เพราะทุกสิ่งทุกอย่างต่างมีเรื่องราวที่น่าสนใจในแบบตัวเอง ไม่ว่าจะกับคน สิ่งของ หรือแม้กระทั่งสถานที่สักแห่ง และ Ha Tien Café ร้านกาแฟเท่ ๆ สไตล์ Antique ที่ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่าของกรุงเทพฯ ก็พร้อมที่จะบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองแล้วเช่นกัน ความบังเอิญ ความหลงใหลในกาแฟ ความสนใจด้านสถาปัตยกรรม และของสะสมส่วนตัวของคุณเบิร์ด-เอกภพ โกมลชาติ ผู้เป็นเจ้าของร้านทำให้เกิดร้านกาแฟและเบเกอรี่ที่มีชื่อว่า Ha Tien Café สถานที่ที่ใครสักคนผู้หลงใหลในความคลาสสิก และเรื่องราวอันยาวนานของเมืองพระนครควรแวะเวียนมาสักครั้ง ความน่าสนใจของคาเฟ่แห่งนี้เริ่มตั้งแต่การตั้งชื่อร้านตามชื่อเมือง “ฮาเตียน” ในเวียดนามที่มีตำนานเก่าแก่กล่าวถึงชาวญวนที่อาศัยอยู่ในเมืองฮาเตียนที่อพยพมาตั้งรกรากอยู่ในย่านนี้และเรียกกันเพี้ยนจนเป็นคำว่า “ท่าเตียน” คุณเบิร์ดก็คิดว่าตำนานอันนี้มีความน่าสนใจและยังมีน้อยคนนักที่จะเคยได้ยิน จึงเลือกหยิบฮาเตียนมาตั้งเป็นชื่อร้านกาแฟที่เขารัก เมื่อเปิดประตูเข้ามาก็จะพบกับบาร์กาแฟและตู้โชว์เบเกอรี่ที่มีขนมหวานเรียงราย พร้อมกลิ่นอายของความเป็นจีนที่ยังหลงเหลืออยู่ เพราะในอดีตชั้นล่างของตึกแห่งนี้เคยเป็นร้านขายยาจีนมาก่อน อีกทั้งคุณเบิร์ดก็อยากได้สไตล์จีนมาเป็นหนึ่งในดีไซน์ของร้าน เลยตัดสินใจสร้างบาร์ชั้นแรกตามแบบบ้านของชาวจีนด้วยของตกแต่งอย่างตะกร้า กระบุง และตู้ยาที่มีล็อกเกอร์จำนวนมาก เราสามารถเลือกเมนูที่ต้องการ สั่งออเดอร์ที่เคาน์เตอร์ และเดินขึ้นไปหาที่นั่งที่ใช่บนชั้นสองหรือชั้นสาม แต่ถ้าหากอยากซึมซับกลิ่นหอมของกาแฟ นั่งดูการชงเครื่องดื่มของบาริสต้าพร้อมสัมผัสบรรยากาศแบบจีน ๆ ก็สามารถจับจองที่นั่งกันได้ตั้งแต่ชั้นแรก แต่ถ้าตัดสินใจขึ้นบันไดมายังชั้นสอง ก็ขอให้ลืมบรรยากาศร้านยาจีนที่เพิ่งเจอไปก่อนหน้านี้ เพราะบริเวณชั้นสองของร้านฮาเตียนจะนำเราไปพบกับความสวยงามทั้งดีไซน์จากฝั่งตะวันตกและสไตล์ของตะวันออกที่ผสมผสานเข้าด้วยกัน ชั้นสองของคาเฟ่จะถูกแบ่งออกเป็น 2 โซน คือโซนที่เป็นผนังไม้และกำแพงสีขาวที่ให้อารมณ์แบบไทย-จีน และบริเวณด้านในที่ตกแต่งด้วยสไตล์ชิโนโปรตุกีสพร้อมกับกำแพงสีเขียวแปลกตา ประดับด้วยของตกแต่งที่เป็นของสะสมส่วนตัวของคุณเบิร์ดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพผู้คนในประวัติศาสตร์ โคมไฟที่ไปเลือกเองถึงฝรั่งเศส เฟอร์นิเจอร์แอนทีค เรียกได้ว่าเก้าอี้ทุกตัวที่อยู่ในร้าน
ปัจจุบันต้องยอมรับว่า ‘กาแฟ’ มีบทบาทในชีวิตประจำวันของเหล่าคนเมืองมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเพราะหลงใหลในรสชาติหรือเป็นสถานการณ์บังคับให้ต้องดื่มก็ตาม กาแฟจึงได้กลายเป็นศาสตร์ ๆ หนึ่งไปแล้ว เพราะมีคนที่หลงใหล มีแพสชั่น และศึกษามันอย่างจริงจัง วันนี้เราจึงขอพาทุกคนไปยังคาเฟ่ที่รับรองว่าถ้าใครหลงรักกาแฟจะต้องชอบ เพราะที่นี่นอกจากเป็นคาเฟ่ขายเครื่องดื่มแล้ว ยังเป็นโรงคั่วกาแฟเล็ก ๆ คัดสรรเมล็ดกาแฟอย่างดีเพื่อนำมาคั่วก่อนจะเสิร์ฟลูกค้า นอกจากนั้นยังเป็นร้านเฟอร์นิเจอร์สไตล์วินเทจที่น่าจะถูกใจหนุ่ม ๆ UNLOCKMEN Pompano Roasted Cafe คือคาเฟ่เล็ก ๆ แต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง ตั้งอยู่ในย่านจตุจักรภายในโครงการ The Camp – Vintage Flea Market ตลาดนัดขายของวินเทจที่จำลองมาจากโรงจอดเครื่องบิน อย่างที่บอกไปว่าความพิเศษของที่นี่คือนอกจากจะเป็นร้านกาแฟแล้ว ยังมีโรงคั่วและร้านเฟอร์นิเจอร์ภายในตัว ดังนั้นเมื่อเราเปิดประตู้เข้าไป กลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟก็โชยมาเตะจมูกเราทันที ตัวร้านมี 2 ชั้น ชั้นบนจะค่อนข้างเงียบสงบ มีความเป็นส่วนตัวสูง ส่วนชั้นล่างก็เหมาะกับการนั่งทำงานหรือพูดคุยพลางจิบกาแฟในบรรยากาศสบาย ๆ แต่ไม่ว่าจะมุมไหนของร้าน ทุกตารางนิ้วอัดแน่นไปด้วยความวินเทจ มีเฟอร์นิเจอร์มากมายให้เราเลือกดูอย่างเพลิดเพลิน และถ้าเราถูกใจชิ้นไหนก็สามารถซื้อติดมือกลับบ้านไปได้เลย หรือจะแค่ใช้เป็นพร็อพถ่ายรูปเพิ่มความเท่ทางร้านก็ไม่ว่ากันแต่อย่างใด สิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยเมื่อมาเยือน Pompano Roasted Cafe ก็คือ ‘กาแฟ’ โดยที่นี่จะคั่วและเบลนด์เมล็ดเอง โดยตัว HOF
ทุกวินาทีที่วิ่งผ่านเข้ามาในชีวิต ผลักดันให้เราเติบโตขึ้นอย่างน้อยก็ในจำนวนของอายุ ในแต่ละวันที่เราห่างไกลช่วงวัยที่เราเคยมีความสุขกับมัน ของใช้ในบ้านที่ประกอบกันออกมาเป็นบรรยากาศที่แสนคุ้นเคย อาหารกลิ่นหอมกรุ่น เครื่องดื่มแก้วโปรด หรือแม้แต่ประตูบ้านที่เราเคยเดินเข้าออกอยู่ทุกวัน แม้ว่ามันจะเคยเจิดจ้าอยู่ในความทรงจำของเราขนาดไหนก็ตาม เราอาจจะหลงลืมเรื่องราวหลายอย่างไป แต่ไม่ใช่กับที่นี่ ‘HEI JII’ คาเฟ่ที่ประกอบเอารายละเอียดจากความทรงจำที่แสนอบอุ่น ให้เหมือนเราได้นั่งจิบกาแฟอยู่ในบ้านหลังเดิมอีกครั้ง จากปากซอยเจริญกรุง 43 เข้ามาเพียงไม่กี่ก้าว เราจะสังเกตเห็นร้าน ‘HEI JII’ ที่กลมกลืนอยู่กับชุมชนย่านนั้น แต่ไม่ได้จมหายลงไป ยังคงโดดเด่นด้วยไฟสีเหลืองอบอุ่นภายในร้าน ตัดกับประตูไม้บานเฟี้ยมสีดำได้อย่างลงตัว ด้านในผนังทั้งสองด้านจะโชว์ความดิบของปูนเปลือยและอิฐมอญแบบเก่า ล้อไปกับเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นของเก่าทุกชิ้น ไม่ใช่เป็นของใหม่จากโรงงานที่วินเทจเพียงดีไซน์อย่างแน่นอน ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ในร้าน เสียงช้อนกระทบแก้วจากการชงเครื่องดื่ม ดังก้องอยู่ตลอดเวลา เหมือนมีเมโทรนอมให้จังหวะอยู่ตลอดเวลา นั่นหมายความว่า เครื่องดื่มทุกแก้ว จะถูกชงใหม่ทุกครั้งด้วยความตั้งใจ ไม่รีบร้อน ตวงกันแก้วต่อแก้ว เปี่ยมไปด้วยความละเมียดละไม ราวกับทุกแก้วคือผลงานมาสเตอร์พีซ เสียงพูดคุยกับลูกค้าที่ผ่านไปมา ที่เป็นเหมือนการส่งต่อพลังบวกให้กันมากกว่าการซื้อขายสินค้า บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่นนี้ทั้งหมดนี้ มาจากไอเดียของ “คุณมิก ประภาส ระสินานนท์” หนึ่งในหุ้นส่วนจากทั้งหมด 7 หุ้นของที่นี่ ได้เล่าถึงเรื่องราวของร้านนี้ว่า มาจากความประทับใจของเขาเมื่อครั้งไปเยือนคาเฟ่แห่งหนึ่งในเมือง Seattle เลยอยากจะมีสถานที่ไว้ส่งต่อความสุขแบบนี้บ้าง จึงเลือกเป็นทำเลที่อยู่ท่ามกลางชุมชนมากกว่าทำเลทองในที่อื่น ๆ เพราะอีกสิ่งที่เป็น Passion สำคัญในการผลักดันให้เขาหยิบจับแต่ละอย่างเข้ามาประกอบกันเป็นร้านนี้คือ ความทรงจำในวัยเด็ก ที่ใครหลายคนอาจหลงลืมมันไป
บ่ายวันหนึ่งที่อากาศร้อน เรามีโอกาสได้เดินทางไปที่ย่านแบริ่ง ซึ่งเป็นย่านที่ค่อนข้างห่างไกลจากรูทีนประจำวันของเราพอสมควร จุดหมายปลายทางคือคาเฟ่แห่งหนึ่งที่มีคอนเซ็ปต์น่าสนใจ และเป็นร้านที่เจ้าของบอกว่าจะสวยที่สุดในวันที่แดดออกเต็มที่ ชื่อของร้านนี้คือ ‘Black Forest’ คอนเซ็ปต์ของร้านนี้ก็ตามชื่อเลย Black Forest หรือที่เรียกันว่าป่าดำ คือชื่อของป่าแห่งหนึ่งทางตอนใต้ฝั่งตะวันตกของประเทศเยอรมนีติดกับชายแดนฝรั่งเศส เป็นป่าสนขนาดใหญ่ส่วนที่มาของชื่อป่าดำเนื่องจากป่าแห่งนี้ถ้ามองจากมุมสูงจะเห็นเป็นสีดำเนื่องจากความหนาแน่นของต้นสนที่ปกคลุมกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ด้วยความสวยงามนี้ทางเจ้าของจึงยกมาเป็นคอนเซ็ปต์หลักของร้าน Black Forest เมื่อมองจากภายนอกเป็นคาเฟ่ที่เท่ไม่หยอก ตัวร้านมีสีดำสนิท โดดเด่นด้วยเส้นโลหะมากมายที่พาดตัดกันไปมาเป็นลวดลายที่ดูดิบ ๆ ไร้การปรุงแต่ง และเมื่อเราเข้าไปในร้านก็เป็นจริงอย่างที่ทางเจ้าของร้านบอก แสงแดดในตอนบ่ายสาดส่องลงมากระทบกับโลหะเกิดเป็นเงาทอดลงมาบนพื้น ทำให้คนที่อยู่ในร้านรู้สึกผ่อนคลายเหมือนกำลังนั่งอยู่ใต้ร่มเงาต้นสนแห่งป่าดำ แต่ไม่ใช่แค่สไตล์และคอนเซ็ปต์ร้านเท่านั้นที่น่าสนใจ เรื่องอาหารของที่นี่ก็น่าสนใจไม่แพ้กันเลย ด้วยความที่เดินทางมาไกล ท้องก็ยังไม่มีอะไรหล่นไปถึงเลยตั้งแต่เช้า เราจึงไม่รอช้าบอกกับเจ้าของร้านให้จัดชุดใหญ่มาให้เลย เริ่มที่จานแรกกับ Jaeger สเต็กเนื้อนุ่มลิ้นโรยด้วยใบโรสแมรี่สับละเอียด ทำให้ตอนที่กำลังลิ้มรสอยู่ในปาก นอกจากความนุ่มและหวานตามธรรมชาติของเนื้อแล้วยังจะได้หอมกลิ่นเครื่องเทศบาง ๆ อีกด้วย เป็นการผสมผสานที่ค่อนข้างลงตัว ส่วนมันบดที่เสิร์ฟมาเป็นเครื่องเคียงก็อร่อยตามมาตรฐานเครื่องเคียงที่ดี ไม่ใช่เรายังไม่อิ่ม จริง ๆ แค่ Jaeger จานเดียวก็อยู่ท้องแล้ว เพียงแต่ว่าช่างภาพที่มาด้วยกันเป็นคนไม่ทานเนื้อ เราจึงสั่ง ‘Black Bacon’ ซึ่งจานนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเช่นเดียวกัน เส้นสปาเก็ตตี้สีดำผัดคลุกเคล้ากับกระเทียมและพริก เพิ่มความอร่อยอีกขั้นด้วยเบคอน สรุปสั้น ๆ ว่าเด็ด! หมดไป 2
วันอาทิตย์คือวันที่เราหวงแหน เป็นวันที่เราไม่อยากให้มันผ่านไป บางครั้งถึงขั้นแอบคิดว่าการที่หนึ่งสัปดาห์มีวันอาทิตย์แค่วันเดียวมันน้อยไปหน่อย ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่แค่เราคนเดียวที่คิดแบบนี้ เพราะเจ้าของคาเฟ่เล็ก ๆ บรรยากาศน่ารักในซอยทองหล่อ 13 ที่เราได้ไปเยือนมาก็คิดเช่นเดียวกัน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ร้านนี้ชื่อว่า ‘Sundays’ ที่ห้ามลืมเติม S เด็ดขาด ยังไม่ทันจะเข้าไปข้างใน เราก็สะดุดตาเข้ากับการตกแต่งบริเวณหน้าร้านที่เต็มไปด้วยสีสันลวดลาย ดูนามธรรมเข้าใจยากแต่ก็สวยงามและเข้ากับคอนเซ็ปต์วันอาทิตย์ของร้านอย่างมาก เมื่อเปิดประตูเข้าไปในร้าน ทุกอย่างดูละลานตาไปหมด ผลงานศิลปะมากมายถูกวางกระจัดกระจายไว้แทบทุกจุดของร้าน เป็นการตกแต่งร้านที่ดูไม่เป็นสัดเป็นส่วน แต่ก็มีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด ซึ่งหลังจากได้พูดคุยกับเจ้าของร้าน เราจึงทราบว่าผลงานศิลปะทุกชิ้นในร้านคือผลงานของหุ้นส่วนร้านและกลุ่มเพื่อน ไม่มีคอนเซ็ปต์อะไรเป็นสำคัญ ทุกอย่างเกิดจากการตามใจตัวเองเป็นหลัก ดังนั้นการที่ผลงานทุกชิ้นดูไม่มีจุดร่วมกัน ถูกวางอย่างกระจัดกระจาย ดูไม่ตั้งใจนั้นแท้จริงแล้วคือความตั้งใจที่อยากให้มันออกมาเป็นแบบนี้ อย่างที่บอกไปว่า Sundays คือร้านเล็ก ๆ แต่เป็นร้านที่เราใช้เวลาเดินสำรวจนานมาก ทุกมุมของร้านถึงแม้จะดูเต็มไปด้วยสิ่งของ แต่สิ่งของทุกชิ้นก็มีเรื่องราวและความเป็นศิลปะซ่อนอยู่ ดังนั้นการมาที่คาเฟ่วันอาทิตย์แห่งนี้ นอกจากจะได้พักผ่อน ปลดปล่อยความเครียดให้ลอยหายไปตามบรรยากาศแล้ว ยังได้เพลิดเพลินกับแกลเลอรี่ขนาดย่อมอีกด้วย ไม่ใช่แค่การตกแต่งร้านเท่านั้นที่ Sundays ทำตามใจตัวเอง แต่อาหารของที่นี่แทบทุกเมนูก็เกิดจากการทำตามใจตัวเองแทบทั้งสิ้น ก็อยากกินเมนูแบบนี้ อยากให้รสชาติออกมาแบบนี้ โดยเฉพาะเมนูที่เราจะแนะนำ โดยเมนูแรกคือ Angel Hair Namprik Narok Kai Goong (290 บาท) เป็นเมนูที่แค่เห็นหน้าตาก็ร้องว้าวแล้ว
เวลาเราไปคาเฟ่สักที่อาจจะเขิน ๆ ที่ถ่ายรูปออกมาแล้วมันช่างเป็นคาเฟ่หวานแหวว มองไปมุมไหน ทั้งการออกแบบภายใน การตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ หรือแม้แต่เมนู ทุกอย่างมันดูฟรุ้งฟริ้งไปเสียหมด ซึ่งนั่นมันก็ไม่ผิด แค่ผู้ชายอย่างเราคงไม่อินกับสไตล์นี้เท่าไหร่นัก และดูจะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของสาว ๆ เสียมากกว่า ถ้าหากหนุ่ม ๆ คนไหนเจอกับปัญหานี้บ่อย ๆ และกำลังมองหาพื้นที่เท่ ๆ เอาไว้นั่งชิลล์ในวันหยุด หรืออยากจะพาสาวไปรีแลกซ์ในบรรยากาศที่แฮปปี้กันทั้งคู่ UNLOCKMEN ขอแนะนำ “NOXX CAFE” พระราม 9 ที่รวมเอาความเรียบง่ายของ Minimal และความแข็งแรงดุดันของ Industrial มาไว้ด้วยกัน จะออกมาเจ๋งแค่ไหน มาดูกัน จากแบรนด์เสื้อผ้าสู่คาเฟ่ เรามีโอกาสได้พูดคุยกับคุณ “วสุ มโนมัยพิบูลย์” เจ้าของคาเฟ่และไอเดียเจ๋ง ๆ ที่เราจะได้เห็นในคาเฟ่นี้ โดยก่อนจะมีคาเฟ่แห่งนี้ คุณวสุได้มีแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองในชื่อเดียวกัน และพอแบรนด์เสื้อผ้าเริ่มอยู่ตัว จึงอยากขยับขยายแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น จึงเปิดเป็น “NOXX CAFE” นี้ขึ้นมา ด้วยความตั้งใจที่ต้องการให้เป็นคาเฟ่ที่เหมาะกับคนทุกไลฟ์สไตล์ เป็นพื้นที่ Unisex เหมาะกับทุกเพศ Custom
ชวนหนุ่ม ๆ มาทำหน้าที่แฟนกันหน่อย ในวันหยุดหรือหลังเลิกงาน ลองพาเธอไปคาเฟ่สวย ๆ ให้เธอได้กินขนมอร่อย ๆ แบบที่เธอชอบ และจะดีกว่านั้นอีกถ้าได้รูปสวย ๆ มาลงไอจีอีกหลาย ๆ มุมที่ลงรูปยาวไป ๆ ได้ถึงปีหน้า หากใครยังนึกไม่ออกว่าร้านไหนที่จะพร้อมทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และมุมถ่ายรูปเสร็จสรรพนั้น เราขอแนะนำ “VANILLA CAFE EKAMAI 12” เดินทางง่าย ไม่ซับซ้อน รับรอง สาวร้อยทั้งร้อยต้องถูกใจกับมุมน่ารัก ๆ ในร้านและขนมนมเนยสารพัดที่พร้อมเสิร์ฟ หน้าที่ของหนุ่ม ๆ อย่างเราก็คือขับรถและกดชัตเตอร์ให้เธอนี่แหละ (ฮ่า ๆ ) เรียกว่าสวยตั้งแต่ทางเดินเข้าร้านเลยก็ว่าได้ ทางเข้าจะมีมุมสวนที่ค่อนข้างร่มรื่นด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ที่เป็นเหมือนหลังคากันแดดจากธรรมชาติ ทำให้อากาศด้านนอกไม่ร้อนมากนักแม้จะมาในตอนบ่ายก็เถอะ พร้อมน้ำพุขนาดใหญ่ แค่ตรงนี้ก็ได้มุมสวยแต่งสีเขียวตุ่น ๆ เรียกไลก์ในไอจีได้แบบระเบิดระเบ้อแล้ว วันนี้ร้านที่เราจะพาไปนั่ง chill คือฝั่งร้าน Bakeshop ตัวร้านตกแต่งแบบ Cozy ด้วยสีขาวและเฟอร์นิเจอร์ไม้ และของตกแต่งที่น่ารักจนสาว ๆ ต้องตีบวกคะแนนให้รัว ๆ (ส่วนหนุ่ม ๆ