Stephen Hawking หนึ่งในนักคิด นักเขียน นักวิทยาศาสตร์ นักฟิสิกส์ นักปรัชญา ยุคใหม่คนสำคัญที่หลายคนคงรู้จักกันเป็นอย่างดี เขาเป็นซูเปอร์สตาร์แห่งแวดวงวิชาการ โดยผลงานและทฤษฎีของเขานั้นสร้างคุณูปการต่อโลกใบนี้มากมาย แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เขาเสียชีวิตลงเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว (พ.ศ.2560) แต่ Hawking ก็คือ Hawking แทบทุกทฤษฎีแนวคิดของเขาถูกคิดขึ้นบนรถเข็นในสภาพที่แทบขยับตัวไม่ได้ ดังนั้นความตายจึงไม่ใช่อุปสรรคต่อการจะทิ้งอะไรสักอย่างไว้เป็นอนุสรณ์แก่โลกเลย ซึ่งนั่นก็คือ Brief Answers to Big Questions หนังสือเล่มสุดท้ายในชีวิตของอัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ คอนเซ็ปต์ของหนังสือเล่มนี้คือการตอบคำถามต่าง ๆ ที่ Hawking โดนถามมากที่สุดในชั่วอายุ 76 ปีของเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมนุษย์ต่างดาว, การเดินทางข้ามเวลา, ปัญญาประดิษฐ์ และอีกมากมาย พระเจ้ามีจริงหรือเปล่า? “ไม่มีพระเจ้า จักรวาลนี้ไม่มีใครชี้นำ” คำตอบสั้น ๆ สำหรับคำถามที่ยิ่งใหญ่ “เป็นเวลาหลายร้อยปีที่เชื่อกันว่าคนพิการอย่างผมโดนคำสาปแช่งจากพระเจ้า แต่ทุกอย่างมันสามารถอธิบายได้ตามกฎของธรรมชาติ” ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง แล้วจักรวาลเกิดจากอะไรล่ะ? “ก็อย่างที่ทุกคนรู้ จักรวาลเกิดจากการระเบิด Big Bang ครั้งใหญ่” ในหลุมดำแห่งจักรวาลเป็นยังไง? “มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ถ้าคุณตกลงไปในหลุมดำ ร่างกายคุณจะมีสภาพเหมือนเส้นสปาเก็ตตี้ก่อนที่คุณจะรู้สึกตัวเสียอีก” เราทำนายอนาคตได้หรือไม่? “ทั้งได้และไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายข้อไหนห้ามไม่ให้เราทำนายถึงอนาคต แต่ที่ผมบอกไม่ได้ด้วยเนื่องจากการทำนายอนาคตนั้นเป็นสิ่งที่ยากเกินไปจนแทบจะเป็นไปไม่ได้” การเดินทางข้ามเวลาเป็นไปได้หรือไม่?
คุณเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริงไหม? ไม่ผิดถ้าจะตอบว่า “จริง” แล้วก็ไม่ผิดหากจะตอบว่า “ไม่” เพราะโลกในตอนนี้เปิดกว้างและยอมรับความคิดเห็นมากกว่าในยุคก่อน แม้จะไม่ได้กว้างขนาดที่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้ทุกอย่าง แต่ต้องยอมรับว่าการแสดงทัศนคติที่ผิดแผกไปจากคนอื่น ก็ไม่ได้ถูกลงโทษร้ายแรงถึงขั้นขับไล่ออกนอกประเทศ (ในทางพฤตินัยและนิตินัย) แต่หากย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 2,500 ปีก่อน โลกเราไม่ได้มีเสรีภาพในการแสดงความเห็นเฉกเช่นตอนนี้เลยสักนิด นักปราชญ์ผู้มองเห็น ‘ต่าง’ จากคนอื่น Anaxagoras คือนักปราชญ์ในยุคกรีกโบราณที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ด้านดาราศาสตร์ เขาประจำการอยู่ที่กรุงเอเธนส์และเฝ้าสังเกตระบบสุริยะอย่างระแวดระวัง ทั้งยังวิเคราะห์และคำนวณถึงความเป็นไปได้ ค้นหาหลักฐานมากมายเกี่ยวกับดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ โลก ตลอดจนอวกาศ เพื่อหวังปลดล็อกความลึกลับของจักรวาลที่ใครหลายคนยังไม่รู้ นักปราชญ์ผู้นี้เชื่อว่าดวงจันทร์เป็นก้อนหินที่โลกยุคแรกเหวี่ยงขึ้นไปในอวกาศ ขณะที่ดวงอาทิตย์ก็เป็นก้อนหินเหมือนกับโลกและดวงจันทร์ แต่จะต่างตรงที่มันมีไฟลุกไหม้อยู่ตลอดเวลา Anaxagoras ยังพิสูจน์อีกว่าแสงของดวงจันทร์แท้จริงแล้วเกิดจากการสะท้อนของแสงอาทิตย์ ซึ่งเขานำสมมติฐานดังกล่าวไปต่อยอดและอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ แต่ท่ามกลางจารีต ประเพณี และสังคมโลกโบราณ ดูเหมือนความคิดสุดโต่งของนักปราชญ์ผู้นี้จะไม่เป็นที่ยอมรับและขัดต่อศาสนา ร้ายกว่านั้นคือเขาถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ปฏิเสธพระเจ้า มีคนอ้างว่าเขาก้าวร้าว หยิ่งยโส และท้าทายอำนาจพระผู้เป็นเจ้า จนท้ายที่สุดเขาถูกจับกุมและตัดสินประหารชีวิต ในขณะที่หลายฝ่ายกำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือด โชคยังเข้าข้าง Anaxagoras ไม่นานนักเขาถูกละโทษประหารชีวิตและปลดปล่อยจากการจองจำ แต่สำหรับผู้ที่กล้าตั้งคำถามและท้าทายความศักดิ์สิทธิ์ของดวงจันทร์ผู้เป็นพระเจ้า ก็ต้องถูกเนรเทศออกจากเมืองเอเธนส์ไปในที่สุด สมมติฐานที่เป็นประโยชน์ต่อวงการดาราศาสตร์ จากความคิดไร้แก่นสารที่คนในยุคกรีกโบราณพากันกุมขมับ กลายมาเป็นสมมติฐานชิ้นสำคัญในวันที่โลกเจริญกว่าวันก่อน สมมติฐานของ Anaxagoras ช่วยนำ George Darwin ลูกชายของ
กว่าศตวรรษที่มนุษย์โลกเริ่มมีความคิดเกี่ยวกับการหาแหล่งที่อยู่ใหม่เพื่อหลบหนีออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้ที่ดูใกล้ล่มสลายลงไปทุกวัน สถานที่ที่เป็นไปได้มากที่สุดก็หนีไม่พ้นดาวเคราะห์สีส้มบ้านใกล้เรือนเคียงของเราอย่าง ‘ดาวอังคาร’ หลังจากนั้นทุกฝ่ายต่างก็ทุ่มเทเต็มที่เพื่อให้ความฝันของมนุษยชาติเป็นจริงโดยเร็ว เมื่อเวลาเคลื่อนผ่านไป จากความฝันที่ไกลสุดเอื้อมก็เริ่มขยับเข้าใกล้ความจริงขึ้นทุกที จากคำถามว่าจะทำยังไงให้สามารถมีชีวิตรอดบนดาวอังคาร การถกเถียงต่าง ๆ ก็เริ่มเจาะประเด็นลึกขึ้นเรื่อย ๆ จนมาถึงคำถามหนึ่งที่น่าสนใจ จะเป็นยังไงถ้าเราเสพกัญชาบนดาวอังคาร? ฟังดูเป็นคำถามที่ไร้สาระ ถึงแม้การสร้างอาณานิคมบนดาวอังคารดูจะมีความเป็นไปได้กว่าเมื่อก่อนมาก แต่มันก็ยังห่างไกลความเป็นจริง ยากที่จะเกิดขึ้นในช่วงอายุเรา อย่างไรก็ตาม Elon Musk ผู้ก่อตั้ง SpaceX ดูจะชื่นชอบคำถามนี้ เพราะอย่างที่เรารู้กันดีว่าเขาคือสายเขียวตัวยง Shelhamer อดีตหัวหน้านักวิทยาศาสตร์เพื่อการวิจัยของมนุษย์ที่ศูนย์อวกาศจอห์นสันในเมืองฮุสตัน รัฐเท็กซัส กล่าวว่า “การสร้างอาณานิคมเป็นเรื่องยิ่งใหญ่และสำคัญ ผมไม่เห็นประโยชน์ของการทำให้ร่างกายตอบสนองผิดเพี้ยน ซึ่งอาจส่งผลเสียมหาศาลในสถานการณ์ฉุกเฉิน” Neil deGrasse นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ชื่อดังก็คิดเห็นไปในทางเดียวกัน มันไม่ใช่เรื่องเข้าท่าเลยที่จะสูบกัญชาบนดาวอังคาร ถึงแม้ในมุมของนักวิชาการจะมองว่ามีข้อเสียมากกว่าข้อดี แต่ในมุมของผู้ที่ตั้งใจจะตั้งถิ่นฐานจริง ๆ พวกเขาอาจผลักดันให้มีการขนส่งกัญชาไปยังดาวอังคารเพื่อประโยชน์ในแง่การสันทนาการหรืออาจมีการแอบลักลอบนำเมล็ดไปปลูก Karin Kloosterman ผู้ก่อตั้ง Mars Farm Odyssey อธิบายว่าการปลูกกัญชาบนดาวอังคารนั้นง่ายกว่าการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาก ดังนั้นกัญชาจึงอาจจำเป็นต่อการสันทนาการผู้ตั้งถิ่นฐานในช่วงแรก เราสามารถปลูกกัญชาบนดาวอังคารได้หรือไม่? เมื่อคุณตั้งถิ่นฐานบนดาวอังคารแล้ว ตัดเรื่องการขนส่งสินค้าจากโลกไปได้เลย เพราะราคาค่าขนส่งคงแพงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ดังนั้นถ้าต้องการอะไรคุณต้องสร้างมันขึ้นมาเอง แม้กระทั่งกัญชา แต่ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์หรือสารคดีมาบ้างคงทราบดีว่าสภาพภูมิศาสตร์บนดาวอังคารนั้นเป็นอุปสรรคต่อการทำเกษตรกรรมทุกรูปแบบ ดังนั้นถ้าจะเพาะปลูกกัญชาที่นี่ จำเป็นที่ต้องทำในเรือนกระจกแบบปิดที่สร้างบรรยากาศเลียนแบบโลก นอกจากนั้นต้องมีระบบรีไซเคิลน้ำและดินที่สมบูรณ์ เนื่องจากในตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าทรัพยากรเหล่านี้บนดาวอังคารปลอดภัยต่อร่างกายมนุษย์หรือไม่ อย่างไรก็ตามแม้จะมีเรือนกระจกที่จำลองบรรยากาศบนโลกได้อย่างสมบูรณ์ แต่เรื่องแรงโน้มถ่วงจำลองเป็นสิ่งที่เรายังสร้างไม่ได้
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาในแวดวงดาราศาสตร์และอวกาศคงไม่มีข่าวไหนจะได้รับความสนใจไปกว่าข่าวยาน InSight ยานสำรวจไร้คนขับขององค์การ NASA สามารถลงจอดบนพื้นผิวดาวอังคารได้สำเร็จหลังจากที่ถูกปล่อยขึ้นสูห้วงอวกาศในวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มนุษย์สามารถส่งยานไปลงจอดบนดาวอังคาร แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไปในแง่ภารกิจ เพราะเป้าหมายของ InSight คือการสำรวจโครงสร้างทางธรณีวิทยาของดาวอังคารโดยละเอียด ถึงแม้ว่า InSight จะเป็นยานไร้คนขับเช่นเดียวกับลำก่อน ๆ ที่ NASA เคยนำไปลงจอดบนดาวดังคาร ซึ่งหมายความว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่มีมนุษย์คนไหนได้ฝากรอยเท้าไว้บนดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้ แต่การที่ภารกิจสำรวจดาวอังคารค่อย ๆ คืบหน้าขึ้นเรื่อย ๆ และความฝันที่ดาวเคราะห์ดวงนี้จะเป็นบ้านหลังที่ 2 ของชาวโลกก็เข้าใกล้ความจริงขึ้นมาทุกที แต่ในเมื่อมนุษย์ไม่ใช่เจ้าของดาวอังคาร ไม่ได้ถือกำเนิดที่นั่น เป็นแค่เพียงผู้มาเยือนและหวังจะตั้งรกรากเท่านั้น สิ่งนี้จึงนำไปสู่คำถามทางจริยธรรมที่ว่าถ้ามีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวอังคาร ไม่ว่าจะในรูปแบบไหน และการย้ายถิ่นฐานครั้งนี้นำไปสู่การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตดังกล่าว การอพยพสู่ดาวอังคารเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่? Life in the Universe ตามที่นักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์เคยกล่าวไว้ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นสามารถอาศัยอยู่ที่ไหนก็ได้ในจักรวาลกว้างใหญ่ เพียงแต่ในสถานที่นั้น ๆ จำเป็นต้องมีองค์ประกอบเหล่านี้ น้ำ, แหล่งให้ความร้อนและพลังงาน, แร่ธาตุสำคัญต่าง ๆ เช่น คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน และโพแทสเซียม ดาวอังคารก็มีคุณสมบัติเหล่านี้ครบถ้วนดังนั้นการที่จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่จึงมีโอกาสเป็นไปได้ อย่างไรก็ตามดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้ไม่ใช่สถานที่เดียวในจักรวาลที่มนุษย์ค้นพบและมีองค์ประกอบครบต่อการดำรงชีวิต เนื่องจาก Europa หนึ่งในดวงจันทร์บริวารขนาดใหญ่ของดาวพฤหัส และ Enceladus ดวงจันทร์บริวารขนาดใหญ่ของดาวเสาร์ก็มีคุณสมบัติดังกล่าวเช่นกัน ดูเหมือนว่าเหล่านักวิทยาศาสตร์จะไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องนี้ เพราะตอนนี้โครงการ Europa Clipper มีแผนที่จะปล่อยยานสู่อวกาศในปี 2020 โดยเป้าหมายคือการสำรวจดวงจันทร์บริวารดังกล่าวอย่างละเอียด
เป็นเรื่องราวที่ไม่เคยห่างหายไปไหน มีการพูดถึงอยู่แทบทุกวัน สำหรับประเด็นมนุษย์ต่างดาวและการมาเยือนของสิ่งมีชีวิตนอกโลก แต่ข่าวล่าสุดดูจะกลายเป็นเรื่องใหญ่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เมื่อสำนักข่าวระดับโลกไม่ว่าจะเป็น BBC, Time, CNN, Washington Post และอีกหลายสำนักต่างพร้อมใจเสนอข่าวนี้ เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เวลา 6 นาฬิกา 47 นาที ตามเวลาท้องถิ่นประเทศไอร์แลนด์ นักบินสายการบิน British Airways ได้ติดต่อไปยังหอบังคับการบิน Shannon ซึ่งตั้งอยู่แถบชายฝั่งประเทศไอร์แลนด์ คำถามที่นักบินคนดังกล่าวได้สอบถามกับทางหอบังคับการบินค่อนข้างน่าประหลาดใจ “ในบริเวณนี้มีการฝึกบินของกองทัพหรือเปล่า? เพราะเราพบอะไรบางอย่างบนท้องฟ้า มันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง” เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับเที่ยวบินของ British Airways ที่กำลังนำผู้โดยสารจากเมือง Montreal ประเทศแคนนาดา ลัดฟ้าสู่สนามบิน Heathrow ใน London แต่ระหว่างที่กำลังบินผ่านชายฝั่งไอร์แลนด์ อยู่ ๆ ก็มีวัตถุลึกลับ ส่องแสงสว่างจ้า เคลื่อนที่ผ่านทางกราบซ้ายของตัวเครื่อง มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือด้วยความเร็วสูง ทันทีที่เรื่องนี้ออกสู่สาธารณะชน นักบินคนหนึ่งจากสายการบิน Virgin ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงเหตุการณ์ดังกล่าว “นั่นอาจเป็นอุกกาบาต หรือวัตถุบางอย่างที่บังเอิญผ่านชั้นบรรยากาศโลกเข้ามา เพราะเหตุการณ์นี้มีความเป็นไปได้หลายอย่าง และอุกกาบาตก็สามารถส่องสว่างได้เช่นเดียวกัน” แต่นักบินจาก British Airways ยืนยันว่าเขาเห็นไฟส่องสว่าง 2 ดวง ซึ่งดูคล้ายไฟจากยานพาหนะมากกว่า และความเร็วในการเคลื่อนที่ของมันก็น่าจะเร็วกว่าความเร็วเสียงถึง