สุภาพบุรุษทุกคนต้องพึ่งพาสภาพ ‘กาย’ และ ‘ใจ’ ในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน เพราะร่างกายที่แข็งแรงจะทำให้รอดจากโรคภัยไข้เจ็บและมีแรงในการใช้ชีวิต ส่วนสุขภาพจิตที่ดีก็ทำให้คุณผู้ชายไม่ขาดแรงจูงใจในการทำสิ่งต่าง ๆ แม้หลายคนจะใส่ใจกับการออกกำลังกายกันแล้ว แต่เรื่องการออกกำลังกายจิตเรามักใส่ใจกันน้อยเกินไป อาจเพราะไม่รู้วิธี หรือ ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมันมาก่อน สุดท้ายจึงกลายเป็นซึมเศร้า หรือ หมดไฟกันง่ายกว่าปกติ UNLOCMEN จึงอยากมาแนะนำเคล็ดในการพัฒนา Mental Fitness หรือ ความฟิตของจิตใจ เพื่อให้หัวใจของทุกคนแข็งแกร่งขึ้น และมีแรงจูงใจในการใช้ชีวิตในแต่ละวันมากขึ้นตามมา What is mental fitness ? ใครได้ยินคำว่า Mental Fitness ครั้งแรก อาจนึกถึงการทำแบบฝึกสมองเพื่อบูส IQ ให้ถึงขั้นอัจฉริยะ หรือ การเข้าร่วมกิจกรรมฝึกจิตใจจนกล้าแกร่งแบบซามูไร ซึ่งไม่ใช่ ความหมายของ Mental Fitness จริง ๆ แล้ว คือ การรักษาสภาพจิตใจ อารมณ์ และสมอง ให้มีความเฮลตี้ จนสามารถตระหนักถึงความรู้สึก ความคิด และพฤติกรรมของตัวเองได้เสมอ นั่นหมายความว่า
เคยรู้สึกไหมว่า ยิ่งเราโตขึ้น สมองของเรายิ่งเฉื่อยชาลงทุกวัน ? ถ้ารู้สึก มันอาจเป็นเพราะเราไม่ได้ทำกิจกรรมที่เพิ่ม ‘ความยืดหยุ่นของสมอง’ (Neuroplasticity) ส่งผลให้สมองไม่มีการสร้างเซลล์ประสาทใหม่ หรือ เรียกว่าไม่มีพัฒนาการใด ๆ และเกิดอาการเฉื่อยชาขึ้นมา UNLOCKMEN จึงอยากมาแนะนำกิจกรรมที่จะช่วยให้สมองของเรามีความยืดหยุ่นมากขึ้น และมันจะช่วยให้เราทำงานและใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องแคล่วกว่าเดิมด้วย จดจำคำศัพท์ใหม่ทุกวัน หากคุณกำลังเรียนภาษาต่างประเทศอยู่ คุณอาจมีสมองที่ดีกว่าคนอื่น เพราะงานวิจัยบอกว่าการเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ทำให้สมองพัฒนาขึ้นได้ อ้างอิงงานวิจัยของ Tom A F Anderson จากมหาวิทยาลัย National Central University ที่ศึกษาผลของการเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ที่มีต่อการทำงานสมอง และพบว่า การเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ช่วยพัฒนาความจำเพื่อใช้ปฎิบัติงาน (Working Memory) รวมถึงความสามารถในการสื่อสารกับคนรอบตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฝึกใช้มือข้างที่ไม่ถนัด หากเราเป็นคนที่ถนัดมือขวา ลองฝึกใช้มือซ้ายในการทำสิ่งต่าง ๆ ดู ไม่ว่าจะเป็น แปรงฟัน เขียนหนังสือ หรือ จับเมาส์ การฝึกฝนมือข้างที่ไม่ถนัดจะช่วยให้สมองเกิดความยืดหยุ่นมากขึ้นได้ สามารถสร้างวิถีประสาทใหม่ (neural pathways) ได้มากขึ้น และยังช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสามทมีความแข็งแรงมากขึ้นอีกด้วย นั่นหมายความว่าสมองของคุณจะทรงพลังมากกว่าเก่า ฝึกโยนลูกบอลสลับมือ การฝึกโยนลูกบอลสลับมือ หรือ
ความเครียดและความกดดันเป็นเรื่องปกติของชีวิต และเป็นสองสิ่งที่เราเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานภายในระยะเวลาที่จำกัด การทำงานที่ยากเกินความสามารถ หรือได้รับโปรเจกต์ยักษ์ที่เป็นตัวตัดสินรายได้ของบริษัท ทั้งหมดนี้อาจทำให้หนุ่มมนุษย์เงินเดือนหลายคนต้องกุมขมับ รู้สึกเครียด และกดดันจนทำอะไรไม่ถูก วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากแนะนำเคล็ดลับการฝึกสมองเพื่อรับมือต่อความกดดันจากการทำงาน รับรองว่าถ้าทำได้ จะความเครียดหรือความกดดันหน้าไหนก็ไม่สามารถทำอะไรพวกคุณได้อย่างแน่นอน! ใช้สติควบคุมอารมณ์ตัวเอง ในสถานการณ์คับขับที่คุณต้องรีบตัดสินใจบางเรื่องโดยไม่ได้ไตร่ตรองให้รอบคอบ อาจทำให้หนุ่ม ๆ รู้สึกกดดันเพราะกลัวผิดพลาด หรือทำให้สติของหนุ่มบางคนกระเจิดกระเจิงไปเลยด้วยซ้ำ เมื่อใดที่คุณรู้สึกว่าเหงื่อเริ่มแตกพล่านเต็มฝ่ามือและทำอะไรไม่ถูก เราแนะนำให้ลองถอยห่างจากความกดดันออกมาสักก้าวหนึ่ง แล้วค่อย ๆ คิดหาวิธีแก้ไขมันด้วยสติ ลองสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และผ่อนออกอย่างช้า ๆ วิธีนี้จะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตลดลง หรือพูดง่าย ๆ คือทำให้คุณมีสติและสงบยิ่งขึ้น แถมยังช่วยให้ความตื่นตระหนกของคุณชะลอตัวลงอีกด้วย มองความกดดันให้เป็นเรื่องบวก แทนที่จะวิตกกังวลหรือเคร่งเครียดกับความกดดันตรงหน้า ลองปรับมุมมองและคิดเสียใหม่ว่าความกดดันเป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ แต่จะต่างกันตรงที่ใครสามารถรับมือต่อแรงกดดันได้ดีกว่ากัน หากความกดดันทำให้คุณรู้สึกประหม่า ลองเปลี่ยนมันให้เป็นเรื่องสนุกหรือบททดสอบสุดท้าทายที่จะทำให้คุณทำงานเก่งขึ้น ถ้าทัศนคติที่มีต่อความกดดันของคุณเปลี่ยนไป คุณจะไม่รู้สึกเครียดกับความกดดันเลย แต่จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องสนุกที่คุณต้องข้ามผ่านมันไปให้ได้ หมั่นฝึกฝนเพื่อรับมือความกดดัน ว่ากันว่าสมองของคนเรามีความสามารถในการกักเก็บความทรงจำ สิ่งที่เราทำครั้งแรกอาจไม่ได้ผลดีเสมอไป แต่เมื่อใดที่เราหมั่นฝึกฝนจนสมองเรียนรู้ จดจำ เราจะสามารถรับมือกับความกดดันได้ดีกว่าเดิม ถ้าคุณเป็นคนที่รู้สึกตื่นเต้นและมือสั่นทุกครั้ง เมื่อต้องจับไมค์ขึ้นพูดต่อหน้าคนเยอะ ๆ ให้ลองฝึกซ้อมพูดหน้ากระจกหรือพูดต่อหน้ากลุ่มเพื่อนบ่อย ๆ การฝึกฝนที่มากพอจะทำให้สมองคุ้นชินและส่งผลให้การพูดต่อหน้าสาธารณชนของคุณดูลื่นไหลและเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น เราไม่สามารถหลบหลีกความกดดันได้เสมอไป
เคยไหมเวลาจะพาสาว ๆ ไปกินข้าวหรือพาไปเที่ยวที่ไหนสักที่ ขณะเรากำลังขับรถก็ปล่อยให้เธอดูแผนที่ตามปกติ แต่แล้วเธอดันพาเราไปหลงได้บ่อยครั้ง แม้จะมีระบบนำทางอัจฉริยะอย่าง GPS ก็ดูจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ที่แย่ไปกว่านั้นคือประเด็นนี้กลายเป็นเรื่องทะเลาะว่าใครถูกใครผิดและทำให้เราทั้งคู่เถียงกันไม่รู้จบ ต้องบอกว่าการดูแผนที่นอกจากจะต้องเข้าใจข้อมูลมิติเชิงพื้นที่แล้ว ยังต้องใช้จินตนาการคาดเดาเส้นทางว่าเลี้ยวซ้ายแยกนี้หรือเลี้ยวขวาแยกหน้า เพื่อให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างถูกต้อง ผู้ชายส่วนใหญ่มักจะคิดว่าตนมีศักยภาพด้านแผนที่และชำนาญเส้นทางมากกว่าผู้หญิง แต่แท้ที่จริงแล้วหญิงหรือชายที่เก่งเรื่องนี้มากกว่ากัน? เพศสภาพและฮอร์โมน เพศสภาพที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดทำให้ผู้ชายและผู้หญิงต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งเผยว่าแม้เพศชายจะแข็งแรงทางกายภาพมากกว่า แต่ผู้หญิงนั้นมีวิธีจัดการกับอารมณ์ได้ดีกว่าผู้ชายเรา เนื่องจากผู้หญิงจะใช้สมองสองส่วนในการแก้ปัญหา คือส่วนที่เกี่ยวข้องกับเหตุผลและส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ขณะที่ผู้ชายใช้สมองเพียงส่วนเดียว ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าฮอร์โมนเพศที่ต่างกันทำให้ความสามารถทางปัญญาของสองเพศไม่เหมือนกัน โครงสร้างสมองและการเชื่อมต่อของเส้นประสาท งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร National Academy of Sciences เผยว่าเหตุที่ผู้ชายชำนาญเรื่องแผนที่มากกว่าผู้หญิงเป็นเพราะโครงสร้างสมองและวิธีการเชื่อมต่อของเส้นประสาทในสมอง (hardwired) ต่างกัน สมองของผู้ชายเส้นประสาทจะเชื่อมต่อกันจำนวนมากบริเวณด้านหน้าและด้านหลังของสมองซีกเดียวกัน ใขณะที่ผู้หญิงนั้นการเชื่อมต่อส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา การเชื่อมต่อของเส้นประสาทที่ต่างกันทำให้ระบบการประมวลผลในสมองของชายและหญิงไม่เหมือนกัน ผู้หญิงจึงชำนาญเรื่องความคิดเชิงตรรกะ การจดจำ การรับรู้ ตลอดจนสัญชาตญาณ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือพวกเธอนั้นเชี่ยวชาญทางด้านวาจาและมีความฉลาดทางอารมณ์มากกว่าผู้ชายเรา แต่ถ้าเป็นงานเกี่ยวกับอวกาศ ทักษะยานยนต์ หรือการอ่านแผนที่ผู้ชายจะทำได้ดีกว่า เพราะผู้ชายมีจุดเด่นในการควบคุมกล้ามเนื้อและการอ่านข้อมูลมิติเชิงพื้นที่ ผู้ชายเก่งแผนที่มากกว่าผู้หญิง? นักประสาทวิทยาที่ The Norwegian University of Science and Technology ให้อาสาสมัครชาย
หายใจได้แต่ทำได้แค่หายใจ รู้สึกแต่ทำได้แค่รู้สึก ไม่สามารถสื่อสารหรือขยับตัวได้ เคยคิดไหมว่าถ้าวันหนึ่ง เราบังเอิญไปเจออุบัติเหตุหรือเจอโรคจู่โจมร่างกายจนระบบประสาทโดนทำลายจะเป็นอย่างไร? ใครที่เคยอ่านหนังสือเรื่องนักประดาน้ำและผีเสื้อ เรื่องจริงของอดีตบรรณาธิการบริหารนิตยสาร ELLE แห่งฝรั่งเศสที่เกิดอาการเส้นโลหิตในสมองแตกกลายเป็นอัมพาตทั้งตัว อวัยวะทุกส่วนไม่สามารถเคลื่อนไหว นอกจากตาข้างซ้ายและสมองที่เป็นปกติ เขาจึงใช้วิธีกระพริบตาส่งเป็นสัญญาณสะกดตัวอักษรทีละตัวเพื่อสื่อสารและเขียนหนังสือ หรือรู้จักนักฟิสิกส์ระดับตำนานอย่างสตีเฟน ฮอว์กิ้ง ที่ป่วยเป็นโรคเซลล์ประสาทนำคำสั่งเสื่อม คงพอเข้าใจว่าเวลาที่จิตและสมองไม่สามารถสั่งกายได้อีกต่อไปเพราะอาการอัมพาตนั้น ไม่ได้หมายความว่าความรู้สึกในฐานะความเป็นมนุษย์จะเสื่อมไปด้วย ต้องต่อสู้กับสภาพที่น่าอึดอัดนี้มากแค่ไหน เมื่อการสื่อสารที่เคยดีกลายเป็นอุปสรรคและผู้คนที่อยู่ในสภาพนั้นต่างโดนเรียกว่า “ผัก” นักวิจัยด้านระบบประสาทจากรุ่นสู่รุ่นเลยพยายามแก้ไขปัญหานี้เพื่อหาวิธีการสื่อสารให้ดีกว่ารูปแบบเดิม ๆ และชัดเจนยิ่งขึ้น จนล่าสุดข่าวที่น่ายินดีก็มาถึง เพราะนักวิจัยจาก University of California, San Francisco (UCSF) สามารถพัฒนารูปแบบการสื่อสารจากสมอง แปรให้ออกมาเป็นเสียงสังเคราะห์โดยไม่ต้องต้องขยับปากพูดเพื่อสื่อสารให้สำเร็จ เสียงที่มาจากสมอง วิธีที่นักวิจัย UCSF พัฒนาสร้างนวัตกรรมทำให้สมองเปล่งเสียงออกมา เริ่มต้นจากสร้างอัลกอริทึมผ่านการทดลอง โดยรวบรวมข้อมูลที่เกิดขึ้นภายในสมองของอาสาสมัครที่เป็นลมชัก 5 คนเป็นระยะเวลาต่อเนื่องหลายปีผ่านการฝังแผงขั้วไฟฟ้าเชื่อมตรงกับสมองและติดตามรูปแบบการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการทดสอบพูดประโยคต่าง ๆ หลายร้อยประโยค เมื่อสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากสมองที่พยายามสื่อสารผ่านการควบคุมประสาทส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องกับการพูดแล้ว (ริมฝีปาก ลิ้น กราม และกล่องเสียง) พวกเขาบันทึกมันไว้เป็นข้อมูลสำหรับใช้ในการถอดรหัสขั้นต้น จากนั้นจึงพัฒนาเครื่องสังเคราะห์เสียงเพื่อสร้างภาษาขึ้นเพื่อแปลงข้อมูลดังกล่าวออกมาเป็นข้อความอีกครั้ง การพัฒนาสองขั้นจากสมองโดยตรงมาสู่การสั่งการที่เชื่อมต่อกับระบบประสาทอื่นที่เกี่ยวข้องกับการเปล่งเสียง ถือเป็นความพิเศษที่แตกต่างจากรูปแบบการพัฒนาด้านการถอดรหัสเดิม เพราะส่วนใหญ่คนศึกษามักมุ่งเน้นที่ระบบประสาทสั่งการจากสมองโดยตรงเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ได้สนใจระบบอื่นที่เกี่ยวข้องกับการพูดมากนัก แต่การเปลี่ยนสัญญาณสมองที่ให้ความสำคัญลงลึกไปถึงการเคลื่อนไหวของการสร้างเสียงจากส่วนต่าง ๆ ทำให้การถอดรหัสคำเหล่านั้นชัดเจนขึ้น “เราพยายามถอดรหัสผ่านการเคลื่อนไหวเพื่อสร้างเสียงอย่างชัดเจนแทนที่จะโฟกัสกับเรื่องการถอดรหัสเสียงโดยตรง” –
นั่งประชุม ๆ อยู่แล้วก็เหม่อลอย นั่งทำงานง่าย ๆ หรือใช้ชีวิตประจำวันแบบที่ทำทุกวันก็เหม่อลอย นี่อาจจะไม่ใช่แค่อาการของคนที่ชอบหนีโลกแห่งความเป็นจริง แต่อาจเป็นเพราะสมองคุณมีประสิทธิภาพเกินกว่าคนปกติที่พอได้ทำงานง่าย ๆ ชิล ๆ แล้วสมองต้องแบ่งไปคิดอะไรอย่างอื่นก็เป็นได้ งานวิจัยที่ทำการสังเกตสมองกว่า 100 รูปแบบผ่านการใช้เครื่อง MRI โดยกลุ่มตัวอย่างถูกขอให้จ้องจุด ๆ หนึ่งขณะที่อยู่ในเครื่อง MRI จากนั้นนักวิจัยก็จะตรวจสอบดูว่าสมองส่วนไหนของพวกเขาที่ทำงานในขณะที่พวกเขาไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ ไอเดียของการทดสอบครั้งนี้ก็คือนักวิจัยต้องการรู้ว่าสมองส่วนที่ไม่เกี่ยวข้อง (เมื่อกลุ่มตัวอย่างจ้องมองจุด) มีการทำงานอย่างไร ยังไม่จบเพียงเท่านั้นนักวิจัยยังทดสอบเรื่องความคิดสร้างสรรค์ เพื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ได้จากเครื่อง MRI นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างยังยังถูกถามคำถามเกี่ยวกับการเหม่อลอยด้วย ผลการทดสอบออกมาว่าคนที่ใช้โครงสร้างสมองอย่างหลากหลายที่สุด เป็นคนเดียวกับที่ได้คะแนนทดสอบเรื่องความคิดสร้างสรรค์สูง แถมเป็นคนที่ยอมรับว่าตัวเองเหม่อลอยมากที่สุดอีกด้วย “ผู้คนมักคิดว่าการปล่อยใจให้ล่องลอยไปเป็นเรื่องเลวร้าย เพราะเมื่อคุณอยากมีสมาธิให้ความสนใจกับสิ่งตรงหน้า แต่คุณไม่อาจทำมันได้ จากข้อมูลของเราพบว่าความคิดแบบนั้นไม่ได้เป็นความจริงเสมอไป เนื่องจากคนบางคนมีสมองที่มีประสิทธิภาพมากกว่าผู้อื่น” Eric Schumacher หนึ่งในทีมวิจัยพูดถึงสมองของคนที่ชอบเหม่อลอย เขายังบอกอีกด้วยว่า “คนที่มีประสิทธิภาพของสมองสูง อาจมีความสามารถของสมองมากเกินไป จึงไม่สามารถหยุดนิ่งจากการปล่อยใจให้ล่องลอยออกไปได้” ผลงานวิจัยนี้อาจทำให้เราจินตนาการถึงศาสตราจารย์สติเฟื่องที่ฉลาดมากแต่ก็มีโลกส่วนตัวสูง หรือเด็ก ๆ หัวแหลมที่ใช้เวลาเรียนรู้เร็วกว่าเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ จนใช้เวลาที่เหลือนั่งเหม่อลอย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าสมองที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ก็มีแนวโน้มที่จะใจลอยมากกว่า เพราะระหว่างทำงานง่าย ๆ
ถ้าความสามารถของจิ้งจกคือการสลัดหางหนีศัตรูได้ยามโดนจับ สำหรับสายพันธ์ุที่ขนาดใหญ่กว่าอย่าง “ตุ๊กแก” เองก็มีความสามารถที่ไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน เพราะมันสามารถงอกสมองใหม่ได้! เรื่องนี้หลายคนอาจจะยังไม่รู้ แต่มันได้รับการศึกษา ยืนยันและตีพิมพ์แล้วใน วารสาร Scientific Reports จากนักวิจัยจาก University of Guelph หลังพวกเขาตั้งข้อสงสัยมานานว่าความสามารถ “งอก” หรือ “ซ่อมแซม” ส่วนที่เสียหายของตุ๊กแกเกี่ยวพันไปถึงสมองด้วยหรือเปล่า ซึ่งเมื่อทดลองในตุ๊กแกพันธุ์เสือดาวแล้วก็พบว่ามันสามารถสร้างเซลล์สมองขึ้นใหม่ทดแทนเซลล์เดิมได้ในปริมาณเกินคาด ยิ่งเมื่อประจวบกับองค์ประกอบสมองส่วนฮิปโปแคมปัสของมนุษย์ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวพันกับระบบความจำใกล้เคียงกับสมองสัตว์เลื้อยคลานมากที่สุดเมื่อเทียบกับสัตว์ประเภทอื่น ชีววิทยาพิเศษของตุ๊กแกเสือดาวนี้จึงเป็นกุญแจดอกใหม่ที่อาจแก้ปมทุกความบกพร่องที่เกิดขึ้นกับสมองของมนุษย์ได้ ปัจจุบันการคิดค้นจึงอยู่ระหว่างการสืบหาความลับว่าทำไมตุ๊กแกพันธ์ุเสือดาวจึงทำเช่นนั้นได้ มีปัจจัยที่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นอย่างไร เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่นักวิจัยสามารถถอดรหัสพันธุกรรมนี้สำเร็จ อาจสามารถนำผลวิจัยที่ได้มาประยุกต์การรักษาสมองของมนุษย์เพื่อต่ออายุสมองให้คงประสิทธิภาพไว้นานเท่านานไม่มีวันสิ้นสุดจนวันไร้ลมหายใจ นี่คือหนึ่งความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่เราเชื่อว่าหากประสบความสำเร็จคนไทยหลายคนจะต้องได้รับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากผลสำรวจสถิติของกระทรวงสาธารณสุข พบว่าคนไทยป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์หรือสูญเสียความทรงจำสูงถึง 6 แสนคนตั้งแต่ปี 2558 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นถึง 1.1 ล้านคนในปี 2573 แต่ระหว่างนี้ที่การทดลองยังไม่สำเร็จ UNLOCKMEN ก็เตรียมวิธีวิธีเพิ่มประสิทธิภาพและปกป้องสมองไว้ให้ทุกคนลองทำตามแล้วได้ในนี้ สมองและหัวใจมีความสำคัญไม่แตกต่างกัน อย่าลืมดูแลกันด้วยล่ะ SOURCE: 1 / 2
ความคิดสร้างสรรค์กลายเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แทบจะแตะต้องไม่ได้ เรียกว่าไปบีบคั้นมันมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งมีแนวโน้มว่าจะแหลกสลายลงไปตรงหน้ามากเท่านั้น บางทีเค้นให้ตายก็ไม่ออกมา จนเลือดเราขึ้นหน้าด้วยความโมโห UNLOCKMEN อยากจะบอกว่าอย่าเพิ่งหัวร้อนไป ความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้ลอยมาจากอากาศ แต่อยู่ที่การฝึกนิสัยให้เราเป็นคนสร้างสรรค์ แล้วจะสร้างฉัน สร้างฝันนั้นให้สำเร็จได้อย่างไร ใช้เวลานานหรือเปล่า เราบอกเลยว่าขอเวลาแค่ 10 นาทีต่อวันเท่านั้น เพื่อฝึกเราเป็นคนใหม่ คิดอะไรสร้างสรรค์กว่าเดิม The Journey of A Man And A Dog การบริหารกล้ามเนื้อส่วนความคิดสร้างสรรค์ ถูกตั้งชื่อตามลักษณะง่าย ๆ แต่ทำได้จริงของมันว่า The Journey of A Man And A Dog มันง่ายสุดง่ายจนผู้ชายทุกคนต้องตะโกนออกมาว่า เฮ้ย รู้อย่างนี้ทำตั้งนานแล้ว! จุดเริ่มต้นของมันอยู่ที่คุณหลับตาแล้วจินตนาการให้ชัดเจนว่ามีผู้ชายหนึ่งคนและหมาหนึ่งตัว จากนั้นค่อย ๆ พิจารณาความสัมพันธ์ของผู้ชายคนนั้นกับหมาหนึ่งตัวในห้วงจินตนาการสุดบรรเจิดของคุณ หมาตัวนั้นมาจากไหนกันนะ? หมาตัวนั้นอยู่กับผู้ชายคนนั้นมานานแค่ไหนกัน? สุนัขตัวนั้นเป็นพันธุ์อะไร? หมาตัวนั้นเป็นของผู้ชายคนนั้นหรือเปล่า? แล้วทั้งเขาและมันกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหนกัน? เริ่มจากคิดถึงรายละเอียดง่าย ๆ พื้นฐานทั้งหมด แต่ครอบคลุมทุก ๆ รายละเอียดเท่าที่เราจะจินตนาการออกในหัว