บนโลกใบนี้จะมีคนที่หลงใหลในการแข่งขันรถยนต์สักกี่คน ที่มีโอกาสได้ใช้เวลาอยู่กับสิ่งที่ตัวเองรักนานกว่า 50 ปี พร้อมผ่านการทำงานในวงการมอเตอร์สปอร์ตมาครบถ้วนทุกตำแหน่ง ตั้งแต่การเป็นนักแข่ง ทีมช่างและผู้พัฒนารถแข่ง รวมไปถึงตำแหน่งเจ้าของทีมแข่งรถสูตร 1 ที่สร้างความสำเร็จเอาไว้มากมายจนกลายเป็นตำนานอีกหนึ่งบทของวงการ Formula 1 เหมือนกับชีวิตของชายที่ชื่อ แฟรงค์ วิลเลียมส์ กับทีม Williams Racing อย่างไรก็ตามแม้จะประสบความสำเร็จและสร้างเกียรติประวัติเอาไว้มากมาย แต่ด้วยปัญหาทางด้านการเงินที่พยายามต่อสู้มานานหลายปี ก็ทำให้ครอบครัววิลเลียมส์ต้องยอมลดบทบาทของตัวเองเพื่อความอยู่รอดทีมรถสูตร 1 ซึ่งปัจจุบันเป็นการแข่งขันที่ต้องใช้เงินทุนในการทำทีมด้วยเงินมูลค่าหลักหลายพันล้านบาท แม้การยุติบทบาทของครอบครัววิลเลียมส์จะทำให้ แคลร์ วิลเลียมส์ รวมถึงตัวของ เซอร์แฟรงค์ วิลเลียมส์ ต้องถอยออกมาจากการทำทีมเพื่อหลีกทางให้กับกลุ่มทุนใหม่ แต่จิตวิญญาณที่หลงใหลในการแข่งรถของชายคนนี้ยังคงถูกจดจำจากคนที่รักในความเร็วเสมอ และวันนี้เราจะพาทุกคนย้อนชมความสำเร็จบนเส้นทางการแข่งขันแห่งโลกความเร็วของชายคนนี้ไปพร้อมกันครับ ฟรานซิส โวเอน กาเบท วิลเลียมส์ หรือ แฟรงค์ วิลเลียมส์ เกิดและเติบโตในย่านเซ้าท์ชีลด์ส เมืองเล็ก ๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ ถูกเลี้ยงดูโดยลุงและป้าหลังจากที่พ่อแม่แยกทางกัน ก่อนตัวเขาจำเป็นต้องย้ายเข้าโรงเรียนประจำในประเทศสกอตแลนด์ เพื่อรับโอกาสชีวิตที่ดีขึ้นตามความต้องการของคุณยาย แฟรงค์ในวัยเด็กสนใจในรถยนต์และการแข่งรถอย่างกระตือรือร้นเกินวัย ช่วงเวลาว่างเขามักจะวิ่งไปรอบ ๆ โรงเรียนเพื่อแกล้งทำว่าตัวเองกำลังอยู่ในรถแข่ง รวมถึงชอบเวลามีโอกาสได้นั่งรถยนต์ของผู้ปกครองเพื่อน ๆ แฟรงค์เล่าว่าเมื่อมองย้อนกลับไปมันค่อนข้างไร้สาระ แต่ทั้งหมดก็ได้สร้างตัวตนของเขาที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทุกอย่างขึ้นมา เมื่อโตขึ้น
Ducati Scrambler มอเตอร์ไซค์ที่ใส่ยางบั้งมาพร้อมความคล่องตัว เป็นภาพที่อยู่คู่โลกใบนี้มากว่า 60 ปี แต่วันนี้เราจะพบเห็น Ducati Scrambler ได้ใน 2 เวอร์ชั่นที่เล็กและรักษ์โลกมากกว่า ด้วยจักรยานไฟฟ้า Ducati Urban-E และ SCR-E (Scrambler) Electric Bicycle ผลงาน Electric Bicycle ทั้งหมดนี้เป็นโปรเจคที่ Ducati ร่วมมือกับ Italdesign พัฒนา 2 โมเดลจักรยานไฟฟ้าสำหรับรองรับสองการใช้งานที่ต่างกัน โดย Urban-E เหมาะสำหรับใช้งานในเมือง และ SCR-E / SCR-E Sport เหมาะสำหรับใช้ลุย โดยได้แรงบันดาลใจมาจากรุ่น Scrambler อย่างชัดเจน โดยเฉพาะตะเกียบคู่และยางบั้งขนาดใหญ่สำหรับสายลุย Off-road ทั้งสามรุ่นสามารถพับเฟรมและถอดแฮนด์เก็บได้อย่างง่ายดายโดยจะมีขนาดเหลือเพียงครึ่ง ซึ่งเหมาะกับการพกพาใส่ท้ายรถได้ไม่ว่าจะเป็น Eco car ที่พื้นที่จำกัดก็ตาม จุดเด่นของ Ducati Urban-E และ SCR-E คือความบางของดีไซน์
ด้วยจุดมุ่งหมายที่ต้องการสร้างสถิติและคำนิยามใหม่ให้กับมอเตอร์ไซค์พลังงานไฟฟ้าที่แรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน Concept Z by ed motorcycle คือผลงานที่ตอบโจทย์ที่สุดในเวลานี้ ด้วยแรงบิดสูง 850 Nm of torque ในดีไซน์ที่ดุดันสไตล์ Street Tracker bike ที่ใช้งานได้ในทุกสภาพถนน เคล็ดลับหัวใจสำคัญที่ทำให้ Concept Z by ed ทำแรงบิดได้มหาศาล มาจากขุมพลังแบตเตอรี่ไฟฟ้า 99V High-performance lithium สร้างแรงบิด 850 นิวตันเมตรสู่ล้อหลัง 100% ขับเคลื่อนแบบ linear torque ด้วยเทคโนโลยี One-gear, No-clutch เช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla หรือ Porsche Taycan ระบายความร้อนได้ดีด้วยระบบ Air-Cooled โดยไม่ต้องใช้น้ำหล่อเย็น หมายความว่าการดูแลรักษา Concept Z เป็นเรื่องที่ง่ายมากขึ้น ควบคุมรถได้อยู่มืออย่างนุ่มนวลด้วยการใช้ co-axial swingarm ด้านหลัง ทั้งหมดเพื่อรองรับความเร็วสูงสุด 150
ที่ผ่านมามีค่ายรถหรูหลายค่ายที่นำรถคลาสสิคของตัวเองมาผลิตใหม่ เปลี่ยนจากเครื่องยนต์เดิมเป็นขุมพลังไฟฟ้า อย่างเช่น Jaguar E-Type Zero แต่เรายังไม่น่าจะได้เห็นโปรเจคแบบนี้จากค่ายรถที่หรูที่สุดอย่าง Rolls-Royce เพราะมหาเศรษฐีระดับนั้นคงไม่ได้ขับรถเอง และไม่ได้สนใจราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้กวนใจชีวิตประจำวัน แต่สำหรับเศรษฐีรุ่นใหม่ที่มีทั้งเงินและแพสชั่นในการขับรถที่เร็ว แรง หรูหรา และแปลกไม่ซ้ำใคร จึงเป็นที่มาของโปรเจคสุดเท่จาก Lunaz Design เตรียมนำ classic Rolls-Royce 2 รุ่นได้แก่ Phantoms และ Silver Clouds โดยข่าวดีคือมันจะไม่ใช่รถแบบ One-off แต่เป็นการผลิตแบบจำนวนจำกัดรุ่นละ 30 คัน ในราคาคันละ $450,000 (ราว 14 ล้านบาท) Lunaz Design บริษัทสัญชาติอังกฤษ บอกว่าการจะเปลี่ยนรถคลาสสิค โดยเฉพาะรถที่ละเอียดอ่อนอย่าง Rolls-Royce เป็นขุมพลังไฟฟ้านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ลำพังแค่บูรณะให้ขับได้ยังเป็นเรื่องยาก ต้องเริ่มตั้งแต่การทำ complete ground-up restoration หรือถอดแยกชิ้นแล้วเริ่มประกอบใหม่ทั้งหมด เพื่อให้มั่นใจว่าโครงสร้างและอุปกรณ์ทุกชิ้นอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบ และแน่นอนว่าชิ้นส่วนเดิมทั้งหมดต้องเป็น original อะไรหาไม่ได้ก็ต้องผลิตขึ้นมาใหม่ ก่อนจะใส่แบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้าของ Lunaz
หนึ่งในรถคลาสสิคที่มีช่วงชีวิตยืนยาวนานที่สุด คงต้องยกให้ Volkswagen Beetle ที่ผลิตตั้งแต่ปี 1938 จนถึง 2019 แม้จะมีการเปลี่ยนโครงสร้างจากรถยนต์เครื่องวางหลังในรุ่นคลาสสิค มาเป็นเครื่องยนต์วางหน้าในรุ่น New Beetle แต่ในด้านความนิยม ไม่ต้องสงสัยว่ารถเต่า Type 1 จากยุค 19xx นั้นได้รับความนิยมสูงสุด แม้วันนี้ Beetle ได้หยุดการผลิตไปเรียบร้อยแล้ว แต่จิตวิญญาณของ Beetle Type 1 ก็ยังคงอยู่คู่โลกใบนี้ ด้วยการนำชิ้นส่วน โดยเฉพาะส่วนบังโคลนหรือซุ้มล้อมาดัดแปลงเป็นของเล่นสุดเท่ เช่น VOLKSPOD มินิไบค์คันจิ๋วที่ทำจากซุ้มล้อ Beetle ซึ่งเราเคยนำเสนอไปแล้ว ล่าสุดยังคงมีการนำซุ้มล้อมาดัดแปลงอีกเช่นเคย แต่คราวนี้เท่ยิ่งกว่า เพราะมันคือ Go-Kart Bugkart Wasowski Go-Kart เรียกง่าย ๆ ก็คือ Volkswagen Beetle Fender Go-Kart ผลงานของ Aldekas Studio สัญชาติ Mexican ผู้เชี่ยวชาญด้าน Volks
สำหรับผู้ชายอย่างเราการตัดสินใจซื้อรถยนต์สักคันเป็นเรื่องที่ทุกคนให้ความสำคัญและเชื่อว่าแต่ละคนมีเหตุผลในการเลือกซื้อรถที่ตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่างกันไป แต่นอกจากเรื่องของสมรรถนะที่เป็นความต้องการพื้นฐานแล้ว การใช้งานรถยนต์ในปัจจุบันยังมีเรื่องที่เราควรให้ความสำคัญไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความปลอดภัย ความสะดวกสบายจากเทคโนโลยีสนับสนุนผู้ขับขี่ที่ทันสมัยและดีไซน์ที่ชวนหลงใหลซึ่งทั้งหมดสามารถมีรวมอยู่ในรถยนต์คันเดียวในราคาที่คุ้มค่าได้ อย่างไรก็ตามถ้าพูดถึงเรื่องความคุ้มค่า คงพลาดไม่ได้ที่ต้องพูดถึง C-SUV รุ่นล่าสุดจากค่ายรถยนต์เอ็มจีอย่าง NEW MG HS ที่วันนี้ UNLOCKMEN จะพาทุกคนมาหาคำตอบไปพร้อมกันว่า ทำไมราคาค่าตัว 1.1 ล้านบาท ถึงเป็นราคาที่สุดแสนจะคุ้มสำหรับค่าตัวของยนตรกรรมคันนี้ มาเจาะลึกลงรายละเอียดความคุ้มค่าของรถคันนี้ไปพร้อมกัน เริ่มต้นที่มุมมองแรกที่ทุกคนจะสัมผัสได้จากรถยนต์คือ เรื่องของงานดีไซน์ NEW MG HS เป็นเอสยูวีที่ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถัน โดยทีมออกแบบเน้นผสานความหรูหราเข้ากับความสปอร์ตและถ่ายทอดออกมาเป็นเส้นสายตัวถังแบบ British Shoulder Line ที่โค้งมน ในเวลาเดียวกันรถยนต์คันนี้ยังคงจุดเด่นในงานดีไซน์ของ MG ด้วยกระจังหน้าซึ่งมาพร้อมแนวคิด ‘Stella Magnetic Field ที่ได้แรงบันดาลใจ มาจากกลุ่มดาวบนท้องฟ้าที่ดึงดูดเข้าหากัน โดยกระจังหน้าและเส้นสายของรถเข้ากันได้อย่างลงตัวกับไฟหน้าแบบ LED Projector ที่พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน (Daytime Running Lights) และไฟท้ายแบบ Space Light Field ในส่วนของไฟเลี้ยวทั้งด้านหน้าและหลังจะแสดงผลไล่ระดับแบบ Sequential ซึ่งช่วยเพิ่มความหรูหราให้กับเอสยูวีคันนี้ยิ่งขึ้น พร้อมเสริมความดุดันด้วยล้ออัลลอยด์ขนาด 18
จากอดีตจนถึงปัจจุบัน นวัตกรรมที่ช่วยลดการใช้พลังงาน และสร้างความสะดวกสบายให้มนุษย์พร้อมกับการรักษ์โลกได้มีการพัฒนาไปอย่างมาก เช่นเดียวกับรถยนต์ ที่ได้มีการพัฒนาในหลายด้าน แต่ที่สำคัญและเป็น Next Big Thing มากที่สุดสำหรับคนเมือง คือการพัฒนาเทคโนโลยีด้านโครงสร้างของระบบส่งกำลัง เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการขับขี่ที่ดีเยี่ยม ยังใช้พลังงานได้เต็มประสิทธิภาพ ลดการใช้เชื้อเพลิง และลดการสร้างมลพิษ มาดูกันว่า ณ ปัจจุบัน เทคโนโลยีการขับขี่ที่มีให้เลือกในตลาดรถยนต์นั้น ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง PETROL รถยนต์ที่เราใช้กันอย่างแพร่หลายโดยทั่วไปนั้น จะเป็นรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปในการขับเคลื่อนเป็นหลัก และต้องเติมน้ำมันเพื่อให้พลังงาน ซึ่งระหว่างการทำงานจะมีการปล่อยไอเสียออกมาผ่านทางท่อไอเสีย HEV (Hybrid Electric Vehicle) ต่อมาได้มีการเพิ่มระบบไฟฟ้าเข้าไป ซึ่งอุปกรณ์หลักที่เพิ่มเข้าไปคือ แบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อช่วยให้มีกำลังมากขึ้นโดยสามารถส่งกำลังทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ อีกทั้งยังประหยัดพลังงานมากขึ้น เพราะมีแบตเตอรี่มาช่วย PHEV (Plug in Hybrid) เป็นการพัฒนาเพิ่มเติมอีกขั้น โดยแบตเตอรี่สามารถชาร์จไฟฟ้าจากภายนอกได้ ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันเพียงอย่างเดียว จึงทำให้ได้กำลังที่ดีขึ้นกว่าเดิม และประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น BEV (Battery Electric Vehicle) หรือรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่เป็นแหล่งพลังงาน 100% โดยทำการตัดระบบเครื่องยนต์ออกทั้งหมด ไม่ต้องเติมน้ำมัน โดยรถจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า เติมพลังงานได้จากการชาร์จไฟ ตัวรถทำงานด้วยระบบไฟฟ้าทั้งหมด
ชื่อ Gordon Murray อาจจะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก และนี่อาจจะเป็นครั้งแรกกับ Hypercar ที่มีชื่อว่า Gordon Murray T.50 แต่ที่จริงแล้ว Gordon Murray คือชื่อของ designer ผู้อยู่เบื้องหลังผลงานระดับ masterpiece หลายคัน ไม่ว่าจะเป็น McLaren F1 ซึ่งทำตลาดอยู่ในช่วงปี 1992 – 1998 อดีตเจ้าของสถิติ the world’s fastest production car ทำความเร็วสูงสุดถึง 386.4 km/h ปัจจุบันมีราคาขายไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท รวมถึง Mercedes-Benz SLR McLaren และรถแข่ง Grand Prix กับ Brabham ครั้งแรกที่ชื่อ Gordon Murray จะปรากฎบนตัวถังรถ Hypercar ของตัวเอง ‘Gordon Murray Automotive
ปัจจุบันถ้าพูดถึง City Cars หรือรถยนต์ที่เหมาะสมต่อการขับขี่ในเขตเมือง หนุ่ม ๆ หลายคนคงมองเห็นภาพ Eco Cars และ City Cars หลากหลายรุ่นที่ถูกพัฒนาขึ้นมาตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันทั้งเรื่องของสมรรถนะ งานดีไซน์ รวมไปถึงฟังก์ชันเสริมที่มีมากน้อยแตกต่างกันไปในรถยนต์แต่ละคัน อย่างไรก็ตามหากย้อนเวลากลับไปช่วงปี 1980 ใครจะคิดว่าค่ายผู้ผลิตรถยักษ์ใหญ่อย่างฮอนด้าจะเคยเสริมจุดขายใน City Cars ของตัวเองด้วยสกู๊ตเตอร์คันจิ๋วที่ใช้ชื่อว่า Motocompo ซึ่งต่อมาได้มาเป็นตัวแทนคำบอกเล่าของยุคสมัยรวมถึงของสะสมหายากที่ใครหลายคนตามหา แต่เรื่องราวทั้งหมดจะมีจุดเริ่มต้นยังไงและพาหนะ 2 ล้อคันนี้ได้สร้างปรากฏการณ์อะไรบ้าง มาทำความรู้จักเรื่องราวทั้งหมดไปพร้อมกัน จุดเริ่มต้นของ Honda Motocompo เป็นผลพวงมาจากการพัฒนารถยนต์คันใหม่ของฮอนด้าในช่วงปี 1979 ช่วงเวลาที่ทีมออกแบบเลือดใหม่ของค่ายได้ร่วมกันระดมไอเดียเพื่อสร้างโปรเจกต์รถยนต์คันใหม่ของค่ายในฐานะ “รถยนต์ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีที่สุดสำหรับปี 1980” ซึ่งต่อมาทุกคนรู้จักรถคันนี้ในชื่อ “Honda City” ในเวลานั้น Hiroo Watanabe และ Hiroshi Azuma 2 วิศวกรผู้เป็นหัวเรือใหญ่ของโปรเจกต์ได้รับโจทย์ให้สร้างรถยนต์ที่มีคุณสมบัติตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ โดยเป้าหมายหลักคือการสร้างรถยนต์ที่มีสมรรถนะขั้นพื้นฐานที่ยอดเยี่ยม ที่สำคัญคือต้องเป็นรถยนต์ที่ตอบสนองการใช้งานของกลุ่มคนทำงานหนุ่ม-สาวที่ต้องการใช้รถยนต์ในชีวิตประจำวันเมืองเช่นโตเกียวหรือเมืองใหญ่ต่าง ๆ สุดท้ายคืองานดีไซน์และเส้นสายของตัวรถจะต้องถูกยอมรับในระดับสากล ไม่นานทีมงานรุ่นใหม่ไฟแรงของฮอนด้าที่มีอายุเฉลี่ยไม่ถึง 30 ปีก็เริ่มลงมือขึ้นรูปงาน Prototype
เชื่อว่าหนุ่ม ๆ ที่สนใจในรถยนต์หลายคนคงคุ้นเคยดีกับโมเดลเปิดประทุนคันเล็กจากยุค 90’s อย่าง Mazda MX-5 หรือที่หลายคนคุ้นเคยในชื่อ Mazda Miata และ MX-5 Miata หนึ่งในโมเดลรถยนต์ที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนมาสด้าให้เป็นที่รู้จัก และกลายเป็นรากฐานสำคัญให้แบรนด์ให้เวลาต่อ แต่อะไรคือเหตุผลที่ทำให้รถยนต์คันนี้ สามารถรักษาความเชื่อมั่นจากคนรักความเร็วทั่วโลกมาตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี ทั้งที่รถก็ไม่ได้แรงอะไรมาก ไม่ได้หรูหรา ไม่ได้ทันสมัย แต่มันมีเสน่ห์ในความเป็น Roadster ที่แตกต่าง วันนี้มาทำความรู้จักจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจ รวมถึงแนวคิดที่ทำให้รถคันนี้กลายมาเป็น 1 ในไอคอนสำคัญของรถสปอร์ตขนาดเล็กไปพร้อมกัน บ็อบ ฮอลล์ ชายผู้จุดประกายให้กับ MX-5 Miata อย่างที่ทราบกันดีว่ามาสด้าคือแบรนด์รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นที่กำเนิดขึ้นในเมืองฮิโรชิมา แต่จุดกำเนิดของโรดสเตอร์ตัวกลั่นของค่ายคันนี้กลับมีจุดเริ่มต้นจากชายที่เติบโตขึ้นมาในเมืองแคลิฟอร์เนีย ชื่อของเขาคือ บ็อบ ฮอลล์ บ็อบ ฮอลล์ เกิดและเติบโตขึ้นท่ามกลางแสงแดดและชายหาดของแคลิฟอร์เนียฝั่งใต้ โดยได้รับการส่งต่อความหลงใหลเรื่องรถยนต์มาจากคุณพ่อที่ทำงานเกี่ยวกับการพัฒนารถสปอร์ตที่เคยทำงานให้ทั้ง MG, Triumphs, Austin Haeleys และ Alfa Romeo ทำให้เขาเติบโตขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศของโรงรถและคราบน้ำมัน รับหน้าที่ตั้งแต่ซ่อมจักรยานของตัวเองไปจนถึงช่วยพ่อประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ที่ใช้ในบ้าน ปลายยุค 70’s บ็อบ