๆ กลองอัดกระเดื่องคู่รัว ๆ เบสใช้ปิ๊กสปีดปั่นสาย ไปจนถึงการใช้เสียงว๊ากสุดเกรี้ยวกราด

เต๋ากับหมูและการเจอกันในห้องซ้อมครั้งแรก

หมู : คือด้วยความที่ Sweet Mullet มันเป็นวงที่รวมขึ้นจากเพื่อนของเพื่อน เป็นคนรู้จักของคนนั้นคนนี้ชวนกันมาเล่น คือเราไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเป็นการส่วนตัว ตอนที่ไปห้องซ้อมครั้งแรกคือไม่ได้รู้จักกับพี่เต๋า แต่ผมรู้จักกับสมาชิกเก่า ‘พี่น้าวีน’ มือกีตาร์ กับ ‘กล้วย’ ซึ่งเป็นมือเบสในตอนนั้น คือกล้วยก็บอกว่า เห้ย อยากชวนมาเล่น Sweet Mullet ก็ไปเจอกันที่ห้องซ้อม ตอนนั้นจำได้ว่าเป็นช่วงที่ Sweet Mullet กำลังจะเล่นอันเดอร์กราวด์ เล่น Cover เพลงของ Glassjaw

เต๋า : ใช่ ๆ

หมู : เหมือนเพลงแรกเขาให้แกะ ‘Pretty Lush’ เพื่อที่จะมาซ้อม ผมก็ไปอย่างมั่นใจเลย ไม่ได้แกะมาด้วย ผมฟัง Pretty Lush ครั้งแรก แบบเพลงแม่งยากว่ะ ไม่ต้องแกะละกัน 555

แป๊ป : ตรรกะมึงดีว่ะ

หมู : ผมจำได้ตอนนั้นยังเรียนมหาลัย อยู่ปี 1 เฟรชชี่เลย แล้วต้องขับรถไปห้องซ้อมซึ่งไกลมาก

เต๋า : พี่หมูเค้าเรียนอยู่ธรรมศาสตร์รังสิตครับ

หมู : เออ แล้วพ่อเล่นซ้อมกันบางแค-ท่าพระ ไกลมาก ก็สนุกดีครับ ไม่คิดไรมากเลย ตอนนั้นยังไม่ได้เริ่มทำเพลงด้วย แค่ซ้อม Cover ก่อน จนซ้อมไปสักพักนึงก็ถึงจะเริ่มว่าแบบ เห้ย น่าทำเพลงของเราบ้าง เพื่อไปเล่นงานอันเดอร์กราวด์ในตอนนั้น ก็เริ่มแต่งเพลง ก็เริ่มจากในห้องซ้อมนี่แหละ … ผมยังจำชุดที่ผมใส่ไปซ้อมวันแรกได้อยู่เลย

เต๋า : 555 ผมก็จำได้

หมู : ถ้าจำไม่ผิด คือครึ่งบนผมยังเป็นชุดนักศึกษาอยู่เลย แล้วครึ่งล่างใส่กางเกงวอร์ม

เต๋า : กางเกงวอร์มแบบย้วย ๆ หน่อย

หมู : 555

UNLOCKMEN : ในช่วงเวลาเดียวกันตี่ทำอะไรอยู่ครับ

เต๋า : พี่ตี่เรียนจบแล้ว ตอนนั้นเรียนโทอยู่

ตี่ : อ่า ใช่ ๆ

หมู : พี่เต๋าก็เรียนจบแล้ว

เต๋า : จบแล้ว ๆ ทำงานประจำอยู่

หมู : หลังจากที่เราทำเพลงกันไปสักพักนึง ก็จบได้อัลบั้มอีพี Panaphobia (2003) ออกมา กล้วยที่เป็นมือเบส (เก่า) ก็ออกไป ซึ่งพี่เต๋ารู้จักพี่ตี่เป็นการส่วนตัวอยู่ละ ก็ชวนพี่ตี่มาเล่น วันแรกที่พี่ตี่มาห้องซ้อม ผมจำได้เลย พี่คนนี้แม่งโคตร Hair Band เลย

ตี่ : คือตอนนั้นเหมือนคุยกันว่าไปซ้อมแบบลองดูกันก่อน ยังไม่ได้จะเข้าวง แต่จำไม่ได้ละว่าให้เตรียมเพลงอะไรไปเล่น

เต๋า : Glassjaw นี่แหละ

ตี่ : อ่อ ใช่ ๆ แล้วเพลงมันนัวมาก ผมจำได้ว่ามั่ว ๆ เหมือนกัน แต่เอาให้มันจบ


ตัวอักษร Sweet Mullet ค่อย ๆ ถูกประกอบเข้ากันจนชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ (แต่ยังห่างไกลจากสมาชิกหลักที่พวกเราทุกคนคุ้นเคยกันมาโดยตลอด) เริ่มตั้งต้นด้วยเต๋า หมูเข้ามาตีกลองให้วง มือเบสยุคก่อตั้งอย่างกล้วยออกไป และในขณะที่ตี่กำลังจะเข้ามาแทนที่นั้น 

เรื่องราวในบรรทัดต่อไปคือ Untold Story ของตำแหน่งมือเบสวง Sweet Mullet ที่ตี่เองก็เพิ่งได้รู้เป็นครั้งแรก และเราคิดว่าแฟนคลับทุกคนก็ยังไม่รู้เหมือนกัน 

การออดิชั่นมือเบสเข้าวง Sweet Mullet ครั้งแรก (และครั้งเดียว)

หมู : ผมว่าเรื่องนี้พี่ตี่ไม่เคยรู้มาก่อน จริง ๆ ตอนนั้น Sweet Mullet เราทำออดิชั่นมือเบสด้วยนะ

ตี่ : อันนี้ไม่รู้มาก่อน อันนี้ไม่รู้จริง ๆ เพิ่งรู้ตอนนี้เลย

หมู : เรามีมือเบสมาหลายคนมาลอง เราไม่ได้มีแค่คุณคนเดียว มีการคัดเลือกด้วย ไอวงอย่างเนี้ย ยังจะเสือกคัดเลือกคนอื่นอีก จำได้ว่ามีประมาณ 3 คนตอนนั้นอะ

เต๋า : มาจากศิลปากร มาคัดเลือกกันแบบว่ายิ่งใหญ่มาก

ตี่ : คนที่ไม่ผ่านออดิชั่นคือลุคเขาไม่ได้ใช่มั้ย ?

หมู : คือถ้าพูดตรง ๆ ตอนนั้นผมชอบที่พี่ตี่ใช้ Fender มันสวยดี 555

UNLOCKMEN : แล้วมือเบสแบบไหนถึงจะเหมาะสมกับวง Sweet Mullet

เต๋า : เหมือนแบบเล่นให้มันเข้ากัน แล้วก็เรื่องของนิสัยใจคอ ดูโหงวเฮ้งว่าถูกชะตากับคนนี้รึป่าว ดูเล่นเก่ง-ไม่เก่ง ตอนนั้นดูไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่

หมู : จริง ๆ เพลงที่เลือกให้ซ้อมตอนนั้น (เพลงของวง Glassjaw) มันฟังไม่ค่อยออกด้วย เพราะนัวมาก

แป๊ป : ต้องบอกว่ามันเป็นแฟชั่นของดนตรียุคนั้นที่เน้นดิบฮะ มันไม่ใช่ว่าแบบต้องการความเป๊ะอะไรขนาดนั้น

หมู : ก่อนหน้าพี่ตี่มันจะมีมือเบสคนนึงที่แบบสกิลดีมาก ๆ เลย แต่เรารู้สึกว่าเดี๋ยวเขาจะเก่งเกินพวกเราไปหน่อย กูจะไม่เท่ละ 555 เราก็เลยไม่เอาดีกว่า เรารู้สึกว่าเวลามาอยู่ด้วยกัน มันสำคัญเรื่องเคมีด้วย การได้เจอกัน การได้คุยกัน เรารู้สึกว่าพี่ตี่น่าจะเข้ากับเราได้ น่าจะอยู่กับเราได้ อยู่ด้วยแล้วน่าจะสนุก 

เต๋า : พวกเราจะเน้นตอนหลังซ้อมเสร็จที่นั่งกินข้าวกันนั่งคุยกันมากกว่า

หมู : ผลการคัดเลือกน่าจะมาจากตอนกินข้าว ดูว่าไปตามสั่งแล้วสั่งอะไร ดูว่าเทสไปกันได้มั้ย ถ้วยกลางจะเป็นต้มยำหรือต้มจืด คือถ้ามึงใช้ช้อนกลางกูไม่เอาละ 555

แป๊ป : แม่งไม่ใจ ไอเหี้ย นี่มันช้อนของคนตาขาว 555

หมู : แม่งติ๋มว่ะ 555

เต๋า : มึงมันขี้ขลาด 555

เต๋า : หลาย ๆ เรื่องรวมกันก็เกิดมาเป็นพี่ตี่ แต่ว่าจริง ๆ ผมรู้จักพี่ตี่อยู่แล้วตอนสมัยเรียนมหาลัย พอพี่กล้วยออกผมเลยโทรไปชวนพี่ตี่เข้ามา รู้จักกันได้ก็เพราะพี่เอก Sleeping Sheep คนเดิม

ตี่ : ผมรู้จักกับพี่เอกเพราะว่าผมเล่นประกวดดนตรีที่ ม.กรุงเทพ ละพี่เอกเขาเป็นนักร้อง

เต๋า : ตอนนั้นผมทำอยู่อีกวงนึง ผมเรียนอยู่ ม.สยามครับ ทำวง Cover พวก Slipknot ผมเริ่ม ๆ เป็นนักร้องละ แล้ววันหนึ่งพี่เอกก็พาพวกวงที่มีพี่ตี่อยู่มาเล่นเพลงของ Deftones ให้ดูที่ห้องซ้อมแถว ๆ มหาลัยผม ก็เลยได้รู้จักกัน


อีกหนึ่งในตำนานไลน์อัพปัจจุบันของ Sweet Mullet คือตำแหน่งมือกีตาร์รอยสัก Rage Against The Machine ที่ถูกจีบเข้ามาร่วมวงผ่านการวางแผนเกินกว่า 10 ชีวิต ของค่าย Screamlab Records คนที่วงเคาะแล้วว่าถ้าไม่ได้คนนี้ยังไงก็ไม่ใช่ พวกเรารู้จักเขาในชื่อของ ‘แป๊ป Sweet Mullet’

The Masterplan แผนการนำตัวแป๊ปเข้าวง Sweet Mullet

แป๊ป : ผมรู้จัก Sweet Mullet กับกลุ่ม Screamlab Records อยู่แล้ว ก็แฮงเอาต์กันบ่อยด้วย ยุคนั้นพอเล่นงานอันเดอกราวด์กันเสร็จ แน่นอนมันต้องหาที่เพื่อให้ได้กลับบ้านเช้า ๆ ฮะ แล้วผมก็เล่นดนตรีกลางคืนอยู่กับพี่เอก Sleeping Sheep ด้วย คือทุกอย่างชื่อคนนี้มันจะโผล่มาตลอดเลยนะ เวลา Sleeping Sheep ไปเล่น บางงานก็จะมี Sweet Mullet ผมก็มีติดสอยห้อยตามไปดูบ้าง ผมเจอพี่เต๋าครั้งแรกคืองานที่ Sleeping Sheep เล่นที่สีลม แล้วมันจะมีเพลง ‘Shove It’ ของ Deftones ที่พี่เอกจะเรียกพี่เต๋าขึ้นมาร้อง ผมก็ “เอ้ย นี่เพื่อนพี่เอกนี่หว่า ตัวเล็ก ๆ ทำไมร้องดังกว่าพี่เอกอีกวะ 555”

เต๋า : ตอนนั้นเปิดตู้ดังกว่าเฉย ๆ 

แป๊ป : ก็เลยได้เห็นพี่เต๋าครั้งแรก ตอนนั้นผมก็ยังเล่นกลางคืนกับพี่เอกอยู่ แล้วก็พอดีว่ามือกีตาร์สองคนของ Sweet Mullet ในยุคนั้นคืออั๋นกับน้าวีนเป็นรุ่นน้องผมที่มหิดล ก็เลยรู้จักกันเข้าไปอีก แล้วจู่ ๆ วันหนึ่งผมเล่นกลางคืนกับพี่เอกเสร็จ พี่เอกเขาก็ยื่นโทรศัพท์มาให้ผมพร้อมบอกว่า “ไอ้เต๋าโทรมาว่ะมันจะคุยกับมึง” ผมก็เริ่มตะหงิด ๆ ละ เพราะว่าปกติผมแทบไม่ได้คุยกับพี่เต๋าเลย พอรับสายพี่เต๋าเขาก็พูดว่า “เฮ้ยไอวีนมันออกว่ะ มึงสะดวกมั้ย มาเล่นกับกู” ผมก็ตอบกลับไปว่า “ไม่พี่” เพราะผมทำวงอยู่กับเพื่อน

เต๋า : ผมก็หน้าชาอยู่เหมือนกันตอนนั้น

แป๊ป : พี่เต๋าก็แบบ เห้ย ไอเหี้ยคิดดี ๆ 555

ช่วงเวลาที่น้าวีนมือกีตาร์ (คนเก่า) ออกไป Sweet Mullet ก็พักวงอยู่เป็นเดือนเพราะตามหาคนที่ใช่ของพวกเขาไม่ได้ ซึ่งทุกคนที่ทำวงดนตรีน่าจะเข้าใจว่าการรับใครสักคนเข้าวงมันไม่ได้หมายถึงแค่เลือกเพื่อนร่วมงาน แต่มันยังหมายถึงการรับชีวิตส่วนหนึ่งของคน ๆ นั้นเข้ามาอยู่ในชีวิตของคนทั้งวงด้วย .. ด้วยความเป็นวงที่สมาชิกดึงตัวมาจากคนรู้จักของคนรู้จักอีกที สมาชิกวงในตอนนั้นจึงกางลิสต์รายชื่อที่น่าจะเป็นไปได้ออกมา จนมาสะดุดกับชื่อของ ‘แป๊ป’ ชื่อซึ่งตัดตัวเลือกอื่นทั้งหมดออกไป 

เต๋า : พอมีชื่อพี่แป๊ปโผล่มา ทุกคนแบบหันมามามองกัน เห้ย ! 

ตี่ : เหมือนทุกคนแบบโอเคโดยไม่ต้องสั่งต้มยำมากิน

หมู : โดยไม่ต้องใช้ช้อนกลาง

เต๋า : ตอนนั้นก็เลย โอเคเดี๋ยวเป็นหน้าที่ผมเอง ถึงจะโดนปฎิเสธ แต่ด้วยความใจสู้ของ Sweet Mullet ก็แบบ แม่งปฏิเสธหรอวะ ได้ ! 

แป๊ป : คือต้องบอกก่อนว่าไอวงที่ผมทำเพลงกันอยู่ตอนนั้น เป็นเพื่อนสนิทมาก ผมนอนหอเดียวกับมัน กินนอนกับมันมา 2-3 ปี ตอนพี่เต๋าโทรมาชวนผมก็เลือกที่จะไม่ปรึกษามันด้วย เพราะว่าถ้าปรึกษามันเมื่อไหร่ มันจะปล่อยให้ผมไป ผมก็แบบเรื่องนี้กูต้องคิดเองว่ะ ตัดสินใจไรได้ค่อยบอกมันทีเดียว ก็คิดอยู่นานครับ แล้วพี่เต๋าก็โทรมาอีกครั้งปะ

เต๋า : โห หลายครั้งมากอะ 3-4 ครั้ง

แป๊ป : ผมปฏิเสธเรื่อยมาเลยอะ จนถึงวันนึง Sleeping Sheep อีกละ จะไปเล่นงานอันเดอร์กราวด์งานนึง ผมก็ว่างพอดีเว้ย เพราะถ้าพี่เอกว่างจากงานเล่นร้านคือผมก็ว่างด้วย เออก็ไปด้วย อยากไปปาร์ตี้กับเพื่อนอะ ไปถึงงานปั๊บแก๊ง Screamlab ทุกคนก็เหมือนมาล้อมผมให้อยู่ตรงบูธหน้างาน งานมันมีตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน ตอนนั้นหลายวงมาก ผมไปตั้งแต่บ่ายสอง โดนกก ๆ อยู่แบบนั้นจนผมได้เข้างานจริงตอนสามทุ่ม

เต๋า : คือวันนั้นจริง ๆ มันเป็นแผนที่เราเตรียมไว้อยู่แล้ว วางแผนเป็นทีม ไม่ใช่แค่พวกผม มันมีแก๊งใน Screamlab ด้วย พวกวง Bikini คือวางแผนก่อนวันงานเลย มือกีตาร์วง Bikini พี่สามารถเขาจะโทรมานัดแนะกับผมก่อนตอนที่พี่แป๊ปมาถึง เดี๋ยวไปดักพี่แป๊ปที่หน้าทางเข้า ละเดี๋ยวผมจะส่งสัญญาณให้พี่เต๋าเดินมา ที่เหลือวงก็เดินเข้ามาเลยละกัน

ตี่ : มันมีบล็อกกิ้ง มีปล่อยคิว

เต๋า : ใช่ ๆ ละมันทำงานกันอย่างงั้นจริง ๆ คือเหมือนก่อนหน้านั้นโทรไปสามสี่รอบเค้าปฏิเสธตลอด ซึ่งมันเป็นเวลาที่นานมาก ซึ่งที่วงก็ยังแบบ ต้องคนนี้อะ

ตี่ : พอมีชื่อคนนี้มาแล้วมันก็ไม่เห็นชื่ออื่นที่มันเหมาะกว่าแล้วอะ

หมู : วันนั้นก็เลยมีแผนการเยอะมาก คือเหมือนโครงการล้างสมอง แบบค่อย ๆ ให้คนเข้าไปตะล่อมประมาณว่า “อยู่ Sweet Mullet มันดีนะมึง” ละก็ผลัดกันเข้าไป

แป๊ป : เอาจริง ๆ เบียร์ไม่ขาดมือผมเลยอะวันนั้น แม่งจับ ๆ อยู่หมด อะเดี๋ยวกูมา ๆ เดี๋ยวกูไปหยิบให้

เต๋า : พูดง่าย ๆ พี่แป๊ปโดนล้อมก่อนเข้างวานตั้งแต่แบบตอนช่วงบ่ายจนถึงค่ำค่อยเข้าไปดูคอนเสิร์ตได้ งานจะจบแล้วยังไม่ทันได้เป็นสมาชิก พอปล่อยเข้างานไปเป็นสมาชิกของ Sweet Mullet แล้ว

แป๊ป : แต่ระหว่างที่ผมโดนเป่าหูก็คำนวณไปด้วยคิดตลอดนะ … 

ไม่รู้เรียกว่างมงายได้มั้ย แต่พอฟังพวกเขาเล่า สิ่งที่เรียกว่า ‘โชคชะตา’ ดูจะเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ Sweet Mullet ทุกคนได้มาอยู่วงเดียวกัน ยิ่งเรื่องของแป๊ปในบรรทัดถัดไปเรายิ่งเชื่อในเรื่องนี้ของวงมากขึ้นไปอีก 

แป๊ป : อันนี้ผมไม่แน่ใจนะว่าเคยเล่าให้ฟังรึปล่าว คือช่วงเวลาประมาณสองเดือนก่อนหน้าที่พี่เต๋าจะโทรเข้าเครื่องพี่เอกที่จะบอกว่าไอ้วีนออกอะ ผมฝันว่าตัวเองได้เล่นกับ Sweet Mullet

เต๋า : จำได้  ๆ แป๊ปเขาฝันว่าเค้าได้อยู่วง Sweet Mullet อันนี้แบบแปลกมาก

แป๊ป : เออผมก็เลยแบบ “หรือจิตใต้สำนึกกูอยากอยู่วะ” มันถึงเก็บไปฝัน

เต๋า : มีเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่ง ตอนที่ทำวง Sweet Mullet ช่วงแรกที่มือกีตาร์ยังเป็นน้าวีน รุ่นน้องแป๊ปคนนี้ผมรู้จักเขามาจาก ‘พี่เอ๋ Ebola’ คือผมเนี่ยเป็นคนโรคจิตอยากได้มือกีตาร์ 2 ตัวในวง ก็เลยให้น้าวีนไปเลือกมือกีตาร์คู่มันมาอีกคน มึงเรียนคณะดุริยางค์ที่มหิดลก็น่าจะหานักดนตรีได้ง่าย 

หลังจากใช้เวลาสักพัก วีนมันก็บอกผมว่ามีสองคนที่อยู่ในใจเลย คนแรกเป็นเพื่อนที่เรียนอยู่คณะเดียวกัน เอกแจ๊สชื่ออั๋น อีกคนนึงเป็นรุ่นพี่เรียนเอกเดียวกัน ซึ่งรุ่นพี่คนเนี้ยเขาบ้าวง Rage Against the Machine มาก ๆ เค้าสักชื่อ Rage Against the Machine ด้วย 

แล้ววีนก็เลือกพี่อั๋นก่อน ไม่เลือกรุ่นพี่คนนั้น เพราะว่าอยากได้รุ่นเดียวกัน จะได้กล้าแชร์ความคิดกัน ถ้าเอารุ่นพี่มาเดี๋ยวจะพูดกันลำบาก ซึ่งมารู้ทีหลังว่ารุ่นพี่มันคนนั้นก็คือพี่แป๊ป เพราะว่าหลังจากที่พี่แป๊ปเข้าวงมาแล้วเนี่ย เห็นตอนถอดเสื้อว่าเขาสัก Rage Against the Machine อยู่ที่ข้างหลัง

แป๊ป : อ้อ เหรอ พี่รู้จากอย่างนั้นหรอ

เต๋า : ใช่ ก็เลยแบบ เห้ย คนนี้นี่หว่า

หมู : ในคณะเขาสักกันกี่คนอะ 555

แป๊ป : มีผมคนเดียวพี่

เต๋า : ถ้านับจริง ๆ พี่แป๊ปต้องได้อยู่วงนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วอะ เหมือนอยู่ในชอยส์ของพี่น้าวีนที่จะเลือกอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเค้าเลือกพี่อั๋นมาก่อนเท่านั้นเอง

UNLOCKMEN : สำหรับแต่ละคนทำไมพี่แป๊ปถึงเป็นตัวเลือกที่ใช่ซึ่งใครก็ไม่สามารถมาแทนที่ได้ 

หมู : มันจะกลับไปเหตุผลเดิมเหมือนตอนที่เลือกพี่ตี่ ด้วยความที่ผมรู้จักพี่แป๊ปเคยเจออยู่แล้ว ผมยังเคยไปเที่ยวร้านที่พี่แป๊ปเล่นกลางคืนเลย เอาจริงตอนนั้นจำไม่ได้แล้วว่าพี่แป๊ปเล่นเป็นยังไง แต่พอหลังจากเล่นเสร็จแล้วไปกินข้าวกัน ลาบเป็ดอุดร ก็รู้สึกว่าอยู่กับเขาแล้วสนุกดี มันเป็นเรื่องนั้นมากกว่า

ตี่ : มันเหมือนไม่ใช่เรื่องของเหตุผล มันเป็นเรื่องของความรู้สึกอะ ความรู้สึกมันใช่มันก็ใช่

แป๊ป : มันเป็นเรื่องของเคมี ผมว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นอะครับ

เต๋า : ของผมส่วนตัวคือเหมือนมีพี่เอก Sleeping Sheep เป็นตัวคัดกรอง คนนี้เล่นกีตาร์กับเอกแสดงว่าเขาต้องโอเคแน่ ๆ มันคิดอย่างนั้นนะ


ช่วงเวลาที่สนุกที่สุดของ Sweet Mullet

บันทึกปี 2017 ของวง Sweet Mullet ที่แฟนคลับไม่เคยลืม ‘อั๋น-นฤดม ตันทนานนท์’ ตัดสินใจยุติบทบาทการเป็นมือกีตาร์ของวง จากเหตุการณ์นั้นมันทำให้เราคิดไปไกล การมีความฝันผูกติดอยู่กับวงดนตรีวงหนึ่งเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะไม่เจอกับทางแยก ตลอด 21 ปีของ Sweet Mullet เองก็คงมีทางแยกจำนวนนับครั้งไม่ถ้วนอยู่ในนั้นเหมือนกัน

และไม่ว่าจะในหนังดนตรีอย่าง Sing Street (2016) หรือในสารคดีของ The Beatles หรือแม้แต่ในชีวิตจริงเองก็ตาม ปฎิเสธไม่ได้ว่าช่วงเวลาที่สนุกที่สุดช่วงหนึ่งในการทำวงดนตรีมักจะเป็นช่วงแรก ๆ ที่เริ่มต้น เวลาซึ่งความรู้สึกนำหน้าเหตุผลทุกรูปแบบ ความสุขที่ไม่ได้มองความฝันที่ชื่อว่า ‘ความสำเร็จ’ เป็นเป้าหมายกันแบบต่อวินาที .. เราอยากรู้ว่า Sweet Mullet คิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ช่วงเวลาไหนที่พวกเขานับว่าเป็นความสุขที่สุดของวง

“มันมีหลายช่วงอะเนอะ มันสนุกทุก ๆ ช่วงเลยอะ แต่แค่คนละแบบกันออกไป” 

พวกเขาบอกกับเราว่าช่วงแรกของวงก็เป็นอะไรที่สนุกจริง เพราะมันหมายถึงการที่ทุกอย่างใหม่ไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นรถตู้ออกทัวร์คอนเสิร์ต ไปจังหวัดที่ไม่เคยไปเลยทั้งชีวิตด้วยกันครั้งแรก การนั่งเครื่องบินครั้งแรกด้วยกัน ศิลปินต้องซาวด์เช็คอย่างไรบ้าง ต้องเตรียมสายแจ็คให้ยาว 10-20 เมตรขึ้นไปเพื่อการเพอร์ฟอร์แมนซ์นะ หรือการสัมภาษณ์ก็ต้องมีทีมแต่งหน้าให้ด้วย พวกเขามองว่าด้วยความ ‘ไม่รู้’ ทุกอย่างเลยสนุกและตื่นเต้นไปหมด

ความตื่นเต้นนี้ยังไปไกลถึงเรื่องของการเริ่มทำเพลงด้วย ที่พวกเขาใช้คำว่า ‘เพียว’ เพราะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคนฟังจะตอบรับกับผลงานของวงหน้าใหม่นี้ในรูปแบบไหน คล้าย ๆ กับทุกวงในช่วงเริ่มต้น เหล่าเด็กหนุ่ม Sweet Mullet ในตอนนั้นก็ทำเพลงเพื่อตอบสนองความต้องการที่พุ่งพล่านของตัวเอง เอาให้สะใจที่สุดไปเลย

“พอมันไม่รู้ว่าข้างหน้ามีอะไรรออยู่ บวกกับความมั่นหน้าของเราด้วย ที่มันแบบวัยรุ่น มันสดมาก เวลาอยู่บนเวทีมันพราวด์นะ”

ในช่วงเวลาแห่งความเพียว Bangkok Music Festival คืองานที่ทั้ง 4 คนจำได้ไม่ลืม ช่วงเวลาที่สังกัดค่ายใหม่ ๆ และยังไม่ได้ปล่อยอัลบั้มแรก Light Heavyweight ออกมา งานที่ New Blood อย่างพวกเขาต้องขึ้นสู่เวทีของสนามกีฬาราชมังคลาสังเวียนเบอร์ต้นของศิลปินทั้งประเทศ ถ้าใครเคยดู Sweet Mullet ในช่วงต้นคงจะจำเอเนอร์จี้ความเป็นวัยรุ่นของพวกเขาได้อย่างดี และในวันนั้นพวกเขาเองก็รู้สึกออกมาเป็นคำพูดที่ว่า “โคตรเท่เลย” สิ่งที่เกิดขึ้นคือโปรดิวเซอร์ของวง ‘ดาโน่-ดนัย ธงสินธุศักดิ์’ อัดเทปให้พวกเขารีเช็คผลงานของตัวเองเพื่อเติบโตไปเป็นวงที่ดี และนี่คือคอมเมนต์ที่สามารถอธิบายความเพียวหนึ่งในช่วงเวลาที่สนุกที่สุดของ Sweet Mullet ได้เป็นอย่างดีทีเดียว

“ก็เละเป็นโจ๊กเลยฮะ เล่นโคตรเหี้ย 555 แต่ตอนนั้นรู้สึกแบบเล่นโคตรมันส์เลย แม่งโคตรเท่เลย แต่ครั้งนั้นมันก็ทำให้วงตั้งใจเล่นมากขึ้นด้วยนะ”


UNLOCKMEN : ในวันที่ทั้ง 4 คนของวง Sweet Mullet อยู่ในจุดที่ไม่ได้แค่ทำดนตรีเพื่อตอบสนองความรู้สึกของตัวเองอย่างเดียวอีกแล้ว เรามีคำถามที่อยากรู้ 2 ข้อ 1.เหตุการณ์ที่ทำให้เริ่มต้นตกหลุมรักดนตรี / 2.วันที่ตัดสินใจว่าจะทำเพลงเป็นอาชีพ ?

หมู Sweet Mullet

“เอาจริงผมไม่เคยเลือกเส้นทางสายนักดนตรีเลย แต่ว่าดนตรีเลือกผม”

เต๋า/ตี่/แป๊ป : ช่วยทำรูปเป็น Info Graphic ใส่หน้าซีเรียส ๆ ของมันพร้อมขึ้น Quotes ให้หน่อยนะฮะ เดี๋ยวเพจวงแชร์ให้ ชอบไรแบบนี้

เราแค่เล่นดนตรีให้มันสนุกเฉย ๆ ตั้งแต่เด็ก ตอนไปทำ Sweet Mullet เราก็แค่เราอยากทำเพลงของเรา โหแม่งเท่ละ คิดแค่นั้นจริง ๆ แต่พอมองย้อนกลับไป ทุกสิ่งที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้มันเกี่ยวข้องกับดนตรีทุกอย่าง ตอนเลือกเรียนผมก็ไม่ได้เรียนสายดนตรีด้วยซ้ำ ชีวิตมันก็จับพลัดจับผลูเหมือนกัน เราเลือกดนตรีเป็นอาชีพมั้ย ? ในตอนนั้นผมไม่ได้เลือกดนตรีเป็นอาชีพ แต่รายได้ทุกทางของผมเกี่ยวข้องกับดนตรีทั้งหมด

ตี่ Sweet Mullet

การที่จะมานั่งบอกว่า “โห กูรักดนตรีจังเลยว่ะ” มันไม่เคยมีอะ เราเริ่มมาจากความเห่อหมอย ความสุขแค่ได้เล่น ชีวิตก็มาทางนี้เรื่อย ๆ จนแบบเราไม่มานั่งบอกว่าเรารักดนตรีตอนไหน มันเหมือนเป็นวิถี อาจจะคล้าย ๆ หมู ตรงที่รายได้ทุกอย่าง หรือแม้กระทั่งผมทำแบรนด์เสื้อผ้าก็อิงมาจากดนตรี ซึ่งมันเป็นวิถีชีวิตไปแล้ว เราอาจจะไม่ได้มานั่งพูดว่ากูรักชีวิตกูจังเลยว่ะ กูรักพฤติกรรมกูจังเลย ไม่ มันเป็นชีวิตไปแล้ว

แล้วก็ไม่ได้ตัดสินใจทำเป็นอาชีพ แต่มันเป็นไปเอง ไปเรื่อย ๆ ละมันเป็นไปเอง พอมาใช้เวลากับตรงนี้เยอะ ๆ เราก็ไม่ได้มีเวลาไปทำอย่างอื่น มันเป็นไปเอง ไม่ได้ตัดสินใจครับ

เต๋า : ก็เล่นดนตรีจนเรียนปริญญาโทไม่จบอะครับ

หมู : ผมว่าไม่เกี่ยวกับดนตรี 555

เต๋า Sweet Mullet

ผมก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นนักดนตรีเลยครับ ผมแค่รักในการฟังเพลง ช่วงมัธยมจนถึงมหาลัย ผมจะนั่งฟังเพลงต่อวันหลายชั่วโมงมาก นั่งฟังเพลง นั่งดูอาร์ตเวิคปกซีดีทุกวัน ๆ นั่งรถเมล์ไปพันทิพย์ ประตูน้ำ สะพานเหล็ก สะพานพุทธ นั่งฟังแต่เพลง ผมก็ไม่ได้อยากเป็นนักร้อง ถ้าเลือกได้ผมอยากจะเล่นอย่างอื่น แต่ผมก็เล่นไม่ได้เรื่องสักอย่าง

ผมเป็นนักร้องเพราะว่า ‘ความคึกคะนอง’ สมัยมหาลัยตอนวง Slipknot ปล่อยเพลงออกมา ผมก็แบบวงนี้มันยากมาก ๆ ก็ฟอร์มวงในมหาลัยแล้วก็แบบเดี๋ยวกูร้องเอง เกิดจากความคึกคะนอง ยาวมาเรื่อย ๆ จนทำวง Sweet Mullet ผมก็ยังร้อง แต่ว่าก็ไม่ได้คิดว่าจะทำเป็นอาชีพ เพราะว่าตอนนั้นผมมีงานประจำทำอยู่ คิดว่าก็แค่เล่นใต้ดินไปเรื่อย ๆ ผมว่าโชคชะตาหรือดวงอะไรสักอย่าง มันทำให้มาต่อเรื่อย ๆ จนถึงวันนี้ครับ ซึ่งผมก็ไม่ใช่นักร้องที่ดีนะ ไม่ได้เป็นนักร้องที่ดีเท่าไหร่

แป๊ป Sweet Mullet

อย่างที่ผมได้พูดไว้ตอนแรกว่าเมื่อก่อนตัวเองเป็นคนขี้อายมาก-อายแบบตอนประถมเขามีให้ไปพูดหน้าชั้นเรียนก็จะติดอ่าง มันเหมือนเป็นตราบาปมาตลอดชีวิต ที่ไปห้องซ้อมกับเพื่อนอยากเล่นเบสก็เพราะไม่อยากเด่น เด็ก ๆ ผมยังแยกเสียงเบสอะไรไม่ออก เสียงมันเบาดีเว้ย คนจะได้ไม่ต้องสนใจเรา ก็แค่เราอยากเล่นดนตรี แต่ยังไม่ได้บอกว่ารักนะฮะ แค่อยากเล่น เออกูไม่ต้องเด่นอะ เห็นพวกกีต้าร์ต้องไปยืนโซโล่ก็ไม่เอา เป็นนักร้องนี่ยิ่งลืมไปได้เลย แต่จับพลัดจับผลูได้มาเล่นกีตาร์ คือผมเกลียดความขี้อายของตัวเองมาก ๆ อยากให้แม่งหายไปสักที

ก็เลยเหมือนที่กล่าวไว้ตอนแรกอีกฮะ มันจะมีอยู่ครั้งนึงที่ต้องขึ้นมาเล่นดนตรี ตอนนั้นเราเริ่มฝึกกีตาร์อะไรของเราบ้างแล้ว แต่มันเหมือนแค่สนุกกับการฝึก ถ้าพวกคนเล่นดนตรีจะเข้าใจว่าถ้าตั้งใจช่วงฝึกแรก ๆ พัฒนาการเราจะขึ้นเร็วมาก เราก็ภูมิใจกับพัฒนาการตัวเอง โอเคก็ฝึกไป ยังไม่ได้รักนะฮะ

แล้วก็ถึงวันที่ต้องขึ้นไปเล่นบนเวที เพลงมันส์ขนาดนี้ พวกเพื่อนเรา ไอพวกนักร้อง พวกไรมันโยกจนหัวจะชนเข่าอยู่แล้ว เราก็ยังไงดีวะ เหมือนมีตัวดี/ตัวร้ายก็อยู่ที่ไหล่ฮะ ตัวดีก็พูดว่า “โยกเถอะเพื่อน” ไอตัวร้ายก็บอก “อย่าเลยมึงอายจนวันตายเลยนะเว้ย” สุดท้ายกลั้นใจเลย เอาจริง ๆ แม่งเป็นอะไรที่ยากมาก มันเหมือนคนขาหักมาปีนึง แล้ววันนึงต้องเดินสองขาเต็ม ๆ ต้องฝืนกายภาพอย่างแรง แต่พอทำได้ปั๊บ พอทุกอย่างมันปลดล็อค ตั้งแต่วันนั้นวินาทีนั้นที่ผมลงเวทีมา ผมกลายเป็นคนหน้าด้านไปเลย ดนตรีทำให้ผมหน้าด้านฮะ ใช่ นี่แหละที่ผมรักดนตรี

ตี่ : เรียกว่ามั่นใจ

แป๊ป : มั่นใจมันดูแบบตั้งใจไปอะ แต่หน้าด้านผมรู้สึกมันธรรมชาติ

ตี่ : หน้าด้านมันคือการแบบมึงไปทำเหี้ยได้หน้าตาเฉยอะ

แป๊ป : ก็พี่ไม่เห็นเหรอ 555 ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

ดนตรีทำให้ผมมีสังคม กล้าคุยกับคนอื่น อันนี้คือประโยชน์หลังจากนั้น ทำให้ผมกล้าชนกับปัญหาใหม่ ๆ นั่นคือเหตุผลที่ผมรักดนตรี

ส่วนตอนที่ตัดสินใจเล่นดนตรีเป็นอาชีพ ตอนนั้นนั้นมหิดลเพิ่งเปิดป.ตรีใหม่ ๆ ทุกคนก็แบบเป็น Sound Engineer ดีกว่ารวยกว่า ผมก็ลองดู เผื่อชีวิตมันดีกว่า ก็คิดอยู่แค่นั้นเลย พอเข้าไปเรียน ปี 1 ไม่อินเว้ย แต่ไม่อยากย้ายเอก ก็เรียน ๆ ไปเผื่อได้ความรู้ไรบ้าง พอขึ้นปี 2 เพื่อนที่สมัยปาร์ตี้ด้วยกันช่วงมัธยม ที่ผมซิ่วตระเวณกินดื่มอยู่ปีนึง ใช้ชีวิตแบบเต็มสตรีมไปเลย

พวกบรรดาเพื่อน ๆ กลุ่มนั้นก็ที่เคยประกวดด้วยกันก็ชวนเล่นดนตรีกลางคืน ผมก็บอก “โห กูอยู่ศาลายา พวกมึงอยู่แถวซีคอนศรีนครินทร์” แต่ผมอยากกลับไปเล่นดนตรีอะ แล้วพอตัดสินใจกลับไปเล่นปั๊บ นั่นแหละครับ ขึ้นเวทีร้านได้แค่วันละ 400-500 บาท แต่ได้โยกอีกละ เอาล่ะกลับมาหน้าด้านอีกละ คิดเลยว่าแบบ “เออว่ะ กูเป็นนักดนตรีนี่หว่า กูไม่ใช่ Sound Engineer” คืออาชีพผมต้องอยู่บนเวที กูไปอยู่ตรง FOH ไม่ได้ คนต้องเห็นกูเพราะกูหน้าด้าน เลยตัดสินใจยึดอาชีพนี้แหละ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ขอเงินพ่อเงินแม่เลยครับ ตั้งแต่นั้นมา เล่นกลางคืนอย่างเดียวเลยฮะ เพิ่งมาขอตอนโควิดเนี่ยฮะ 555

ในฐานะที่มีวงดนตรีเหมือนกันและทำมาเกือบ 10 ปี อีกนิดจะครึ่งทางอายุวงของ Sweet Mullet แล้ว เราสามารถพูดได้ประมาณหนึ่งว่า ‘ความฝัน’ กับ ‘วงดนตรี’ บางวงเป็นสิ่งที่แปรปรวนตลอดเวลา ความฝันในวันแรก อาจจะแค่ ๆ สามารถคล้ายกับฝันในปัจจุบันได้เท่านั้น ปีที่ 21 ของ Sweet Mullet ความฝันในตอนที่เริ่มเล่นดนตรีใหม่ ๆ ของพวกเขา ยังมีจุดหมายเหมือนกับวันนี้อยู่รึเปล่านะ ?

แป๊ป : ตอนฝันมันก็ฝันกันเต็มข้ออยู่แล้วครับ หมายถึงแบบในหัวมันคิดว่าอะไรดีที่สุด ผมว่าตอนในฝันมันคงคิดว่าเป็นอย่างนั้นไปแล้วอะ ทุกอย่างมันก็ต้องดีที่สุดของการเป็นอาชีพนั้น ๆ ผมมองว่างั้นนะ ตอนฝันผมว่าผมก็ฝันเต็มที่เหมือนกัน กูฝันอะ ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ได้ผิดอะไรอยู่แล้ว ไม่มีใครมาด่า นั่งคิดคนเดียว แต่ถ้าอยากได้อะไรแบบในฝันที่มันเป็นที่จริง ๆ ผมคิดว่าเราแค่พยายามไม่มากพอ เพราะผมว่าคนที่ประสบความสำเร็จได้แบบระดับท็อป ๆ เลย เขาก็คงตั้งใจทำกับผ่านอะไรมาไม่ใช่น้อย น่าจะเป็นอย่างนั้น

เต๋า : ตอนเด็ก ๆ ผมอ่านหนังสือของเมืองนอก วงประสบความสำเร็จยังไง เสพสื่อเยอะเลย และคิดว่าเราน่าจะต้องเป็นอย่างนั้นแน่ ๆ ซึ่งพอมาทำวงจริง ๆ แล้ว แม่งไม่ใช่เลย แม่งคนละเรื่อง มันเป็นอีกแบบนึง แต่ประสบความสำเร็จนะครับ สำหรับผมประสบความสำเร็จแต่เป็นอีกรูปแบบนึง

ตี่ : ของผมความฝันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จากตอนแรกที่แค่เริ่มเล่นดนตรี ความฝันของผมจะมองเป็นภาพ ภาพแรกคือได้ไปเล่นคอนเสิร์ตในที่ใหญ่ ๆ คนเยอะ ๆ แค่นั้นเลย แต่พอเวลามันเริ่มทำแล้ว เราก็จะเสพสื่อคล้าย ๆ กัน คือสื่อสมัยก่อนเค้าชอบเอาภาพความสำเร็จมาให้เราเสพ เราก็อยากไปถึงจุดนั้นบ้าง แต่พอมา ณ ถึงทุกวันนี้ ผมไม่โฟกัสที่ความใหญ่ละ ผมโฟกัสที่ความยาว

แป๊ป/หมู : 555

เต๋า : อันนี้พูดถึงความสำเร็จใช่มั้ย ?

ตี่ : พออายุวงเรามาถึง 21 ปี ในมุมผมเรารู้สึกว่าวงที่อยู่ได้ยืดยาวมันคือ success ที่อยู่ได้เรื่อย ๆ อย่างวง The Rolling Stone หรือ ACDC

หมู : โอ้ย นั่นใหญ่ยาวเลยแหละ

เต๋า : เรื่องดนตรีนะ เรื่องดนตรี ทำวง


Chapter 2 : ความสัมพันธ์ของ Bandmate

แด่นักดนตรีทุกคนที่เคยมี Bandmate เป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะรักษามันไว้ได้หรือใหม่ นั่นคือสิ่งที่พิเศษที่ไม่มีอะไรบนโลกสามารถมาทดแทนได้อีกแล้ว

UNLOCKMEN : คิดว่าอะไรคือสมการสำคัญที่ทำให้สมาชิกของ Sweet Mullet เคมีลงตัวแบบที่เราเห็นกัน และอยู่ได้ถึง 21 ปี สิ่งที่เรียกว่า Band Mate ที่หมูเคยพูดเอาไว้มีส่วนสำคัญต่อวงด้วยมั้ย

หมู : สำคัญในทุกวงดนตรีเลย มันไม่ใช่แค่วงเรา คือด้วยความที่พวกเรามีเพื่อนที่อยู่ต่างวงเยอะ แล้วเราก็เคยคุยกัน ได้แชร์ประสบการณ์กัน ผมรู้สึกว่า ความสัมพันธ์ที่เป็นเพื่อนร่วมวงอะ เป็นความสัมพันธ์ที่พิเศษมากบนโลกใบนี้ เค้าเรียกว่าเป็นเพื่อนก็ไม่ใช่เพื่อนร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นเพื่อนร่วมงาน ก็ .. คือมันผสมหลายอย่างอยู่ในนั้น เป็นทั้งเพื่อน พี่น้อง เป็นเพื่อนร่วมงานด้วย เป็นครอบครัวด้วย เป็นเหมือนแฟนด้วย 

อย่างตอนนี้ที่เราสัมภาษณ์กันอยู่ Sweet Mullet ก็มีอายุ 21 ปี คือพูดง่าย ๆ คบกัน รู้จักกันยาวนานกว่าแฟนคนนึงอีก ผมรู้สึกว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนนิดนึงเพราะว่าเราอยู่ด้วยกันเยอะ อย่างช่วงไปทัวร์บางสัปดาห์คืออยู่ด้วยกันตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ขึ้นรถตู้ กินข้าว นอนที่โรงแรม ตื่นมาไปเล่น คือมันมากกว่าเพื่อนมัธยมที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน 6 ปีอีก ของเรามันผ่านมา 21 ปี ผมรู้สึกว่ามันยาวนานมาก แล้ววงเราก็มีความ Professional สูงอยู่แล้ว คือเราก็ไม่สามารถแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานได้เลย 555 (ทั้งวงหลุดหัวเราะพร้อมกัน) ผมว่ามันไม่มีใครสามารถทำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์อะ 

มันยากด้วยความที่เราอยู่กันแบบนี้ รู้จักกันแบบนี้ จะบอกว่าอย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยว มันเป็นไปไม่ได้อะ มันอยู่ด้วยกันอะ เราแม่งโปรอยู่แล้ว ไม่เคยแยกได้อยู่แล้ว แม่งเรื่องส่วนตัวทั้งนั้น 555 

สำหรับผมความสัมพันธ์ Bandmate เป็นความสัมพันธ์ที่พิเศษมาก ผมว่านักดนตรีที่อ่านอยู่เขาจะเข้าใจโดยที่ไม่ต้องอธิบายอะไรเลย ทุกคนน่าจะเห็นตรงกัน เข้าใจในความซับซ้อนนี้ ถามว่ารักมากมั้ย รักมากเลย เป็นเพื่อนที่เรารักมาก เป็นพี่ที่เรารักมาก ถามว่าในบางเวลาเกลียดมั้ย โคตรเกลียดเลย เวลาที่เรามีอะไรที่ขัดใจกันหรือเห็นไม่ตรงกัน มันก็เป็น Love-Hate Relationship อย่างนึง สำหรับผมเป็นความสัมพันธ์ที่พิเศษมาก

เต๋า : มันเหมือนแบบรักมาก เกลียดมาก ละก็ จริง ๆ มันไม่ใช่ 24 ชั่วโมง อยู่ด้วยกันเกิน 48 ชั่วโมง อยู่เป็นสัปดาห์ บางทีทัวร์เสร็จปุ๊บ

หมู : เสือกจะไปต่อที่บ้านพี่แป๊ปอีก ไปทำไมวะ ?

เต๋า : ใช่ ๆ ไปนั่งเล่นกันต่อ หรือไม่ก็แบบไปนั่งทำเดโม่กันต่อ หรืออะไรสักอย่างต่อ คือใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน มันเยอะกว่าการกินข้าวด้วยกัน อยู่ด้วยกันจนรู้แล้วว่าใครชอบกินอะไร สั่งข้าวแทนกันได้เลย ทุกคนรู้กันหมดเลย

หมู : สมมุติเค้ามีเสื้อมาให้ 4 ตัว เรารู้เลยว่าใครจะเลือกตัวไหนไป

แป๊ป : แต่วันนี้กูไม่รู้ว่ามึงจะแต่งอย่างงี้มา 

555 (ทั้งวงหัวเราะพร้อมกัน)

เต๋า : นอกเหนือจากเรื่องของวง เราจะคุยกันเรื่องชีวิตด้วย ชีวิตครอบครัว ชีวิตที่ใช้ชีวิตจริง ๆ ของแต่ละคน เป็นยังไงกันบ้าง อย่างผมมีช่วงที่โดนมรสุมชีวิตเยอะ ๆ โดนยึดบ้าน หรือว่าเลิกกับแฟน หรือว่าหลาย ๆ อย่าง แต่ละคนก็จะรู้ว่าผมรู้สึกยังไง เวลาเกิดเหตุการณ์ของแต่ละคนก็จะนั่งแชร์กัน  มันนอกเหนือจากที่มานั่งคุยกันว่า เอ้ยวันนี้เราจะทำเพลงอะไรกัน เราจะเล่นดนตรีอะไรกัน นั่งคุยกันเรื่องเราจะแก้ปัญหาชีวิตยังไง กูเจออย่างงี้ว่ะ ถ้าเป็นมึงอะ มึงจะแก้ปัญหายังไงวะ มันคือนอกเหนือจากเรื่องดนตรีแล้วครับ 

มันหลายฟังก์ชั่นมาก ๆ แล้วทั้ง 4 คนมันกล้าที่จะแชร์เรื่องจริงของแต่ละคนเลยว่าตอนนี้เจอเรื่องอะไรอยู่ ผมกล้าร้องไห้ต่อหน้าทุกคน แต่ละคนก็กล้าร้องไห้ต่อหน้าผม แต่ละคนสามารถเปิดใจกันได้ อันนี้ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรที่มหรรศจรรย์นอกเหนือจากการที่เรามาเล่นดนตรี เล่นดนตรีเราเล่นอยู่บนเวทีชั่วโมงกว่า แต่ว่าเราใช้ชีวิตนอกเหนือจากอยู่บนเวทีเยอะกว่าตอนอยู่บนเวทีเยอะเลยฮะ ระหว่างอยู่บนรถตู้เรานั่งคุยไรกัน อยู่บนเครื่องบินเราคุยอะไร ระหว่างนั่งกินข้าว ตอนอยู่บ้านแต่ละคนเราคุยอะไร หรือว่าตอนอยู่ที่บ้านตัวเองแต่ละคนโทรหากันเพราะเรื่องอะไร

UNLOCKMEN : ถ้างั้นคิดว่า Band Mate มีส่วนสำคัญในการเป็นวงที่ดีมั้ย ?

หมู : ผมว่าสำคัญมากนะ ผมเห็นมาเยอะเหมือนกัน ความสัมพันธ์ของบางวงที่มันดีมาก ๆ เลย ไม่ทะเลาะกันเลย แต่สักพักวงแตก คือกลายเป็นว่าพอเรามีปัญหาแล้วแต่ละคนไม่พูด มันก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ได้เหมือนกัน แล้วจริง ๆ วง Sweet Mullet ในช่วงเริ่มต้น ก็ยังไม่ค่อยได้ทะเลาะกันนะ เพราะว่าแต่ละคนก็เก็บ ๆ แต่ผมรู้สึกว่าพอมันถึงจุด ๆ นึง เรามีปัญหากัน เราได้ทะเลาะกัน มันมีข้อดีมาก ๆ อยู่ในนั้นเหมือนกัน ไม่ใช่ทะเลาะละมันจบ มันกลายเป็นว่า กูได้ฟังมึงละ กูได้ฟังเหตุผลแล้วว่าอึดอัดเพราะเรื่องอะไร ไม่ชอบในเรื่องอะไร ผมว่าดีกว่าที่เราไม่พูดด้วยซ้ำ ดีกว่าที่เราจะไม่ทะเลาะกัน เพียงแต่ว่าก็ต้องมีเหตุผลในการรับฟังเหมือนกัน เพราะบางครั้ง บางวงทะเลาะกันละอาจจะแตกไปเลยก็มี ผมว่าความสัมพันธ์นี้ก็ต้องบาลานซ์ให้ดีเหมือนกันครับ ในเรื่องของความสัมพันธ์ที่ดีหรือเวลามีปัญหากันก็ต้องทำความเข้าใจกัน ก็ดีกว่าเก็บเงียบ

เต๋า : ใช่ เพราะทุกคนใน Sweet Mullet ทะเลาะกันครบทุกคนหมดแล้ว

ตี่ : มันเหมือนได้เอาปัญหาออกมาคุยกันมากกว่า แล้วก็มาหาทางที่จะแก้กันต่อไป คือถ้าไม่คุยปัญหามันก็จะอยู่อย่างนั้น เพียงแต่ว่าการที่ทะเลาะแล้วไม่ทำให้แยกกันไปเป็นเพราะว่ามันมีความสัมพันธ์ในมิติอื่นที่มันเกาะเกี่ยวกันอยู่ มันไม่ใช่แค่ว่าเรามาเจอกันด้วยเรื่องงาน ไม่พอใจในเรื่องงาน เออกูลาออก มันไม่ใช่แบบนั้น เพราะมันมีความสัมพันธ์ในมิติอื่นอยู่ด้วย มันเลยทำให้เออก็อยู่กันตรงนี้ เราไม่พอใจกันเรื่องนี้ เราก็คุยเรื่องนี้ให้จบ มันก็เป็นข้อดีนะ เอาปัญหามาคุยกันแล้วก็แก้กันดีกว่า ดีกว่าสะสมปัญหา

แป๊ป : แต่อันนี้ก็อาจจะไม่เกี่ยวกับผลงานเพลง หรือผลงานของวงนั้น ๆ นะฮะ ว่าจะเป็นผลงานที่ดีหรือไม่ดี อันนี้หมายถึงความสัมพันธ์นะ บางวงทำเพลงดี แต่ข้างในผมก็ไม่รู้อาจจะ ชุลมุนอยู่ก็ได้

เต๋า : ถ้าพูดแต่เฉพาะของเรา Sweet Mullet เนี่ย 21 ปี ผมเชื่อว่า 4 คนนี้ ต่างคนต่างเห็นแผลของกันและกันเยอะมาก ตัวเองก็เห็นแผลของตัวเอง ต่างคนต่างเห็นแผลของกันและกัน แต่ว่าก็ช่วยกันทำแผลกันนะครับ มันไม่ได้แบบทำให้เกิดแผลละก็ เอ้ยไปละโว้ย !

หมู : ไอเหี้ย 555

เต๋า : ไม่ใช่มาถึงชนแล้วหนี Hit and Run ฮะ แล้วก็ไม่ใช่ตบหัวละลูบหลัง ไม่ใช่นะครับ มาช่วยกันทำแผล แล้วก็มานั่งคุยกัน ต่อไปเราเกิดแผลแบบนี้ เราจะทำยังไงให้ไม่เกิดแผลนี้ขึ้นมาอีก แต่ละคนมันมีแผลกันหมด แต่ว่ามันอยู่ด้วยกันได้

 

UNLOCKMEN : แล้วสำหรับ Sweet Mullet ความสัมพันธ์ของ Bandmate ที่ดี ส่งผลทำให้เพลงของวงดีไปด้วยรึเปล่า

แป๊ป : ถ้าพูดถึงในเชิงของวงสวีทเลยอะครับ อันนี้มีผล ผมมองว่าดนตรียังไงมันก็คืองานศิลป์ เพราะทุกอย่างมันอยู่ที่สภาวะจิตใจด้วยฮะ สมมุติถ้าเป็นเมื่อก่อนที่ผมวาดรูปตอนเด็ก ๆ ผมรู้สึกว่าผมต้องมีอารมณ์ดีก่อนถึงจะวาดรูปดี พอโตขึ้นมาได้ทำเพลง ผมก็รู้สึกว่ามุมมองผมก็เป็นแบบนั้นด้วยเหมือนกัน ถ้าผมเครียด หรือแบบทะเลาะกับไอหมูอยู่ ผมคงไม่มีอารมณ์นั่งคิดเพลงหรอก อันนี้มันแล้วแต่ด้วยนะครับ ผมว่ามันเป็นรูปแบบของแต่ละคนที่จะสร้างงานศิลป์ อย่างพี่เต๋าตอนนั้นอาจจะอกหัก พี่เต๋าแต่งเพลงได้

เต๋า : แต่ว่าไม่ใช่ ณ ตอนนั้นเลยนะ

แป๊ป : เข้าใจ ๆ แต่ว่าหมายถึงว่าพี่ก็สามารถเอาเรื่องราวมาใช้ แต่ของผมถ้าผมอกหักผมทำไรไม่ได้เลย ผมทำงานศิลป์ไม่ได้ ผมต้องมีความสุขผมถึงจะคิดงานได้ อันนี้ผมเลยมองคำว่า Bandmate ถ้าใช้กับ Sweet Mullet คือเหมาะสมที่สุดละ สำหรับผมนะ

เต๋า : คือทุกครั้งแบบว่าที่เวลาผมเลิกกับแฟน ผมจะโทรบอกที่วง

แป๊ป : ออกมาหาอะไรปรนเปรอ 555

เต๋า : คือทุกครั้งที่ผมมีปัญหาเรื่องแฟนหรือเรื่องอะไรก็ตาม ณ ตอนนั้นผมเสียใจ ผมไม่สามารถสร้างงานอะไรได้อยู่แล้ว จริง ๆ ถ้าผมมีปัญหาเรื่องนี้เมื่อไหร่ ทุกคนจะรู้ว่าตอนนั้นอะผมมาทำงานไม่ได้ จะรู้โดยอัตโนมัติเลย ทุกคนจะรู้ แต่พอหลังจากนั้น พอผมดีขึ้น ทุกคนก็จะรู้ละว่าผมสามารถเอาเรื่องตรงนั้นมาสร้างเป็นงานได้ เพราะว่าทุกครั้งเวลาที่ผมเลิกกับแฟน ผมโทรไปหาพี่แป๊ป พี่แป๊ปเขาจะแบบ “โอเคพี่ เราได้เพลงใหม่กันอีกแล้ว” ทุกครั้ง ทุกคนก็จะบอก พี่หมูก็จะบอก ทุกคนรู้หมดอะ พี่ตี่ก็รู้ครับ


Chapter 3 : Something’s Missing

Something’s Missing ซิงเกิ้ลล่าสุดของวง คือเดโม่เก่าที่ทำเอาไว้เมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว ช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับที่อั๋นตัดสินใจออกจากวง และแป๊ปเริ่มต้นเล่นกีตาร์ 7 สาย เพื่อหาซาวด์ใหม่ให้กับวง แป๊ปเป็นคนคิดทางคอร์ดกับอินโทรของเพลงขึ้นมา ผ่านไอเดียที่อยากให้เพลงของวงมีความโมเดิร์นมากขึ้น ก่อนจะเอาไปให้วงช่วยกันแจมต่อในห้องซ้อม จนออกมาเป็น Sweet Mullet ในแบบที่พวกเขารู้สึกว่าใหม่และแตกต่างจากสิ่งที่เคยทำก่อนหน้ามาก ๆ 

“เพราะว่าด้วยรูปแบบเพลง Something’s Missing มันใหม่สำหรับเราเมื่อตอน 6 ปีที่แล้ว มันใหม่กับวิธีคิดบางอย่าง พอพี่เต๋าคิดไอเดีย หรือเมโลดี้อะไรออกมา คือทุกคนฟังก็ยัง อีกนิดนึงว่ะ”

Something’s Missing เป็นเพลงที่แบบแทบจะยกเดโม่เก่ามาทั้งดุ้น กีตาร์เปลี่ยนแค่โน้ตเดียว กลองที่เคยโปรแกรมเอาไว้ก็มาแบบนั้นแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วพอผ่านไปถึง 6 ปี พาร์ทเนื้อร้องก็ได้ถูกสานต่อจนจบโดย ‘แม็ก–ธิติวัฒน์ รองทอง’ นักร้องนำ/มือเบส ของวง The Darkest Romance

แต่ปัญหาในช่วงแรกคือการที่แม็กทำการบ้านมาดีเกินไป จนทำให้เนื้อร้อง+เมโลดี้ที่เขียนมามีความเป็นเต๋าสูงมาก ซึ่งยังไม่ตอบโจทย์กับวงที่ต้องการสิ่งใหม่เท่าไหร่ 

“ต้องบอกเลยว่าแม็กทำการบ้านมาดีมาก แม็กเขาก็ชื่นชอบในเพลงของเราเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาจะรู้วิธีการเขียนของพี่เต๋าอยู่ละ แล้วก็ประกอบกับที่เขาไปทำการบ้านมาเพิ่มเติม เนื้อเพลงแรกที่แม็กเขียนออกมา ภาษาสำหรับผมอะ ผมจะรู้สึกได้ว่าเออนี่คือภาษาที่พี่เต๋าเขียน ละนี่คือวิธีการที่พี่เต๋าจะเขียน ง่าย ๆ คือเราจะดูคำละเราจะรู้สึกได้ว่าถ้าเป็นคำนี้พี่เต๋าไม่ใช้แน่ ถ้าเป็นคำนี้พี่เต๋าจะเลือกใช้ ซึ่งตอนที่แม็กเขียนออกมาผมยังรู้สึกเลยว่า เชี่ย ! เหมือนพี่เต๋าเขียนเลย ซึ่งจากจุดนั้นก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย ผมยังชมแม็ก โห เขียนออกมาเป็นพี่เต๋ามากเลย”

แล้วทุกอย่างมาลงตัวในช่วงเวลา ตี 3 ของคืนหนึ่ง ที่หมูตัดสินใจใช้วิธีการกระเทาะเปลือกเรื่องส่วนตัวของเต๋าด้วยกันกับแม็ก จนเกิดเป็นคอนเทนต์หลักของเพลงที่มาจากเรื่องส่วนตัวมาก ๆ ของเต๋า 

“มันเป็นการที่คุยเรื่องส่วนตัวในประชุมสาย อยู่ดี ๆ ผมก็นึกถึงเรื่องเก่า ๆ ขึ้นมา ผมจะเป็นพวกย้ำคิดย้ำทำ จับจด นึกถึงแต่อดีตเก่า ๆ อยู่ดี ๆ ผมจะนึกถึงเรื่องที่ว่าผมเสียดายเรื่องความสัมพันธ์ของบางคนที่เขารู้สึกดีมาก ๆ กับผม แบบมาก ๆ เลย ละผมไม่รู้สึกดีกับเขากลับ แล้วผมไปทำเขาเสียใจมาก ๆ อันนี้มันเป็นหัวใจหลักของเพลง Something’s Missing เลย เนี่ยผมไปทำอะไร ทำบางสิ่งบางอย่างของใครบางคนหล่นหายไป แม้แต่ตัวผมเองด้วยนะ ทำเรื่องดี ๆ หล่นหายไปแล้วกี่เรื่อง ผมเสียคนดี ๆ ที่เขาดีกับผมไปแล้วกี่คน หรือว่าเรื่องดี ๆ ที่เข้ามาหาผม แล้วผมดันไม่ได้สนใจ มันก็เลยเกิดมาเป็นเพลง Something’s Missing”

และเพราะคำว่า Something’s Missing สามารถอธิบายความเป็นเพลงนี้ได้ดีที่สุด ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกเป็นเพียงโค้ดเนมตั้งชื่อเดโม่เท่านั้น จึงกลายเป็นชื่อของซิงเกิ้ลใหม่นั่นเอง 


 Chapter 4 : สิ่งที่ Sweet Mullet ทำหล่นหายไปในตลอด 21 ปีที่ผ่านมา

ทุกการเติบโตเราล้วนทำบางสิ่งบางอย่างหล่นหายไป ไม่ว่าจะความรู้สึกของคนที่เรารัก วัตถุมีค่า หรือช่วงเวลาที่ไม่ได้มอบให้แก่กัน ตลอด 21 ปีของ Sweet Mullet พวกเขาได้ทำอะไรหล่นหายไปบ้าง นั่นคือคำถามที่เราอยากรู้

เต๋า : ของผมจะเป็นสิ่งที่รู้สึกมาตลอด 21 ปี เรื่องนี้เป็นเรื่องในใจผมมาโดยตลอด ผมรู้สึกว่าตัวเองทำความรู้สึกของคนรอบตัว ทั้งเพื่อน เพื่อนร่วมวง พ่อผม แม่ผม น้องชายผม ทุกคนที่รู้จัก ผมจะทำร้ายความรู้สึกของพวกเขาโดยที่ผมไม่รู้ตัว ผมจะลืมความรู้สึกของพวกเขา ทำความรู้สึกหล่นหาย อย่างครอบครัวผมเขาจะให้ผมออกไปเล่นดนตรี น้องชายผมบอกเออมึงไปทัวร์เหอะ เดี๋ยวเขาทำงานเองดูแลแม่ผมเอง แต่ผมก็ทำงานได้เงินก็ดูแลแม่ผมด้วย แต่น้องผมจะได้ดูแลแม่ผมมากกว่า เหมือนผมทำความรู้สึกของหลาย ๆ คนหล่นหายไปเยอะมากครับ

แป๊ป : ผมเหมือนพี่เต๋าเป๊ะเลยฮะ ก็คือความรู้สึกของคนในครอบครัวมั้งครับ แล้วกว่าจะมารู้สึกตัวก็ล่อเข้าไปเกือบจะชุดที่ 2 ละตอนนั้น (Sound Of Silence) ว่าพี่ชายผมอะ คนนี้เขาตีกลองตอนสมัยมัธยม ซึ่งเขาก็เล่นอยู่กับผมเนี่ยล่ะเล่นจนถึงช่วงมหาลัย มันตีกลองจนซิ่วอะครับ จนออกละต้องมาเอนท์ใหม่ไรงี้เลย คือมันมีทรงที่จะเป็นมือกลองที่ดีในอนาคตอะฮะ ทรงดีมากอะ 

แต่อยู่มาวันนึงเขาก็ อ้าว ทำไมเลือกเรียนวิศวะ ? อุตส่าห์ซิ่วมานึกว่าจะไปเรียนดนตรี ตอนหลังผมเพิ่งมารู้ว่า เขาเรียนวิศวะเพื่อให้พ่อแม่ผมสบายใจ เพื่อให้ผมไปเรียนดนตรีได้ บ้านผมเป็นครอบครัวราชการก็อาจจะมองว่าอย่างน้อยขอมีอาชีพที่แบบมีบำเน็จบำนาญ พี่ผมเขาก็เลยเลือกเรียนวิศวะ ให้พ่อแม่จะได้แบบว่าไม่มีข้อโต้แย้งในสิ่งที่ผมเลือก แล้วเขาก็เลยไม่ได้เป็นมือกลองตั้งแต่ตอนนั้นมา ตอนที่ผมรู้นี่คือแบบ เชี่ยเอ้ย ร้องไห้ กราบตีน เขาเป็นพี่ผมอายุมากกว่าผมแค่ปีเดียว แต่ตอนนั้นผมยังไม่มีหัวคิดเท่าเขาเลยอะ ผมก็เลยรู้สึกว่าตรงนี้มันหล่นหายไปเยอะสำหรับผม

ตี่ : จริงๆ ระยะเวลาที่ผ่านมาจะใช้คำว่าสิ่งที่มันตกหล่นหายไปมันก็ไม่ค่อยถูกนะ จะมองมันเป็นธรรมชาติละกัน มันเหมือนว่าหลาย ๆ สิ่งมันเข้ามาช่วงหนึ่ง มันก็อยู่กับเราได้ช่วงหนึ่ง สุดท้ายมันก็ต้องจากไปอยู่ดี แต่ที่แน่ ๆ เลยผมจะเหมือนทุกคน ผมเชื่อว่าทุกคนเหมือนกัน เพราะว่าด้วยความที่เราทำอาชีพตรงนี้ เวลามันจะไม่ฟิกซ์ พอเวลาไม่ฟิกซ์แล้วอะ เวลาที่คนอื่นเขาตื่นเราก็นอน ในวันที่คนอื่นเค้าหยุดเราก็ไม่อยู่ ความสัมพันธ์พวกนี้มันก็ค่อย ๆ ห่างไปเรื่อย ๆ อย่างของผมอะชัดเจนเลย งานโรงเรียนกูอะ วันที่ 11 ธันวา ตั้งแต่ไปเล่น Big Moutain ไม่เคยไปงานโรงเรียนเลย เพราะว่า Big Moutain จะจัด 10 11 12

แป๊ป : เหมือนแบบเค้าท์ดาวไม่เคยอยู่กับเพื่อนหรือพ่อแม่เลย มาจะ 20 ปีละ

ตี่ : ในวันสำคัญต่าง ๆ ส่วนมากเราจะไม่ได้อยู่ แต่ว่าด้วยความที่มันเป็นแบบนี้เรื่อยมาเนี่ย เราก็ไม่เคยรู้สึกตัวนะ เพราะว่าเราก็ทำตามที่เรารู้สึกว่ามันจะต้องทำ ละก็ทำแบบนั้นไปเรื่อย ๆ แต่ว่ามารู้สึกตอนช่วงโควิดที่เราได้อยู่บ้าน

แป๊ป : อันนี้แม่งอยู่ครบทุกวันเลย

ตี่ : ใช่ ได้อยู่กับแม่ ได้อยู่กับคนที่เราไม่ได้อยู่ด้วยในเวลาต่าง ๆ เราก็เลยรู้สึกว่า สิ่งพวกนี้แม่งเราห่างมันมามากเลย มันก็ทำให้เราคิดได้

หมู : ของผมตลอด 21 ปีที่ผ่านมา ถ้าถามว่ามีอะไรที่รู้สึกตกหล่นมั้ย จริง ๆ เมื่อกี้พยายามนั่งคิดนะ เพราะได้ตอบคนสุดท้าย ไม่ได้รู้สึกว่าอะไรตกหล่นหรืออะไรหายไป แต่ว่าผมจะเป็นโรคจิตอย่างนึงคือผมเป็นคนแบบชอบคิดเยอะครับ ก็จะชอบคิด พูดง่าย ๆ ชอบสงสัยในทางเลือกของชีวิตอะ จะสงสัยอยู่ตลอดว่า เอ๊ะ ถ้าวันนั้นเกิดเราไม่ไปหาพี่เต๋าที่ห้องซ้อม เราเลือกอีกทางนึง ชีวิตจะเป็นยังไง อย่างที่บอกว่าผมไม่ได้ตั้งใจเลือกเส้นทางนี้แบบตั้งใจแน่วแน่ขนาดนั้น มันเหมือนมันเข้ามาเอง

แล้วพูดง่าย ๆ เรียนก็ไม่ได้เรียนสายดนตรีด้วย เราอะอยากขึ้นไปเล่นบนเวที อยากเป็นศิลปิน เพราะว่าตอนเด็กเราเล่นดนตรี ผมเชื่อว่าทุกคนที่เริ่มเล่นดนตรีก็มีความฝันแบบนั้นแหละ เออ อยากออกอัลบั้ม เป็นศิลปิน ได้ไปทัวร์คอนเสิร์ต แต่ว่าเราแค่ไม่ได้มุ่งมั่นขนาดนั้น เราก็เลยรู้สึกเรายังอยากมีอย่างอื่นที่เราก็อยากทำเหมือนกัน ก็ทุกวันนี้ สิ่งที่ยังตกค้างในตัวเองก็คือยังรู้สึกว่า เอ๊ะ ถ้าเราเลือกอีกเส้นทางนึงของชีวิต สิ่งที่เราอยากทำอีกแบบนึงมันจะเป็นยังไงนะ เราแค่ยังสงสัยกับตัวเองอยู่ ยิ่งมาช่วงโควิด พี่ตี่ได้อยู่กับแม่ ผมได้อยู่กับตัวเองเยอะก็ยิ่งคิด ถ้าตอนนั้นเราเลือกเส้นทางอีกแบบนึงที่เราก็อยากทำเหมือนกัน ชีวิตเราจะเป็นยังไง เป็นอีกแบบนึงมั้ย จะเป็นคุณหมูมั้ย

เต๋า : เสี่ยหมู จะเป็นเสี่ยหมูมั้ย

หมู : อะไรแบบนั้น มันจะเป็นคำถามที่ติดค้างในใจตลอดครับ

เต๋า : แต่เรื่องนี้เคยถามมึงแล้วตอนเซ็นต์สัญญา ตอนเซ็นต์สัญญาแกรมมี่อะครับ ผมถามพี่หมูว่าแน่ใจนะว่ามึงจะเล่นดนตรี เพราะว่าพี่หมูเขาเรียนวิศวะ

หมู : แต่ผมไม่ใช่พี่ชายพี่แป๊ปนะ ตีกลอง วิศวะ แต่ผมไม่ใช่นะนั่นอีกคนนึง

เต๋า : ตอนนั้นพี่หมูเขาเรียนวิศวะอินเตอร์อยู่ที่ธรรมศาสตร์รังสิต ถ้าเขาเลือกไปทางวิศวะเนี่ย เค้าอาจจะเป็นเสี่ยหมูได้ มีสิทธิ์ เป็นเสี่ยหมูได้ แต่เลือกทางดนตรีเนี่ย

แป๊ป : เลือกที่จะเป็นไอ้ … หมูแทน 555

เต๋า : แล้วมันต้องเซ็นสัญญาแล้ว ผมจำได้เลยว่าถามเขาไปว่าแน่ใจนะมึง พี่หมูก็บอก “เออผมยากตีกลอง”

หมู : คือพูดง่าย ๆ ว่ามันเป็นสิ่งที่ตกค้างที่เรายังคาใจ แต่ว่าไม่เคยมีวันไหนที่เสียใจที่ตัดสินใจแบบนี้นะ คือทุกทางเลือกที่เลือกมาแล้ว ที่ผ่านมาแล้ว ผมแฮปปี้กับมันมาก ไม่เคยรู้สึกว่าแบบ เชี่ย รู้งี้ รู้ไรไม่สู้รู้งี้ ไม่เคยคิดอย่างนั้น เพียงแต่เราชอบ อยากรู้ว่าโลกคู่ขนานของเรา ถ้าเราเลือกอีกทางนึง ชีวิตเราจะเป็นยังไง แค่สงสัยอยากรู้ เออแต่ไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่ผ่านมากับที่เราเลือก ไม่เคยเสียใจเลย


Bonus Chapter : ถ้าหากว่า Sweet Mullet ต้อง … 

ถ้ามีคนบอกว่า Sweet Mullet เป็นวง Modern Hardcore ที่รับงานคณะตลกด้วย อันนี้ก็ต้องบอกว่าเชื่อแล้วล่ะ พาร์ทสุดท้ายนี้คือชุดคำถาม What If ? สำหรับวงดนตรีวงนี้โดยเฉพาะ วงที่ความเป็น Bandmate ของพวกเขา หล่อหลอมจังหวะโบ๊ะบ๊ะเข้าหากันและกันอย่างเป็นธรรมชาติ ที่น่าจะสามารถใช้อ้างอิงได้เลยว่าทำไมแป๊ปถึงบอกว่าคำว่า Bandmate ถึงเหมาะกับ Sweet Mullet ที่สุดแล้ว

UNLOCKMEN : ถ้าคุณต้องเลือกศิลปินคนอื่นมาเล่นแทนตำแหน่งของตัวเองให้เพื่อนร่วมวง ?

เต๋า : ผมต้องเป็น ‘เอก Sleeping Sheep’ ครับ เหตุผลคือผม copy ทุกอย่างจากมัน 555 ตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ คือวิธีร้อง วิธีแหกปาก หรืออะไรหลาย ๆ อย่าง เห็นกันมาตั้งแต่เด็กครับ แล้วผมเห็นว่าจริง ๆ รุ่นเดียวกันนะ แต่ผมเห็นเค้าเป็นฮีโร่ผมมาตั้งแต่เด็ก พี่เอกเลยใกล้เคียงผมสุด

แป๊ป : จะคิดกวนตีน หรือจะตอบยังไงดี เอาเป็น ‘พี่ชุ-Zeal’ ครับ อันนี้น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว เครื่องดื่มหลังเวทีจะได้พร่องเหมือนตอนผมอยู่ครับ ไม่ ๆ ผมเป็นแฟนวง Zeal อยู่แล้ว สมัยตอนวง Zeal ชุดแรก ผมแกะทุกเพลงอะฮะ คือเขาเนี่ยเป็นต้นแบบในเรื่องความคิดของผมเลย หมายถึงวงนี้ ถ้าผมจะให้คนมาเล่นแทนก็ต้องเป็นเขาครับ เพราะเขาจะได้รู้ว่าเนี่ยแหละ พี่คือจุดกำเนิดที่ทำให้เกิดเพลงพวกนี้ของผมครับ ไอเหี้ยเสือกตอบดี 555

หมู : เมื่อกี้ถ้ามีพี่ชุแล้ว ก็ต้องเป็นพี่ ‘ชัช-Bodyslam’ คือเรียกได้ว่าผมอะเป็นแฟนเพลง Bodyslam ด้วย แล้วก็แบบชื่นชอบพี่ชัชเป็นการส่วนตัว ทั้งบนเวทีและล่างเวที ก็เลยรู้สึกว่าเคมีเขาน่าจะเหมาะ คือพี่ชัชไม่ใช้ช้อนกลางแน่ ๆ

ตี่ : จริง ๆ ของผมที่คิดยากเพราะว่าให้ใครมาเล่นแทนผมมันก็เล่นได้แหละ แต่ว่าเรื่องของการที่แบบนึกถึงว่า  มาอยู่แล้วเข้ากับทุก ๆ คนได้เนี่ย โห มันคิดยากมากเลยอะ แต่ถ้าให้ผมคิดเร็ว ๆ ตอนนี้ ผมนึกถึง ‘ข้น- Bomb At Track’ น่าจะได้อยู่ ชอบเวลาที่ข้นเล่นแล้วแบบดูแล้วมันมันส์อะ

UNLOCKMEN : ถ้าคนในวงต้องสลับตำแหน่งเครื่องดนตรีกัน 

หมู : ผมอยากร้องครับ

แป๊ป : เบสครับ จะได้เล่นสักที

เต๋า : แน่นอน ผมต้องอยู่แทนไอหมู คือผมถ้าให้เลือกได้จริง ๆ ผมไม่ได้อยากเป็นนักร้องครับ ผมอยากเป็นมือกลอง แต่ก็ไม่ได้ตีกลองเก่งนะ

หมู : จริง ๆ มันเป็นเครื่องดนตรีที่พี่เต๋าชอบเล่นมากเวลาไป soundcheck อะ

ตี่ : ใช่ Soundcheck เสร็จพี่เต๋าก็ชอบลงไป (ทำท่าตีกลอง) แล้วตีจังหวะไอนั่นอะ Blast Beat (ตี่+หมู พูดพร้อมกัน)

ตี่ : ผมว่าผมอยากเป็นช่างภาพ ถ่ายรูปวง เหมือนได้ดูวงเล่นไง ปกติไม่เคย เกิดมาไม่เคยดูวงตัวเองเล่นครับ

UNLOCKMEN : ถ้าต้องเลือกแนวดนตรีอื่นที่ไม่ใช่ Modern Hardcore

แป๊ป : ผมอยากเล่น Death ครับ ดุ่งดู๊ๆๆๆ (ทำเสียงดนตรี) คือจริง ๆ แนวมันก็ เค้าเรียกว่าไรอะ มันก็คือหนึ่งในแขนงของแนว Metal เหมือนกัน เป็นสิ่งนึงที่ผมไม่เคยลองจริง ๆ แต่ถามว่าเคยแกะเคยอะไรเปล่า ก็แกะ ก็เล่นอยู่คนเดียวอะ เอาจริง ๆ ผมไม่เคยเล่นพวกแนว พวก Death / Deathcore / Speed หรือแนวอะไรอย่างเงี้ยกับเพื่อนในห้องซ้อมเลย เออ ทั้ง ๆ ที่แบบผมก็แกะมาเยอะนะ

เต๋า : ถ้าให้ผมเลือกผมจะเล่นไม่แนว death ก็แนว black ไรเงี้ยครับ แน่นอนตอนที่ผมจับไม้กลองผมก็สับไปซะขนาดนั้น พอตอนร้อง หรือว่าตอนที่ช่วงก่อนเล่นดนตรีจริงจังอะครับ ช่วงผมตอนมัธยมที่เริ่มฟังเพลงหนัก ๆ แล้วครับ ผมจะเริ่มฟังพวกนี้ คือหลังจากผมฟังพวก Nu Metal อะไรไป จนเบื่อแล้วผมมาฟัง death ฟัง black เยอะมาก ๆ แต่ว่าเยอะในที่นี้หมายถึงว่าวงที่ดัง ๆ นะ ผมคงไม่ได้ฟังลึกขนาดนั้น จริง ๆ ภาพในหัวตอนที่ขึ้นไปอยู่บนเวที ถ้าเป็นนักร้อง หรือถ้าจะต้องเล่นดนตรีอะ ต้องเป็นแนวนี้ ไม่ death ก็ black metal เลยไปแอบฝึกสับกลองทำไมไม่รู้

แป๊ป : จริงๆ  Hip-Hop ผมก็อยากเล่นนะฮะ ไม่ได้อยากแร็พนะ แต่ผมอยากเล่นดนตรีที่อยู่ในองค์ประกอบของแนว Hip-Hop อะ เหมือนเป็น Band เพราะว่าผมชอบฟัง Hip-Hop ด้วย เวลาเมาแล้วใจขึ้นดี เมาแล้วเสือก gangster เฉย

ตี่ : ถ้าคิดเร็ว ๆ ตอนนี้น่าจะเป็น ไม่พวก grunge ก็ pop punk คือ grunge เป็นดนตรีที่ผมเหมือนโตมาในยุคนั้นอะ แล้วเราเข้าใจความรู้สึกของการเป็น grunge แบบที่เราเข้าใจจริง ๆ ไม่ได้ตามฟังอะ เราโตขึ้นมาในยุคนั้นซึ่งมันเป็นดนตรีที่เราเข้าใจ จริง ๆ ก็ชอบหลายอย่างนะ ชอบหลายอบย่างมาก แต่ว่าเราไม่ได้เข้าใจมันขนาดนั้น grunge มันเป็นสิ่งที่เราเข้าใจครับ แล้วก็พวก pop punk ก็จะอยู่ในวัยใกล้ ๆ กันในยุคนั้น

หมู : โห ผมว่ามาขนาดนี้แล้ว ผมอยากลองแบบฉีกแนวใหม่มั่ง ผมว่า Sweet Mullet น่าจะเป็นแบบ electronic music เหมือน Daft Punk แต่เสือกมี 4 คน แล้วก็ยืนกันให้เต็ม คือผมรู้สึกเวลายืนเต็มบูธแล้วมันอึดอัดดี คือบูธมันก็ไม่ได้ใหญ่อยู่แล้ว แล้วนึกภาพว่าสมมุติมันมี turntable แค่ 2 อัน แต่ต้องแย่งกันใช้ 2 คน คนละฝั่ง ฝั่งละ 2 คน ผมว่ามันน่าจะเกิดมิติใหม่ ๆ พูดง่าย ๆ เวลา DJ คนเดียวเค้าใช้หัว turn 2 อัน มันจะได้ balance กัน แต่นี่ช่วยกัน 4 คน ผมว่าแม่งต้อง … แล้วก็ผมว่า Set List มันน่าจะน่าสนใจ เพราะว่าจริง ๆ อะ พูดตรง ๆ ว่า 4 คน ถ้าเราเป็นดีเจ แล้วเปิดพร้อมกันเพลงมันน่าจะวาไรตี้มาก เพราะแต่ละคนในวงฟังเพลงไม่เหมือนกันเลย ความชอบในการฟังเพลงคือแตกต่างกัน แล้วถ้าเกิดมาเป็น DJ แล้วเปิดพร้อมกัน ช่วยกันมิกซ์ออกมา โห เละเทะ ผมว่าน่าจะมันส์

UNLOCKMEN : ถ้าเป็นใครในวงก็ได้ 1 วัน

เต๋า : ผมเลือกเป็น ‘พี่แป๊ป’ ละกัน ผมเลือกเป็นพี่แป๊ปเลย ดูแบบมีความสุขดี พี่แป๊ปเค้าเป็นคนใช้ชีวิตเหมือนแบบเค้าจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกต่อไป ดูเขามีความสุขมาก ใน 1 ปาร์ตี้นั้น เหมือนปาร์ตี้นั้นจะเป็นปาร์ตี้สุดท้ายของเขาแล้วอะ ใช้จนสุดเลย แม่งมีปาร์ตี้รอมึงอยู่พรุ่งนี้นะ มึงใช้หมดเลยอ่อวะ

แป๊ป : ผมอยากเป็น ‘พี่ตี่’ ครับ จะได้ออกไปหาอะไรปรนเปรอ ไม่ใช่ ๆ ได้เป็นเขา 1 วัน แสดงว่าเราจะได้รู้เรื่องต่าง ๆ ในชีวิตเขา

หมู : อ่อผมรู้ละ มันไม่ได้อยากเป็นเขาหรอก คืออยากรู้เรื่องของเขา ผมพูดตรง ๆ ในวงนี้คนที่มีความลับเยอะที่สุด สำหรับผมนะ คือคนนี้ (ชี้ไปที่ตี่)

เต๋า : ผมรู้ความหมายที่พี่แปปอยากเป็นพี่ตี่ละ

หมู : คือเขาอยากอ่านแชท อยากอ่าน dm พี่ตี่แหละ แค่นั้นแหละ ไม่มีไรมาก

แป๊ป/เต๋า/ตี่ : 555

แป๊ป : มันต้องมีไรที่แบบ กูว่าแล้ว นี่แหละ เป็นแบบที่กูคิดไว้เลยเนี่ย ละพี่ตี่แม่งไม่เคยบอก ไรเงี้ย

ตี่ : จริง ๆ เรื่องบางเรื่องเนี่ย ถ้าบอกไป เดี๋ยวมันก็ลำบากกันหมด

แป๊ป/เต๋า/หมู : 555

ตี่ : มันเป็นคำตอบที่ตอบยาก เพราะว่า เราอยากใช้ชีวิตแบบไหนเราก็ใช้อยู่แล้ว อะถ้างั้นอยากเป็น ‘พี่เต๋า’ ก็ได้ เพราะว่าพี่เต๋าจริง ๆ เป็นคนไม่ปาร์ตี้ ไม่ค่อยไปไหน อาจจะเป็นแบบไม่ค่อยเปิดเผย 555 คือพี่เต๋าทำร้านเสื้อ ก็จะมีคนมาหาได้บ่อย ๆ เป็นรูทีนที่ได้พบปะคนอื่น ซึ่งผมอะ ถ้าผมไม่ออกนอกลูปของตัวเองก็จะไม่ค่อยเจอใคร ไปวิ่งก็ไปคนเดียว

หมู : ผมอยากเป็น ‘พี่ตี่’ ครับ แต่ว่าไม่ใช่เหตุผลเดียวกับพี่แป๊ปขนาดนั้น

แป๊ป : หรือว่าเหตุผลกูอาจจะรู้แค่ครึ่งเดียว มึงเลยต้องไปสืบต่อ

หมู : คือจริง ๆ ที่ผมอยากเป็นพี่ตี่เพราะว่า ในความรู้สึกผมเอง ผมว่าพี่ตี่เป็นคนมีระเบียบวินัยมากที่สุดในวงละกัน แล้วด้วยความที่ตัวเองก็วินัยก็เหี้ยที่สุดในวงเหมือนกัน ก็เลยอยากรู้ว่าถ้าเราใช้ชีวิตแบบมีระเบียบวินัย ชีวิตเราจะเป็นยังไง อาจจะมีความสุขก็ได้ ชีวิตอาจจะดีกว่านี้ก้ได้ แบบอะมีรูทีนในการใช้ชีวิตที่ดี ไปวิ่งเพื่อสุขภาพ เพราะผมเป็นคนไม่ออกกำลังกายเลย กีฬาคือ 0 ไม่ออกกำลังกายเลย

UNLOCKMEN : ถ้าต้องเลือกระหว่าง ‘วงที่เป็นเพื่อนรักกันแต่ไม่ได้ประสบความสำเร็จมาก’ กับ ‘วงที่เครียดงานหนัก ๆ แต่ดังสุดขีด’ จะเลือกแบบไหน

หมู : เลือกแบบนี้แหละครับ แบบที่เป็นอยู่ ผมรู้สึกว่ามันก็มีความสุขดีครับ แต่ก็ขอให้มันประสบความสำเร็จระดับนึงละกัน ถึงแม้มันจะเป็น Bandmate ยังไง แต่ผมว่าเป้าหมายของเรายังเหมือนกัน ก็คือยังไงผลงานก็ต้องมีแสตนดาร์ดของเรา ไม่ว่าจะจะขี้หมูขี้หมายังไง ผมรู้สึกว่าสุดท้ายผลงานที่ทำเราก็ต้องชอบ เราก็ต้องได้มาตรฐาน ได้คุณภาพที่เราอยากเป็น ไม่ใช่ว่า Bandmate แล้วเพลงก็ยังใช้ส้นตีนคิด มันก็อาจจะเกินไป ผมก็ยังรู้สึกว่า อย่างน้อย เราก็ยังมีความคาดหวังว่าอยากทำเพลงให้ดีออกมา แต่ว่าก็อยากให้ความสัมพันธ์ไม่ให้มันเครียดจนเกินไป แต่ก็ยังมีระเบียบวินัยนะ สามารถทำงานด้วยกันได้ ไม่เละเทะจนเกินไป ผมว่าแบบนี้ก็แฮปปี้ดี

เต๋า : Bandmate

ตี่ : คือจริง ๆ ผมว่ามันต้องมีความคู่กันนิดนึง คือถ้าสมมุติว่าเป็น Bandmate ที่ดีมาก ๆ เลย แต่ผลงานมันไม่เคยเข้าเป้าอะ สมมติผลงานเรามันมีแต่เพลงที่ไม่มีคนรู้จักเลย ทำออกมาแล้วก็เงียบ ไอสภาวะแบบนั้นมันก็อาจจะทำให้วงอยู่ไม่ได้ก็ได้ เพราะว่าทุกคนก็ต้องมีทางรอด แยกย้าย ชีวิตมันก็ต้องใช้ แต่ว่าโดยรวม ๆ แล้วเราค่อนข้างอิงมาทางเป็น Bandmate ดีกว่า เพราะสิ่งพวกนี้มันทำให้วงเราอยู่ได้ อย่างที่ผมบอกว่าผมไม่โฟกัสที่ความใหญ่ผมโฟกัสที่ความยาว

หมู : ไอเหี้ยเอาให้ได้เลยนะ

ตี่ : 555 ก็จะเอียงมาทางความเป็น Bandmate มากกว่า แต่ก็ไม่ใช่ว่า ไม่เอาผลงานเลย

แป๊ป : ผมว่าคำตอบมันเดาได้อยู่แล้วนะ แต่ว่าก็อย่างที่ทุกคนพูดไป คือบางเรื่องมันอาจจะจำเป็นต้องมีตรงกลางนิดนึงอะฮะ เพราะว่าถ้าเป็นทั้งเพื่อน ถ้าเป็นสไตล์ Bandmate หมดเลย แล้วงานมันไม่ได้ออกมาดี คนที่อยู่ในวงก็ไม่น่าประทับใจกันฮะ

หมู : สุดท้ายแล้วเดี๋ยวก็ต่อยกันเอง ทำงานกันเหี้ยเหลือเกิน 555

แป๊ป : ผมว่าวงที่เป็น Bandmate แบบตอนทำงานเราซีเรียสกัน แต่ว่านอกงาน หรือเอาเรื่องงานมาผสมเรื่องส่วนตัวอันนั้นก็เรื่องของพวกมึงละ เรื่องของพวกเราจะจัดการกัน แต่ถามว่าตอนทำงานพวกเราก็ตั้งใจทำงานกันอยู่แล้ว งั้นผมขอมองว่าเราเป็นวงที่มีอารมณ์เพื่อน อารมณ์ส่วนตัวกันด้วย แต่เราตั้งใจทำงานกันเพราะว่าเราก็อยากได้ผลงานที่ดีออกมา

และนี่คือความสัมพันธ์ Bandmate ตลอด 21 ปีของ Sweet Mullet สิ่งที่ไม่เคยหล่นหายไปไหนแม้ว่าพวกเขาจะเดินทางมาไกลจากจุดเริ่มต้นมาก ๆ แล้วก็ตาม


ติดตามวง Sweet Mullet : https://www.facebook.com/SweetMullet

Photographer : Krittapas Suttikittibut

GEESUCH
WRITER: GEESUCH
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line