ถ้าพูดถึงชื่อของค่ายรถยนต์อย่าง Bentley หนุ่ม ๆ หลายคนคงจะคุ้นเคยกับภาพของ Luxury Cars ที่มาพร้อมความหรูหราสวยงาม ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นจุดขายสำคัญของค่ายรถเมืองผู้ดีแห่งนี้มาช้านาน แต่ล่าสุดทาง Bentley ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พวกเขาไม่ได้มีดีแค่เพียงทำรถยนต์ที่ตอบโจทย์เฉพาะความมีระดับเพียงเท่านั้น หลังจากได้เปิดตัว Bentley Bentayga Speed (2019) ที่กลายมาเป็น SUV ที่เร็วที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ Bentley Bentayga รถยนต์ประเภท SUV รุ่นแรกของ Bentley ที่ถูกพัฒนาต่อจาก Prototype อย่าง Bentley EXP 9 F พร้อมเปิดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกใน Frankfurt Motor Show 2015 และถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนในรุ่นล่าสุดอย่าง Bentayga Speed ที่มาพร้อมสมรรถนะสุดโหดคันนื้ Bentley Bentayga Speed มาพร้อมรูปลักษณ์งานดีไซน์เฉพาะตัวในแบบของการเป็น SUV ที่มาพร้อมความโค้งเว้าเรียบเนียนตลอดทั้งคัน จุดเด่นคือฝากระโปรงที่ยกสูงขึ้นมาเล็กน้อยและเส้นตัดกลางที่ผ่านลงมาถึงส่วนช่องระบายอากาศด้านหน้า Bentayga Speed ยังมาพร้อมไฟหน้าและไฟท้ายแบบสีขุ่น
สำหรับผู้ชายอย่างเรา นอกจากแนวทางชีวิตแบบ Work Hard Play Hard ในเวลาทำงานก็ปล่อยพลังเต็มที่ไม่มียั้ง เมื่อถึงเวลาหาความสุขให้ตัวเองก็ต้องไปให้สุดทาง ไม่ว่าจะเป็นความสุขที่เกิดจากได้ออกไปดื่มสังสรรค์ การได้เลือกซื้อเสื้อผ้าและรองเท้า หรือแม้กระทั่งได้ครอบครองรถในฝัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนว่าเส้นทางความสุขของเขาจะเดินควบคู่ไปกับอะไร เหมือนอย่างที่ คุณก้อง-สุภวิช วงศ์วิวัฒน์ บอสใหญ่แห่งอาณาจักร Smiling Mad Dog ธุรกิจนำเข้าเครื่องดื่มผู้เลือกให้ความสุขกับชีวิตด้วยการออกตามรถยนต์รุ่นคลาสสิกของ BMW (บีเอ็มดับเบิ้ลยู) และคว้ามันเข้ามาอยู่ในคอลเลกชันส่วนตัว เพื่อเติมเต็มความหลงใหลที่มีต่อยานยนต์จากค่ายพัดสีฟ้าของตัวเอง อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เขาเลือกใช้เวลาแห่งการ Work Hard ไปกับธุรกิจคราฟต์เบียร์และ Play Hard ด้วยการวิ่งตามหาพาหนะในฝัน วันนี้มาหาคำตอบของมันไปพร้อมกับทำความรู้จักเรื่องราวที่น่าสนใจของตัวเขาไปพร้อมกันกับเราได้เลย แนะนำตัวหน่อย ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่บ้าง สวัสดีครับ คุณก้อง-สุภวิช วงศ์วิวัฒน์ ครับ ตอนนี้ผมกับเพื่อนสนิทกำลังเปิดธุรกิจนำเข้าเครื่องดื่มในชื่อ Smiling Mad Dog ซึ่งผลิตภัณฑ์หลัก ๆ จะเป็นพวกคราฟต์เบียร์กับไซเดอร์รวมถึงเครื่องดื่มประเภทอื่น ๆ ด้วยครับ เริ่มต้นทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องดื่มได้ยังไง ด้วยความที่สมัยก่อนตัวผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างประเทศบ่อย บวกกับการที่เราเป็นชอบดื่มเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนั้นเราก็สังเกตเห็นว่าในบ้านเราทั้งคราฟต์เบียร์และไซเดอร์ยังไม่ได้รับความนิยมแพร่หลายเท่าที่ควร ก็เลยตัดสินใจนำเข้ามาเพราะคิดว่าคนไทยน่าจะชอบ โดย Smiling Mad Dog
แค่ขึ้นชื่อว่า Lamborghini ก็ทำให้เหล่าผู้หลงใหลความเร็วต่างก็อยากได้มาครอบครองซักคันกันจะแย่อยู่แล้ว แต่ครั้งนี้รถซูเปอร์คาร์สัญชาติอิตาลีเพิ่มความพิเศษมากขึ้นไปอีกขั้นกับรถแต่งรุ่นพิเศษสำหรับสมเด็จสันตะปาปาแห่งนครรัฐวาติกันที่มีเพียงแค่คันเดียวในโลก Lamborghini Huracan RWD Coupe เป็นรถแต่งรุ่นพิเศษที่ออกแบบมาแค่คันเดียว เกิดจากการสร้างสรรค์ของ Personam และ Bianco Monocerus สำนักแต่งรถที่เข้ามาดูแลเรื่องสี ออกแบบรถยนต์และตัวถังเป็นสีขาวพร้อมตกแต่งด้วยสีทอง Giallo Tiberino ตามแบบธงชาติของนครรัฐวาติกันโดยทางผู้ผลิต Lamborghini ตั้งใจออกแบบรถยนต์คันหรูเพื่อมอบรถรุ่นพิเศษนี้ให้แก่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส Huracan RWD Coupe (LP 580-2) กระทิงดุสีขาวบริสุทธิ์ที่มอบให้แก่โป๊ปฟรานซิสเป็นซูเปอร์คาร์รุ่นเล็กขับเคลื่อนด้วยระบบ 2 ล้อหลัง เครื่องยนต์เบนซิน V10 ความจุ 5.2 ลิตร กำลัง 580 แรงม้า ทำงานร่วมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ และคลัทช์คู่ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 3.4 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 320 กม./ชม. พร้อมฟังก์ชัน Cylinder Deactivation ที่จะลดการทำงานเหลือ 5 สูบ
แน่นอนสำหรับผู้ชายอย่างเรา รถยนต์แต่ละคันที่ชื่นชอบและเลือกซื้อต่างก็มีในดีไซน์และสมรรถนะอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ ไม่ว่าจะเป็นรถยี่ห้อไหนรุ่นใดเมื่อออกจากโรงงานผลิตมาก็ล้วนอยู่ในสภาพพร้อมออกไปโลดแล่นร่วมกับเราอยู่แล้ว แต่ขณะเดียวกันการพัฒนารถที่มีสมรรถนะสุดแรงให้โหดขึ้นกว่าเดิมก็ยังคงเป็นกฎเหล็กที่ต้องเกิดขึ้นตลอดเวลาในโลกแห่งความเร็ว เหมือนอย่างที่ Hennessey ทำกับ McLaren 600LT HPE1000 คันนี้ Hennessey Performance Engineering ยังคงเป็นบริษัทนักปรับจูนรถสปอร์ตและซุปเปอร์คาร์ยักษ์ใหญ่ ที่มีผลงานโดดเด่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการนำรถยนต์จากต่างค่ายโมดิฟายเพิ่มความก้าวร้าวของเครื่องยนต์และชุดแต่ง หรือแม้กระทั่งไฮเปอร์คาร์สเปคโหดในสายการผลิตของพวกเขาเอง และล่าสุดกับการจับ McLaren 600LT เจ้าของฉายา LongTail มายัดแรงม้าเพิ่มเข้าไปที่ 400 ตัวด้วยชุดแต่ง HPE1000 โดย McLaren 600LT ที่ได้รับจากปรับแต่งจาก Hennessey มาก่อนหน้านี้แบ่งออกเป็น 2 ตัว คือ ชุดแต่ง HPE700 ที่มาพร้อมพลัง 708 แรงม้า สูงสุดที่ 7,500 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 ใน 2.6 วินาทีสูงสุดที่ 223 กิโลเมตร/ชั่วโมง และชุดแต่ง HPE700 ที่มาในขุมกำลัง 805
เดินทางมาถึงครบรอบ 110 ปีการก่อตั้ง Automoblies Ettore Bugatti บริษัทผู้ผลิตรถสัญชาติฝรั่งเศสที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1909 ซึ่งแน่นอนว่าการเฉลิมฉลองของพวกเขาก็สุดยิ่งใหญ่ด้วยรถรุ่นพิเศษที่ผลิตออกมาเพียงหลักสิบคันอย่าง Bugatti Chiron Sport “110 ANS Bugatti” “110 ANS Bugatti” คือรถรุ่นพิเศษที่พัฒนาจาก Bugatti Chiron Sport สุดยอดไฮเปอร์คาร์ของค่ายที่เปิดตัวไปในงาน 2018 Geneva Internationnal Motor Show แต่แน่นอนว่าด้วยความเป็น Limited Edition ที่ผลิตออกมาเพียงไม่กี่คันในโลกทำให้มันต้องพิเศษกว่าแน่นอน “110 ANS Bugatti” มาพร้อมตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์สี Steel Blue ตลอดทั้งคัน พร้อมตกแต่งให้เข้าคอนเซ็ปต์ด้วยชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ใช้สีประจำธงชาติฝรั่งเศสที่เรียกว่า Bleu-Blanc-Rouge ไว้ในส่วนของกระจกมองข้าง สปอยเลอร์หลังและฝาถังน้ำมันที่เข้ากันได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ล้ออัลลอยสีดำสนิทกับคาลิปเปอร์เบรกสี Bright Blue พร้อมกันชนและ Diffuser ที่เข้ามาเพิ่มความดุดันมากขึ้นอีกเท่าตัว งานตกแต่งภายในห้องโดยสารที่หุ้มด้วยโทนสี Steel Blue เหมือนกับด้านนอกตัวรถและเบาะหนัง
Audi TT รถยนต์สปอร์ต 2 ประตูจากสายการผลิตรถยนต์ที่เริ่มต้นจากการเป็นรถที่ต้องการนำเสนอความโดดเด่นของดีไซน์มาตั้งแต่ช่วงยุค 90’s ซึ่งแน่นอนว่าความสวยงามของมันก็ทำให้ได้รับความนิยมจากหนุ่ม ๆ มาทุกยุคสมัย แต่ในปัจจุบันกับรุ่นล่าสุดอย่าง 2020 Audi TT RS กลับไม่ได้มาพร้อมความสวยงามเท่านั้น แต่มาพร้อมอัตราการเร่งบนท้องถนนที่ทำได้ไม่แพ้บรรดาซุปเปอร์คาร์เลยทีเดียว TT RS เปิดตัวครั้งแรกที่ Geneva Auto Show 2009 เป็นรถยนต์ที่ถูกพัฒนาโดยแผนกผลิตรถยนต์สมรรถนะสูงของ Audi ที่รู้จักกันในชื่อ Quattro GmbH ในโรงงานที่เมือง Neckarsulm ประเทศเยอรมนี โดยถูกผลิตออกมาเป็นรถสปอร์ตขนาดกะทัดรัด 2 รูปแบบด้วยกันเป็นโมเดล Coupe และ Convertible และยังคงสายการผลิตมาถึงรุ่นล่าสุดอย่าง 2020 Audi TT RS ที่กำลังจะเข้าตีตลาดยุโรปในเร็ว ๆ นี้ 2020 Audi TT RS มาพร้อมดีไซน์เอกลักษณ์กับความโค้งมนของตัวรถที่ตัดด้วยเส้นที่เริ่มจากฝากระโปรงยาวไปจนส่วนท้ายของตัวรถ พร้อมไฟหน้า Matrix LED ที่โฉบเฉี่ยวและช่องระบายอากาศด้านหน้ารูปทรงหกเหลี่ยมสีดำ โดยยังคงให้ความสำคัญในสีสันของตัวรถ มีเฉดสีให้เลือกมากถึง
ถ้าพูดถึงการกลับมาอีกครั้งของ BMW 8-Series กับรหัสตัวถังใหม่ที่เปิดตัวไปเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา อาจทำให้หนุ่ม ๆ ที่เป็นแฟนตัวยงของ BMW รู้สึกถึงการเริ่มต้นยุคสมัยใหม่อีกครั้ง เหมือนเป็นการกลับมาสานต่อตำนานที่ยังไม่สิ้นสุดของ THE 8 หลังจากห่างหายไปกว่า 20 ปี แต่นอกจากการกลับมาแห่งเรือธงของค่ายคันนี้แล้ว BMW ยังเฉลิมฉลองวาระนี้ด้วยรถรุ่นพิเศษอย่าง BMW M850i xDrive Coupe “FIRST EDITION” เรื่องราวของ BMW 8-Serie เริ่มต้นในปี 1989 กับรถรุ่นแรกในรหัสตัวถัง E31 ที่ทาง BMW หมายมั่นปั้นมือว่าจะผลิตออกมาเป็นรถยนต์ประเภท Gran Tourer ที่ทันสมัยและหรูหราที่สุดในเวลานั้น ซึ่งต่อมางานออกแบบที่ล้ำหน้าด้านดีไซน์ รวมไปถึงสมรรถนะชั้นเยี่ยมของตัวรถ ก็ทำให้ E31 กลายมาเป็นหน้าตาของค่ายเคียงข้าง 7-Series ก่อนที่จะถูกยกเลิกสายการผลิตลงในปี 1999 เนื่องจากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ซบเซาและถูกแทนที่ด้วย 6-Series ในเวลาต่อมา จนเวลาหมุนมาครบรอบเกือบ 2 ทศวรรษก่อนในปี 2017 ทาง BMW ก็เปิดตัว Prototype ที่ว่ากันว่าเป็นต้นแบบสำหรับการกลับมาของ BMW 8-Series และหลังจากปล่อยให้แฟน ๆ ต้องรอกันมาอย่างยาวนานในที่สุดในปี
Harley-Davidson คือแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์สัญชาติอเมริกันอายุกว่า 116 ปี ที่ขึ้นชื่อในเรื่องการสร้างสรรค์รถให้เต็มไปด้วยเอกลักษณ์โดดเด่น และตอนนี้ทางแบรนด์กำลังเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ อีกครั้งด้วยการหันมาทำรถจักรยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะเป็นแบรนด์ชื่อดังระดับโลก แต่ด้วยยอดขายที่ลดลงในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทต้องดำเนินแผนการฟื้นฟูและกระตุ้นยอดขายเพื่อให้แบรนด์สามารถไปต่อได้ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังซบเซา การที่ Harley-Davidson มียอดขายลดลงนั้นหลัก ๆ เกิดจากเรื่องกำแพงภาษีที่สูงขึ้นซึ่งเป็นผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทำให้ไตรมาสสุดท้ายในปี 2018 อยู่ในจุดที่เกือบจะขาดทุน ทำให้แบรนด์ต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อกระตุ้นการเติบโตของยอดขายทั้งในและต่างประเทศ และคำตอบที่ได้คือพลังงานไฟฟ้า ในที่สุด Harley-Davidson ได้จัดแสดงนวัตกรรมมอเตอร์ไซค์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของแบรนด์ภายใต้ชื่อ LiveWire ในงาน Consumer Electronics Show (CES 2019) เมืองลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา พร้อมกับเผยรายละเอียดฟังก์ชันการทำงานของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและทิศทางของ Harley-Davidson ในยุคใหม่ หลังจากที่รถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์เคยปรากฏอยู่ในหนังซูเปอร์ฮีโร่ค่าย Marvel มาแล้วใน Avengers: Age of Ultron มอเตอร์ไซค์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของ Harley-Davidson จะเป็นรถแบบไม่มีคลัตช์เพื่อการควบคุมที่ง่ายขึ้น และดึงดูดนักขับรุ่นใหม่ ส่วนของฟีเจอร์นั้นเรียกได้ว่าจัดเต็มด้วยอัตราเร่งจาก 0 – 60 ไมล์ต่อชั่วโมง
“คุณเคยเห็นรถตัดหญ้าหรือเครื่องปั่นไฟสีทองมาก่อนไหม ? ” นี่คือคำถามจาก Hiroyuki Shimizu ประธานกรรมการผู้จัดการของ Honda Australia ที่กล่าวถึงคอลเลกชันพิเศษเพื่อเฉลิมฉลองการทำตลาดครอบรอบ 50 ปี ในประเทศออสเตรเลีย ด้วยการออกแบบให้รถยนต์รวมถึงสินค้าในบ้านเป็นสีทองทั้งหมดเพื่อบ่งบอกถึงผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายที่สร้างยอดขายตรงไปตามเป้าตั้งแต่ปี 1969 รถยนต์ที่ Honda เลือกมาเพื่อเคลือบสีทองนั้นคือรุ่น NSX และ Civic Type R รถยนต์ห้าประตูยอดนิยมที่ขายดีในออสเตรเลีย มอเตอร์ไซค์ซูเปอร์สปอร์ตรุ่น CBR1000RR Fireblade มอเตอร์ไซค์กลุ่ม Enduro รุ่น CRF450L รวมไปถึงมอเตอร์ไซค์ออฟโรดสำหรับเด็กอย่างรุ่น CRF50F ที่ขายที่ดีที่สุดของฮอนด้า นอกจากรถยนต์ในเครือของ Honda แล้ว ยังมีรถตัดหญ้ารุ่น HRU19 Buffalo ที่ออกแบบและประกอบในประเทศออสเตรเลีย ที่มาพร้อมเครื่องปั่นไฟสีทอง EU22i Generator ทั้งรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ รถตัดหญ้าและเครื่องปั่นไฟ การสร้างสรรค์สีทองให้กับสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นจากการผลิตและออกแบบร่วมกันของ Vinyl Wraps และ Graphics ในกรุงเมลเบิร์น
แม้ปัจจุบันหลายคนจะจำภาพรถสมรรถนะสูงสัญชาติฝรั่งเศสในชื่อของ Bugatti แต่ในอดีตยังมีรถที่เคยสร้างตำนานไว้มากมาย รวมถึงครั้งนึงเคยได้ชื่อว่าเป็น Supercar ที่เร็วที่สุดในฝรั่งเศสอีกด้วย นั่นคือ Venturi 400 GT ตัวแข่งที่เกิดมาอยู่ในสนามแข่งโดยเฉพาะ ก่อนจะถูกปรับเปลี่ยนเป็นรถที่ใช้งานบนท้องถนนได้ เชื่อว่าชื่ออาจจะไม่คุ้นหูชาว UNLOCKMEN หลายคน วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับตำนานที่ถูกนำออกประมูลด้วยมูลค่าที่คาดว่าจะสูงถึงเกือบ 7 ล้านบาท ย้อนไปในปี 1984 มี 2 วิศวกรผู้ก่อตั้ง Venturi นามว่า Claude Poiraud และ Gerard Godfroy หวังอยากสร้างรถยนต์ที่สามารถลงแข่งขันในรายการต่าง ๆ เพื่อสร้างชื่อเสียงให้โลกได้รู้จักกับ French performance GT Cars มากขึ้น กว่าจะมีรถยนต์ที่ติดป้าย Venturi ออกมาก็กินเวลาไปถึงปี 1986 ก่อนบริษัทจะถูกขายออกไปในปี 2000 ให้กับเจ้าของคนใหม่ Gildo Pallanca Pastor ผู้หันไปเอาดีทางด้าน Formula E ซึ่งในช่วงระยะเวลานั้นมีรถยนต์ถูกผลิตออกมาหลายรุ่น แต่ในปี 1992 Venturi ได้มีผลงานรถยนต์ที่เป็นพระเอกของค่าย ซึ่งปัจจุบันก็ยังถูกพูดถึงจากนักเลงรถยนต์ตัวจริงทั่วโลก