เราสามารถคิดมากได้ทุกที่ทุกเวลา นอน ๆ อยู่ เราก็สามารถคิดถึงคนรักเก่าในอดีต หรือ กลัวเรื่องการทำงานพลาดขึ้่นมา ซึ่งความกังวลที่แสนจะไร้เหตุผล และดูไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนี้ เรามักเรียกกันว่าเป็น Free Floating Anxiety ซึ่งถ้ามันเกิดขึ้นบ่อย ก็อาจเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางการทำงานและการใช้ชีวิตของได้เหมือนกัน Free Floating Anxiety คือ ความไม่สบายใจที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว โดยความรู้สึกนี้อาจถูกกระตุ้นโดยสิ่งของหรือสถานการณ์บางอย่าง ยกตัวอย่างเช่น อยู่ดี ๆ เราก็เกิดกังวลเรื่องการ pitch งาน หรือ การสอบที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ขึ้นมา เป็นต้น อาการนี้มักเกิดขึ้นร่วมกับ อาการวิตกกังวลทั่วไป (Generalized Anxiety Disorder หรือ GAD) และทำให้เราเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ กังวล หรือ ตื่นตระหนก และใช้ชีวิตประจำวันได้ยากเย็นมากขึ้น ดังนั้น หากเกิดอาการนี้ถี่และบ่อยการพบจิตแพทย์ก็เป็นทางเลือกหนึ่ง คนที่เป็น Free Floating Anxiety มักวิตกกังวลมากจนขาดสมาธิในการใช้ชีวิตและการทำงาน มักรู้สึกกลัวเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและรู้สึกตื่นตระหนกอยู่ตลอดเวลา แถมยังรู้สึกว่าตัวเองเครียดจนนอนไม่หลับบ่อย และมีปัญหาเรื่องความเหนื่อยล้าอีกด้วย ปัญหานี้จึงแย่ต่อเรามากพอสมควร อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครอธิบายได้ว่า
เมื่อไม่มีใครรู้ว่าการระบาดของ COVID-19 จะจบลงเมื่อไหร่ หลายคนคงใช้ชีวิตแบบไม่มีความสุขกัน เพราะในสภาวะไม่ปกติแบบนี้ หลายคนต้องอยู่บ้านเป็นเวลานาน อยากไปเที่ยวที่ไหนก็ไปไม่ได้ แถมยังต้องระมัดระวังสิ่งรอบข้างตลอดเวลา การต้องใช้ชีวิตด้วยความอดทนและอยู่ภายใต้ความกลัวโรค จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สภาพจิตใจของเราจะแย่ลงทุกวัน ๆ แม้สถานการณ์จะบั่นทอนความสุขของเราเหลือเกิน แต่การสิ้นหวังก็ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น มาลองดูวิธีรับมือกับอารมณ์ด้านลบที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤต COVID-19 ก่อน ซึ่งเราเชื่อว่า หากทุกคนทำตามแล้ว จะมีความสุขในการใช้ชีวิตมากขึ้นอย่างแน่นอน เช็คข่าวให้ดีก่อนเชื่อ ยุคนี้ข่าวปลอมเยอะมาก ซึ่งบางข่าวก็เน้นไปที่การสร้างความตื่นตระหนกด้วย แถมพอเราเชื่อและนำข่าวนั้นไปบอกคนอื่นต่อ ความตื่นตระหนกมันก็จะยิ่งแพร่กระจายในวงกว้างมากขึ้นอีก เราเลยต้องเลือกเสพข่าวกันหน่อย พร้อมกับเช็คความถูกต้องของข้อมูลด้วย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราได้รับข่าวจากคนในทวิตเตอร์ เราก็อาจนำข้อมูลนั้นไปเช็คกับแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ เช่น สำนักข่าวใหญ่ หรือ มีเดียของหน่วยงานรัฐบาล เพื่อให้เราได้รับข้อมูลที่เป็นจริงมากที่สุด และป้องกันความแพนิคที่เกิดขึ้นจากการเชื่อข่าวปลอม รวมถึง การส่งต่อความแพนิคไปยังคนอื่นด้วย ควบคุมปริมาณการเสพข่าวของตัวเอง แม้การตื่นตัวเรื่อง COVID-19 จะเป็นเรื่องดี แต่เราไม่จำเป็นต้องเสพข่าวเรื่อง COVID-19 ตลอดเวลา เพราะพวกข้อมูลที่บอกว่าโรคระบาดแพร่เร็วแค่ไหน ? คนป่วยและตายมีจำนวนเท่าไหร่ ? สามารถเพิ่มความวิตกกังวลให้กับเราได้ การเสพข่าวประเภทนี้ตลอดเวลา จึงทำให้จิตใจเกิดภาระอย่างหนักได้เช่นกัน ดังนั้น จำกัดเวลาในการเสพข่าว และเอาเวลาที่เหลือมาทำในสิ่งที่เราชอบดีกว่า เช่น
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความเครียดกับความวิตกกังวลเป็นอีกสองส่วนผสมของการทำงาน และเป็นสิ่งที่หนุ่มมนุษย์เงินเดือนอย่างเรายากที่จะเลี่ยง แต่ต่อให้ความเครียดสะสมหรือความกังวลถาโถมโจมตีมากขนาดไหน มนุษย์เราก็ฉลาดพอที่จะหาวิธีจัดการกับมันได้เสมอ เชื่อว่าผู้ชายแต่ละคนก็คงมีวิธีคลายเครียดระหว่างการทำงานที่ต่างกัน บางคนชอบผละจากหน้าจอชั่วขณะ แล้วหันไปนั่งคุยกับเพื่อนเรื่องบอลแทน บ้างเดินออกไปสูบบุหรี่หวังเปลี่ยนบรรยากาศและลดความเคร่งเครียดจากงานตรงหน้า แต่กับหนุ่มบางคนเลือกที่จะเดินออกไปชื่นชมต้นไม้ใบหญ้า เปลี่ยนจากแสงสีฟ้าที่คุ้นตาหันไปหาธรรมชาติสีเขียวแทน นอกจากความร่มรื่น สบายตา และร่มเงาที่ช่วยปกป้องเราจากแสงอาทิตย์แล้ว ธรรมชาติยังช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้อย่างไม่น่าเชื่อ มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งอ้างว่าพนักงานชาวสหรัฐฯ 34% รู้สึกเครียดและกังวลกับการทำงาน ซึ่งตัวเลขดังกล่าวก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี และคิดว่าสถิติความเครียดของพนักงานชาวไทยก็คงไม่ต่างไปกว่ากันเท่าไร วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำวิธีจัดการกับความเครียดและความวิตกกังวลในออฟฟิศ ด้วยประโยชน์จากธรรมชาติ นี่คือ 3 วิธีง่าย ๆ ที่อาจช่วยให้คุณมีความสุขกับการทำงานมากขึ้น! จินตนาการถึงธรรมชาติ อาจฟังดูเหมือนคนไม่ปกติ แต่เราอยากให้คุณลองมโนภาพว่าคุณกำลังอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่เงียบสงบ อาจเป็นชายหาดที่มีผู้คนบางตาและมีคลื่นซัดเป็นระลอก บนหุบเขาที่ห้อมล้อมไปด้วยอ้อมกอดของแมกไม้ หรือกลางทะเลที่มีแสงแดดอุ่น ๆ สาดกระทบใบหน้าและเสียงคลื่นเท่านั้นที่ดังก้อง การจินตนาการภาพถึงทิวทัศน์หรือเสียงในสถานการณ์นั้น ๆ จะส่งผลกระทบต่อสมองเช่นเดียวกับการมองเห็นหรือสัมผัสมันจริง ๆ ซึ่งงานวิจัยก็ย้ำว่าการสร้างภาพหรือข้อมูลต่าง ๆ ในหัวผ่านจินตนาการเพียงไม่กี่นาที ช่วยลดความเครียดและวิตกกังวลให้คนทำงานได้ มองหาธรรมชาติรอบตัว การมองหาธรรมชาติเล็ก ๆ รอบตัวเราก็เป็นวิธีง่าย ๆ ที่ลดความเครียดและความวิตกกังวลได้เหมือนกัน หากย้อนไปตอนเด็ก ๆ ไม่ว่าหนุ่มคนไหนก็คงหลงใหลและเพลิดเพลินกับการจ้องมองฝูงปลาในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ
เหนื่อยจนอยากจะล้มตัวลงนอนทันทีที่เปิดประตูห้อง เหมือนโดนสูบพลังชีวิตไปกับเรื่องเครียด ๆ ที่รุมเร้าเข้ามา หรือต่อให้ชีวิตไม่ดราม่าขนาดนั้น ใคร ๆ ก็คงไม่อยากตกอยู่ในความเครียดจนคิ้วผูกโบว์กันอยู่แล้ว แต่เมื่อความผิดหวังเป็นเรื่องปกติที่ใคร ๆ ก็ต้องเจอ ลองเปลี่ยนจากวิธีวิ่งหนีเป็นวิธีรับมือกับมันจะดีกว่า UNLOCKMEN ขอแนะนำ 5 แอปฯ เจ๋ง ๆ ที่จะมาช่วยขจัดความเครียดออกไปให้ไกลจากสมอง พักผ่อนแบบไม่ต้องมีเรื่องวุ่นวายมากวนใจ เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสและทิ้งโลกอันวุ่นวายไว้ข้างหลังก่อนสักชั่วโมงสองชั่วโมง Rain Rain Sleep Sounds ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเสียงธรรมชาติที่จะมาช่วยบรรเทาความเครียดที่มันตึงเปรี๊ยะอยู่ในหัว ซึ่งไม่ได้มีแค่เสียงฝนพรำ ๆ เสียงเดียว บอกเลยว่ายกธรรมชาติมาแบบเต็มข้อ จนเหมือนไปนอนเล่นอยู่ในอุทยานแห่งชาติยังไงอย่างงั้น มีทั้งเสียง เสียงฝน เสียงพายุแบบมีฟ้าผ่า ฟ้าร้อง พายุแบบมีลม หรือเสียงฝนในเมือง เสียงจิ้งหรีดเรไรในป่า เสียงสะเก็ดไฟ อีกสารพัดเสียงกว่าร้อยชนิด ที่รอให้เราได้ฟัง ความเจ๋งคือเราเอาเสียงเหล่านั้นมามิกซ์กันได้ตามความชอบ แนะนำว่าเหมาะกับฟังก่อนนอนอย่างมาก เพราะสามารถตั้งเวลาให้มัน Fade Out ค่อย ๆ เงียบและปิดเสียงให้เราได้ โดยที่เราไม่ต้องลุกขึ้นมาแสบตากับแสงจออีกครั้งเพื่อปิดเสียง แถมยังมีการตั้งเวลาเตือนเมื่อถึงเวลาเข้านอนในแต่ละวันอีกด้วย Headspace: Meditation อันนี้เป็นแอปฯ เสียเงิน