ถึงเวลาซื้อรถทีไร ต้องมีหลายเสียงรอบตัวคอยทักท้วงว่าจะซื้อแพง ๆ ไปทำไม เพราะเมื่อเวลาผ่านไปรถ รถยนต์ที่เคยซื้อไว้จะยิ่งมีแต่ลดราคา ลดมูลค่าลงเรื่อย ๆ จนเกือบไม่เหลืออะไรนอกจากกุญแจและรายจ่าย แต่ถ้าถามกูรูนักสะสมรถตัวจริง คำตอบที่ได้จะแตกต่างอย่างแน่นอน เพราะการซื้อรถบางรุ่นที่คาดการณ์ว่าจะเป็นที่ต้องการในอนาคตนั้น นอกจากราคาจะไม่ลดลงแล้ว กลับยิ่งเพิ่มมูลค่ากลายเป็นกำไรได้ไม่ยาก ซึ่งทุกวันนี้นักสะสมเก็งกำไรจากรถหายากเริ่มมีจำนวนมากขึ้น และการลงทุนในรถหายากเองก็ได้รับการยอมรับว่าทำกำไรได้ดีไม่แพ้การลงทุนประเภทอื่น แม้จะต้องใช้เงินต้นที่สูงมากหน่อย และความรู้ด้านประวัติของรถยนต์แต่ละรุ่นอีกนิด ก่อนงาน Geneva Motor Show ที่ผ่านมา บริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุน JBR Capital ได้ทำการเปรียบเทียบมูลค่ารถยนต์หลายรุ่นที่เปิดตัวในงาน Geneva Motor Show จากหลากหลายปีที่ผ่านมา และราคาปัจจุบันแพงขึ้นมามูลค่าวันที่ซื้อไป โดยมีทั้งรุ่นที่สองสามปีก็เห็นผลแล้ว หรือบางคันอาจจะใช้เวลามากหน่อย แต่ก็บวกไปเกิน 100% อยู่หลายรุ่นเหมือนกัน โดยส่วนใหญ่จะเป็นรถที่ผลิตจำนวนน้อย ใช้เวลารอคิวนาน มีเงื่อนไขในการซื้อที่ยุ่งยาก หรือถูกจองหมดไปแล้วตั้งแต่เปิดตัว 10. PORSCHE 911 GT3 (991) Geneva debut: 2013 Price at launch: £110,000 Value now: £110,000
เปิดตัวไปแล้วเรียบร้อยหลังปล่อย teaser ออกมาให้แฟนคลับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า Telsa ซึ่งดีไซน์หน้าตาคงไม่ใช่อะไรที่หลายคนประหลาดใจมากนัก เพราะน่าจะเดาทางได้ตั้งแต่แรกแล้ว กับการเอา Model 3 มาขยายให้ดูดีพร้อมพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นแบบ SUV ซึ่งเป็นทรงรถทำเงินที่ตลาดอเมริกาให้ความนิยมแซงหน้ารถ Sedan มาแล้วหลายปี เปิดตัวแบบลับ ๆ ณ โรงงานออกแบบของ Tesla ในเมือง Hawthorne, California ต่อหน้าเจ้าของรถและพนักงานของ Tesla ซึ่งถือเป็นคนกลุ่มแรกที่ได้เห็นหน้าตาและทราบข้อมูลของ Tesla Model Y ซึ่งเป็นรถ Electric Compact Crossover ขนาดเล็ก แต่รองรับผู้โดยสารได้ 5 ถึง 7 คน ขึ้นอยู่กับรุ่นและรูปแบบการตกแต่งซึ่งสามารถเติมเบาะแถวหลังสุดได้ แต่ต้องแลกกับพื้นที่สัมภาระที่หายไปบางส่วน ภายนอกทั้งรูปทรงและลายเส้นด้านหน้าดูคล้ายกับ Model 3 ผสมกับรูปทรงด้านท้ายของ Model X กระจังหน้าแบบ Grille-less ดูสมกับเป็นรถพลังงานไฟฟ้า แม้จะไม่มีประตู Falcon-wing อันสุดเท่แบบใน Model X เพื่อลดต้นทุน แต่จะได้หลังคา
ถ้าให้พูดถึงไอคอนด้านยนตรกรรมที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลกก็คงหนีไม่พ้น BMW 3 Series แน่นอน ที่นับได้ว่าเป็นโมเดลที่สะท้อนภาพลักษณ์ของแบรนด์ BMW ได้เด่นชัดที่สุดในฐานะคอมแพคซีดานตัวแรกที่โดดเด่นด้วยลุคสปอร์ตและสมรรถนะที่ทรงพลังและปราดเปรียวเหนือใคร จนถึงวันนี้ BMW Series 3 ได้ผ่านมาถึง 6 เจเนอเรชั่นแล้ว และยังคงครองตำแหน่งยนตรกรรมระดับพรีเมี่ยมที่ขายดีที่สุดในโลก นอกจากนั้นแล้วยังเป็นรุ่นที่ทำยอดขายได้ดีที่สุดของแบรนด์ BMW ด้วย โดยมียอดจำหน่ายรวมกว่า 15 ล้านคัน ซึ่งการออกแบบของรถในแต่ละยุคก็เปรียบเหมือนภาพสะท้อนของแฟชั่น ที่ทำให้เราได้เห็นถึงการพัฒนา และการเปลี่ยนแปลงของโลกในช่วงนั้น ๆ 1975-1983 เริ่มกันด้วย BMW 3 Series E21 ต้องย้อนกลับไปที่ปี 1975 ซึ่งเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของบีเอ็มดับเบิลยูอีกยุคหนึ่ง และเป็นครั้งแรกที่ BMW 3 Series E21 ได้ถือกำเนิดขึ้นมา ต้องบอกว่าการเปิดตัวของ BMW E21 นั้น สั่นสะเทือนไปทั้งวงการรถยนต์เลยก็ว่าได้ เพราะด้วยดีไซน์กระจังหน้าที่ค่อนข้างชันและขนาดที่ใหญ่ขึ้น ดูล้ำยุคล้ำสมัยขึ้น และพูดได้ว่ามีสไตล์คล้าย ๆ 5 Series E12 ที่ผลิตอยู่ในช่วงนั้นเพื่อให้มันห่างจากกันมาก ในส่วนของภายใน
ทุกครั้งที่เราเห็นรถยนต์คลาสสิกสุดสวยในวันนี้ ทำให้เราจินตนากรถึงภาพที่หรูหราราวกับถนนที่โรยด้วยกุหลาบในอดีต แต่ในความเป็นจริงแล้วรถยนต์ที่เกิดขึ้นในช่วงหลัง World War II หลายคันกลับมีประวัติที่ไม่ได้สบายอย่างที่เราคิด เนื่องจากเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นฟูขาดความเสถียร ประชาชนต้องคิดหนักในการใช้จ่าย รวมถึงวัตถุดิบที่ทีขีดจำกัดเป็นอย่างมาก เรียกว่าจะสร้างอะไรขึ้นมาเหมือนต้องเทเงินทุนกันหมดหน้าตัก เดินหมากผิดนิดเดียวอาจะสะเทือนถึงขั้นล้มละลายได้ เช่นเดียวกับ BMW 507 สุดคลาสสิกคันงามคันนี้ ในอดีตมันคือรถยนต์ที่ทำให้ BMW ต้องสั่นสะเทือนเกือบถึงขั้นล้มละลาย แต่ในวันนี้มันคือหนึ่งใน Iconic Car ประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของ BMW พร้อมมูลค่าซื้อขายที่ไปไกลถึงราว 70 ล้านบาท BMW 507 เป็นรถ Roadster ที่ถือกำเนิดขึ้นในช่วงปี 1956 – 1959 ราว 10 ปีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของ Germany แม้หลายบริษัทจะเริ่มฟื้นตัวจากร่องรอยแผลจากสงครามมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังมี resource ที่จำกัดมาก ส่งผลถึงค่ายรถยนต์แบรนด์ต่าง ๆ ที่มุ่งผลิตรถยนต์เรียบง่าย ราคาไม่แพง เพื่อตอบโจทย์วิถีชีวิตของผู้คนมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น Isetta รถทรงไข่ที่เกิดขึ้นในขณะที่ผู้คนหันไปเลือกใช้ Scooter ในการเดินทาง
ข่าวดีสำหรับคนที่อยากได้รถสำหรับครอบครัว มีพื้นที่ในการเดินทางกว้างขวางสำหรับลูกคนใหม่ หรือพาพ่อแม่ไปเที่ยวพักผ่อน MG เตรียมเปิดตัว “NEW MG V80” รถยนต์ Passenger Van ขนาด 11 ที่นั่ง ที่มาพร้อมห้องโดยสารกว้าง พร้อมความสะดวกสบาย และระบบความปลอดภัยครบครัน เจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการรถยนต์นั่งขนาดใหญ่เพื่อการเดินทางกับครอบครัว หรือในแบบหมู่คณะ ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 40 ณ อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม ถึง 7 เมษายน 2562 นี้ นับตั้งแต่ MG เปิดตัวรถยนต์นั่งรุ่นแรกสู่ตลาดเมืองไทยเมื่อปี 2014 ปัจจุบัน MG จำหน่ายรถยนต์ที่ครอบคลุมทั้งรถยนต์นั่ง 4 ประตู (Sedan) รถยนต์นั่ง 5 ประตู (Hatchback) และรถเอสยูวี (SUV) โดยได้รับการตอบรับจากลูกค้าคนไทยเป็นอย่างดี มียอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงต้องการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าคนไทยมากขึ้น ล่าสุดจึงได้เตรียมแนะนำ
รถยนต์ 1 ในตำนานยอดฮิตของผู้ชายทั้งโลก การถือกำเนิดของ AC Cobra หรือ Shelby Cobra ชื่อเรียกสำหรับทำตลาดในอเมริกาซึ่งพวกเราคุ้นเคยกับชื่อหลังมากกว่า เป็นรถที่หาของแท้ได้ยาก แม้จะมีการทำแบบ Replica ขึ้นมามากแค่ไหน แต่ก็ไม่ทำให้ราคามูลค่าของรถดั้งเดิมลดหายไปได้ แม้จะมีความแตกต่างในคาแรคเตอร์มากแค่ไหน แต่สิ่งนึงที่ Shelby Cobra มีเหมือนกับจุดเริ่มต้นของรถยนต์ระดับโลกทุกแบรนด์ นั่นคือความลุ่มหลงที่หมายจะสร้างรถแข่งให้โลกได้จารึกไว้ของ Carroll Shelby ชายผู้มีความเร็วอยู่ในหัวใจ และเป็นผู้ให้กำเนิด Shelby Cobra แก่โลกใบนี้เมื่อ 57 ปีที่แล้ว Carroll Shelby เด็กชาว Texas ที่เกิดมาพร้อมปัญหาลิ้นหัวใจตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ทำให้เค้ามีปัญหาด้านสุขภาพมาโดยตลอด แต่กระนั้นมันก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะมาแยก Shelby ออกจากความรักในการแข่งขันรถยนต์ได้ แม้ในวัยหนุ่มเค้าจะยังไม่มีรถเป็นของตัวเอง แต่ก็พยายามไปหยิบยืม Allards ของเพื่อนเพื่อใช้ซิ่งแข่งอยู่เป็นประจำ และนั่นก็ทำให้ Shelby ประทับใจในรถบอดี้น้ำหนักเบาจาก UK ที่ใส่ขุมพลัง V8 บล็อคใหญ่จาก US เข้าอย่างจัง ซึ่งเป็นอิทธิพลที่ทำให้เกิดเป็น Shelby
การซื้อรถยนต์สักคันสำหรับผู้ชายอย่างเรา อาจมีองค์ประกอบเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินไม่ว่าจะเป็น การใช้งานที่ตอบโจทย์ ราคาที่เหมาะสม รวมไปถึงความชอบความถูกใจส่วนตัว แต่แน่นอนถ้าหากทุกคนตัดเรื่องของกำลังทรัพย์ออกไป รถยนต์หรู ๆ หรือซุปเปอร์คาร์แรงม้าโหดคงจะเป็นเป้าหมายหลักของเราทุกคนอย่างแน่นอน La Voitune Noire ภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า “รถยนต์สีดำ” คือชื่อของรถยนต์คันล่าสุดจาก Bugatti ที่เพิ่งถูกยกมาเปิดตัวแบบสด ๆ ร้อน ๆ ในงาน Geneva Motor Show แต่เรื่องแรกที่ถูกยกมาพูดกลับไม่ใช่งานดีไซน์หรือสเปคเครื่องยนต์ แต่เป็นราคาขายซึ่งเป็นสถิติรถยนต์ที่แพงที่สุดในโลกคันใหม่ (เฉพาะราคาจากโรงงานไม่ใช่รถยนต์ที่ถูกขายในการประมูล) โดยค่าตัวของมันคือ 19 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ วิ่งแซงแชมป์เก่าสุดหรูอย่าง Rolls Royce Sweptail ที่ทำไว้ 13 ล้านดอลล่าร์สหรัฐออกมาไกลเลยทีเดียว ว่ากันว่าเจ้าปีศาจสีดำคันดังกล่าวถูกสั่งจองไปแล้ว โดยบุคคลที่ทาง Bugatti ไม่ประสงค์จะเปิดเผยและบอกแต่เพียงว่าเขาคือคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับแบรนด์ โดยราคาการขายในครั้งนั้นคือ 18.9 ล้านดอลล่าร์สหรัฐแบ่งเป็นค่ารถเพียว ๆ 12.5 ล้านและค่าภาษีท้องถิ่นและภาษีฟุ่มเฟือยอีก 6.4 ล้านดอลล่าร์ ซึ่งนั่นเองทำให้มันกลายเป็นรถยนต์ที่มีราคาแพงสุดในโลก Bugatti La Voitune Noire เป็นรถรุ่นพิเศษที่สร้างขึ้นมาในวาระ 110 ปี ของสุดยอดค่ายรถยนต์สมรรถนะสูงจากฝรั่งเศสที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี
วันเวลา อุปสรรค และเรื่องราวที่ต้องพบเจอระหว่างเส้นทางของชีวิต องค์ประกอบสำคัญที่หล่อหลอมให้ผู้ชายอย่างเราเติบโตและเรียนรู้จะก้าวเดินอย่างแข็งแกร่ง เพื่อพัฒนาตัวเองให้สามารถฝ่าฟันไปบนเส้นทางที่ต้องการ และแน่นอนว่ารูปแบบชีวิตของแต่ละคนก็มีการเดินทางที่แตกต่างกันออกไป เปรียบเป็นถนนก็คงไม่ต่างกันกับเส้นทางที่มีพื้นผิวเรียบ ผิวขรุขระ ไปจนถึงเส้นทางแปลกใหม่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวท้าทายไม่รู้จบ การพาตัวเองไปสู่สถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเพื่อตามหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ช่วงเวลาที่ได้ปล่อยตัวเองให้ได้พบเจอและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่มีคุณค่า ซึ่งบางครั้งก็ทำให้เราปรับเปลี่ยนมุมมองให้ต่างออกไป หลายครั้งที่เราเลือกใช้การเดินทางให้เป็นช่วงเวลาในการพักผ่อน ชาร์จพลังให้กับร่างกายและความคิดกลับมาพร้อมเผชิญกับเรื่องราวมากมายในระหว่างทางที่วิ่งไล่ตามความสำเร็จ และแน่นอนว่าการจะเดินทางไปสู่จุดหมายในแต่ละครั้ง นอกจากตัวเราเองแล้ว เพื่อนร่วมทางที่สามารถพาเราไปถึงปลายทางได้ปลอดภัยก็สำคัญไม่แพ้กัน รถกระบะ หนึ่งในประเภทรถยนต์ที่ผู้คนในหลายประเทศให้ความนิยมกันไม่แพ้ในประเทศไทย ที่จริงแล้วในต่างประเทศ รถสไตล์นี้มีภาพลักษณ์ที่ค่อนข้างดีไม่แพ้รถประเภทอื่นเลยด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ที่พร้อมรองรับรูปแบบการใช้งานที่ตอบสนองชีวิตลุย ๆ ในทุกวันได้เป็นอย่างดี มีความทนทานที่พร้อมก้าวผ่านไปในเส้นทางหลากหลายรูปแบบโดยไร้ข้อกังวล รวมถึงสมรรถนะที่ไม่ว่าจะใช้งานลุยบนเส้นทางที่สมบุกสมบันแค่ไหน จะวิ่งทำความเร็วบนถนนในเมือง หรือขนของไปลุยกิจกรรมไหนก็ตอบโจทย์ได้อย่างครอบคลุม ปัจจุบันเราจึงเห็นรถกระบะสมรรถนะสูง เป็นรถอีกคันที่หลายคนเลือกมีไว้ติดบ้าน สำหรับ UNLOCKMEN เราเองก็มี Ford Ranger Raptor ไว้ติดออฟฟิศสำหรับใช้งานด้วยอีกหนึ่งคัน เหตุผลที่เราเลือก Ford Ranger Raptor ไว้ใช้งานเป็นเพราะความพร้อมในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นสมรรถนะที่ผ่านการเร่งกล้ามมาจากโรงงาน เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร Bi-Turbo (เทอร์โบคู่) ให้พลัง 213 แรงม้า แรงบิด 500
ดูเหมือนในวงการซุปเปอร์คาร์และไฮเปอร์คาร์จะยังต่อสู้กันเรื่องความเร็วแรงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หลังจาก Koenigsegg (คอนิกเส็กก์) ค่ายรถสปอร์ตสมรรถนะสูงจากสวีเดนได้เปิดตัวปีศาจคันใหม่ของค่ายที่ว่ากันว่าสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 300 ไมล์ต่อชั่วโมง แม้จะยังไม่มีการรับรองอย่างเป็นทางการก็ตาม Koenigsegg JESKO ซุปเปอร์คาร์คันใหม่ล่าสุดที่ทาง Koenigsegg เปิดตัวเป็นครั้งแรกในงาน Geneva Motor Show เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาพร้อมข่าวลือที่หลุดมาว่านี่คือรถอีกคันที่สามารถทำความเร็วได้ 300 ไมล์ต่อชั่วโมงทำลายสถิติรถเจ้าพายุของค่ายคันก่อนอย่าง Koenigsegg Agera RS ที่เคยทำได้ 278 ไมล์ต่อชั่วโมง (447 กิโลเมตร/ชั่วโมง) จากการทดสอบสมรรถนะบนถนนปกติที่รัฐเนวาดา และอาจรวมถึงต้องการเทียบรัศมีกับขาใหญ่อย่าง Hennessey Venom F5 และ Bugatti Chiron JESKO ชื่อที่พ่วงท้ายมารุ่นมาจากชื่อ Jesko von Koenigsegg พ่อบังเกิดเกล้าของผู้ก่อตั้งและซีอีโอของค่าย Chiristian von Koenigsegg ซึ่งเป็นคนสนับสนุนการจัดตั้งบริษัทซุปเปอร์คาร์ให้กับเขาเมื่ออายุ 22 ปี พร้อมสนับสนุนความฝันของเขามาตั้งแต่ช่วงปี 1980 Koenigsegg JESKO มาพร้อมโคตรเครื่องยนต์ V8 Twin-Turbo ให้กำลังที่ 1,280 แรงม้าในกรณีใช้เชื้อเพลิงเป็นน้ำมันเบนซินและ
ดูเหมือนแม้แต่ค่ายรถมอเตอร์ไซค์ยักษ์ใหญ่จากเมืองลุงแซมอย่าง Harley-Davidson ยังต้องเปลี่ยนแนวทางธุรกิจของตัวเอง จากผลกระทบของยอดขายที่ลดน้อยลงอย่างได้ชัดจากตัวเลขปีล่าสุด แผนการแรกของพวกเขาคือการบุกเข้าไปตีตลาดสร้างนักขับรุ่นใหม่ ด้วยการเข้าไปเทคโอเวอร์บริษัทผลิตจักรยานสำหรับเด็กซึ่งเป็นอีกแผนการสำคัญของพวกเขา ร่วมกับโปรเจกต์มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าอย่าง Livewire ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ Harley-Davidson ตัดสินใจซื้อกิจการของ StaCyc บริษัทผลิตจักรยานไฟฟ้าสำหรับเด็กจากแคลิฟอร์เนียซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2016 โดยพวกเขามีผลงานโดดเด่นของค่ายคือจักรยานไฟฟ้าขนาด 12 นิ้วและ 16 นิ้วที่เรียกว่า eDrive โดยรายละเอียดด้านมูลค่าที่ซื้อขายไม่ได้รับการเปิดเผย มีเพียงความเห็นจากปากของ Hearther Malenshek รองประธานกรรมการอาวุโสของ Harley-Davidson ที่บอกมาเปิดเผยว่าพวกเขาและ StaCyc มีแผนในการสร้างและทำธุรกิจที่ไปในทางเดียวกัน คือการสร้างนักปั่นนักขี่รุ่นใหม่ทั่วโลกโดยมีนัยยะสำคัญคือความสนุกสนาน และปรับภาพลักษณ์ที่ดุดันและเสียงดังของพวกเขาลง โมเดลจักรยาน 12eDrive และ 16eDrive ในปัจจุบันของ StaCyc มีการใช้แบตเตอรี่ขนาด 20 โวลต์ รองรับน้ำหนักของเด็กไม่เกินที่ 75 ปอนด์ (34 กิโลกรัม) พร้อมความเร็วสูงสุดที่ 9-11 ไมล์/ชั่วโมง(15-19 กิโลเมตร/ชั่วโมง) รวมถึงมีราคาขายที่ 649 และ 699 ดอลล่าร์สหรัฐ กลุ่มเป้าหมายคือเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 3-7