หลายคนอาจเคยเกิดอาการเบื่องานที่ตัวเองทำอยู่ เพราะบางครั้งงานที่ทำอยู่ก็ไม่ได้น่าสนใจ หรือ บางครั้งเราอาจทำงานน้อยเกินไปจนรู้สึกว่าตัวเองทำประโยชน์ให้กับที่ทำงานไม่เพียงพอ ส่งผลให้เราไม่มีแพสชั่นในการทำงาน และรู้สึกว่าการทำงานเป็นเรื่องน่าเบื่อขึ้นมา อาการนี้มีชื่อเรียกว่า ‘Boreout Syndrome’ และส่งผลเสียต่อเราทั้งการทำงานและการใช้ชีวิต เราเลยอยากมาแนะนำ 5 วิธีการรับมือกับอาการ Boreout เพื่อให้เรากลับมาทำงานได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง Boreout ต่างจาก Burnout อย่างไร ? Boreout Syndrome คือ อาการเบื่องานที่มักเกิดขึ้นจากการทำงานที่ไม่มีคุณภาพเพียงพอ หรือ น้อยเกินไป บางครั้งก็เกิดจากการทำงานที่ไม่สอดคล้องกับรายละเอียดของงาน หลายคนอาจจะสับสนอาการนี้กับ Burnout เพราะมันค่อนข้างมีความคล้ายกัน แต่เราอยากบอกว่า 2 อย่างนี้แตกต่างกันมาก โดย Boreout เกิดขึ้นจากการทำงานน้อยเกินไป หรือ งานส่วนใหญ่ที่ทำไม่น่าสนใจเพียงพอ ส่งผลให้เรารู้สึกว่าไม่ได้ใช้ศักยภาพของตัวเองในการทำงานอย่างเต็มที่ เสียแพสชั่นในการทำงาน และเกิดอาการ Boreout ในที่สุด ส่วน Burnout จะตรงข้ามกับ Boreout คือ เกิดจากการทำงานมากเกินไปจนเหนื่อย เครียด รู้สึกไม่มีพลังงานไปทำอย่างอื่น และเมื่อจิตใจเราเหนื่อยล้าจากงาน อาการ Burnout ก็สามารถเกิดขึ้น ซึ่งอาการ
‘BURNOUT’ ไม่ใช่อาการใหม่ อาการหมดไฟนั้นเกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทำงานอย่างเรา ๆ และเราต่างหาวิธีรับมือกับอาการหมดไฟที่มาเยือนอยู่ตลอดเพื่อให้กลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ หลายคนเคยผ่านอาการหมดไฟมาได้หลายหน ราวกับได้เกิดใหม่ท่ามกลางเถ้าถ่านมอดดับ แต่หลายคนก็ไม่เคยเผชิญอาการหมดไฟมาก่อนในชีวิต จนกระทั่ง COVID-19 มาเยือน บรรยากาศการทำงานที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน การย้ายสถานที่ทำงานจากออฟฟิศสู่พื้นที่พักอาศัย การต้องทำงานอย่างเดียวดายปราศจากเพื่อนร่วมงานรายล้อม หรือแม้กระทั่งคนในครอบครัวที่ไม่เข้าใจเวลาทำงานของเรา สิ่งเหล่านี้นำพาอาการ BURNOUT มาเยือนใครหลายคนที่ก็เคยมีไฟมาตลอด แล้วเราจะรับมือกับมันอย่างไรได้บ้าง? BURNOUT ใช่ไหม? หรือแค่เหนื่อยใจธรรมดา? ก่อนจะไปถึงวิธีการรับมืออาการหมดไฟเพราะการ Work From Home เป็นเวลานาน ๆ เราอยากชวนคุณมาสำรวจตัวเองไปพร้อมกันก่อนว่าสิ่งที่คุณเป็นนั้นคือความเหนื่อยในแต่ละวันที่พอจะคลี่คลายไปได้ถ้าได้พักผ่อนเพียงพอ หรือคืออาการ BURNOUT หลีกเลี่ยงงานขั้นหนัก: ความเหนื่อยล้าเกิดขึ้นได้ แต่ทันทีที่ได้พักผ่อนก็จางหายไป แล้วกลับมามีพลังเพื่อทำงานใหม่ให้ดีดังเดิม แต่หากคุณคือคนหนึ่งที่ทำทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงงาน อาจสังเกตว่าไม่อยากตอบอีเมลเจ้านายหรือเพื่อร่วมงานจนกล่องข้อความค้างเติ่งจำนวนมาก เข้าประชุมสายเสมอ หรือถ้าเป็นไปได้ก็จะหาข้ออ้างที่จะไม่เข้าประชุม รวมไปถึงอาการผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ๆ งานนี้ยังไม่ต้องทำหรอกน่า งานนี้ขอเลื่อนส่งไปก่อนได้ไหม ความพยายามหลีกเลี่ยงงานอย่างหนักนี้เป็นอาการของการ BURNOUT ที่รุกคืบเข้ามา ทำงานแค่ให้รอด ไม่ได้ทำเพื่อคุณภาพ: วันนี้คุณทำงานเพื่ออะไร? ถ้าคำตอบของคุณคือก็ทำเพื่อให้รอดไปอีกวัน ทำเพื่อให้หัวหน้าเห็นว่าคุณยังมีงานในหนึ่งวัน คุณอาจเข้าข่าย BURNOUT ได้เช่นกัน เพราะงานที่มีคุณภาพ
พอทำงานมาได้สักพักหนึ่ง คงมีผู้ชายหลายคนที่ยังสนุกอยู่กับงานที่ทำ รู้สึกตื่นเต้น ท้าทาย และมีความสุขทุกครั้งเมื่อต้องทำงานภายใต้แรงกดดัน หรือได้ลองทำโปรเจกต์หินเพื่อพิสูจน์ตัวเอง แต่เราเชื่อว่ามีผู้ชายไม่น้อยที่กำลังเบื่องาน เบื่อคน และมีแพลนจะย้ายงานในเร็ววันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากให้หนุ่ม ๆ พิจารณาให้ถี่ถ้วนเสียก่อน เพราะไม่ใช่ทุกออฟฟิศที่จะน่าทำงาน และไม่ใช่ว่าผลตอบแทนสูงลิ่วจะการันตีถึงความมั่นคงได้เสมอไป แล้วออฟฟิศแบบไหนที่ผู้ชายอย่างเราไม่ควรทนทำงานต่อหรือไม่ควรหลวมตัวสมัครเข้าไปทำงาน? ค่าตอบแทนสูงแต่ไม่มั่นคง ระบบการจ้างงานในปัจจุบันคงจำแนกได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือการจ้างงานแบบประจำและการจ้างงานแบบชั่วคราวหรือสัญญาจ้าง ซึ่งต้องยอมรับว่าข้อตกลงแบบสัญญาจ้างนั้นให้ค่าตอบแทนที่สูงกว่า แม้จะได้เงินเดือนสูงแต่อาจต้องแลกมากับชีวิตการทำงานที่ไม่มั่นคง เพราะคุณไม่สามารถรู้ได้เลยว่าบริษัทจะว่าจ้างคุณทำงานต่อในปีถัดไปหรือไม่ ถ้าไม่ คุณจะวางแผนการหางานอย่างไร ไม่ให้ตัวเองตกงาน? วัฒนธรรมองค์กรสุดพิลึก เราเคยได้ยินมาว่าความรู้สึกแรกเชื่อได้เสมอ ถ้าคุณไปสัมภาษณ์งานวันแรกและรู้สึกประทับใจหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่สภาพแวดล้อมในการทำงาน มันอาจทำให้คุณมีความสุขเมื่อได้ทำงานที่นี่จริง ๆ เพราะวัฒนธรรมองค์กรเชิงบวกนั้นช่วยขับเคลื่อนประสิทธิภาพการทำงานและความก้าวหน้าของบริษัทได้ ในทางตรงกันข้ามถ้าวันสัมภาษณ์งานของคุณเต็มไปด้วยปัญหา เห็นความขัดแย้งของหัวหน้ากับพนักงานคนอื่น ๆ หรือได้ฟังคำถามที่บ่งบอกถึงตรรกะแปลกประหลาดบางอย่าง อย่ารอช้า รีบเผ่นเถอะ! พนักงานลาออกบ่อย ก่อนที่จะตัดสินใจไปสัมภาษณ์งาน เราอยากให้หนุ่ม ๆ ศึกษาข้อมูลที่ทำงานใหม่ก่อน ว่าที่นี่เปิดรับพนักงานมากน้อยเพียงใดและเปิดรับสมัครบ่อยแค่ไหน ถ้าบริษัทดังกล่าวเปิดรับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงทุก ๆ 3-6 เดือน แปลว่าบริษัทนี้กำลังเข้าขั้นวิกฤตและขาดการบริหารจัดการที่ดี หรือเมื่อเข้าทำงานแล้วเห็นเพื่อนร่วมงานพากันลาออกยกแก๊ง คุณอาจต้องกลับไปคิดว่าสาเหตุของปัญหานี้คืออะไร เพราะมันอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานและความมั่นคงของบริษัทคุณได้ บทบาทงานไม่เหมือนที่คุยกันไว้
ผู้ชายทำงานอย่างเราอาจเคยได้ยินคำว่า Burnout ผ่านหูกันมาบ้าง หรือที่ชวนหดหู่ยิ่งกว่าคือบางคนเคยเผชิญหน้ากับอาหารหมดไฟไร้แรงจะทำงานมาด้วยตัวเอง (UNLOCKMEN เคยเขียนถึงอาการหมดไฟไว้ ย้อนอ่านได้ที่ BURN OUT SIGNS: สัญญาณหมดไฟของคนทำงาน ทำยังไงให้ไฟกลับมาลุกโชนอีกครั้ง) แต่คล้ายกับว่าอาการหมดไฟจะไม่ใช่อุปสรรคเดียวที่คนทำงานอย่างเราจะต้องก้าวข้ามไปให้ได้ เพราะ “อาการหมดใจ” หรือ Brownout นั้นก็น่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน อาการนี้ไม่ใช่แค่หมดไฟจะไปต่อ แต่มันคือหมดใจกับระบบการทำงานและองค์กร รวมถึงเป็นสาเหตุที่คนเก่ง ๆ และมีความสามารถจำนวนมากตัดสินใจลาออกจากงานอย่างไม่มีใครหรืออะไรจะรั้งไว้ได้ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้คนหมดใจกับงาน? ในฐานะผู้บริหารหรือเจ้าขององค์กรเราควรจัดการกับอาการนี้เพื่อรักษาคนเก่ง ๆ ไว้ได้อย่างไร? หมดใจไม่ใช่เล่น ๆ สาเหตุใหญ่ที่ทำให้คนเก่ง ๆ จากไป เมื่อเราพูดถึงอาการ Burnout เราก็มักจะเห็นภาพของคนที่หมดอาลัยตายอยากกับงานเสียเต็มประดา เพราะไฟในตัวมันมอดไหม้ไปสิ้นแล้ว จะทำอะไรก็เบื่อหน่าย อาการก็ออกมาให้เห็นชัด ๆ ว่าไม่พร้อมจะลุกขึ้นมาทำอะไรอย่างที่เคยทำได้ แต่ Brownout นั้นต่างออกไป จินตนาการถึงแสงจากดวงดาวที่ไม่ได้ดับสนิทมืดลงทันที แต่ยิ่งเฝดห่างออกมาเท่าไหร่แสงก็ยิ่งริบหรี่ลงเท่านั้น เพราะคนที่เข้าข่ายอาการ Brownout นั้นการทำงานภายนอกจะเหมือนเดิมทุกอย่าง เพียงแต่ภายในใจต่างหากที่มันได้ตายจากองค์กรไปแล้วโดยมีสาเหตุมาจากหลายสิ่งในองค์กร อาการเหล่านี้มักจะเกิดกับคนทำงานเก่ง ๆ หรือคนในองค์กรที่มีประสิทธิภาพกว่าคนอื่น (ผลสำรวจระบุว่า Top Performer หนึ่งในสามมีอาการนี้และกำลังหางานใหม่) คนเก่งในองค์กรนั้นเมื่อหมดใจกับงานตรงหน้าหรือหมดใจกับองค์กรที่ทำ พวกเขามีทางเลือกมากกว่าคนที่ทำงานไม่เก่งจึงไม่แปลกใจที่องค์กรมักเสียคนทำงานเก่ง