ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ต้องพบเจอความวุ่นวายนับไม่ถ้วน เวลาจำนวนจำกัดที่แกมบังคับให้ต้องใช้ชีวิตรีบเร่ง สุขภาพย่ำแย่จากการสูดดมฝุ่นควันบนท้องถนน และความยากลำบากเมื่อต้องแทรกตัวเข้าไปยังรถไฟฟ้าที่มีคนแน่นขนัด ทั้งหมดนี้ทำให้เราเผลอคิดว่า “ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัว” วลีนี้ยังคงใช้สื่อความหมายได้อยู่หรือเปล่า เพราะต่อให้คนเมืองจะได้ใช้ประโยชน์จากโครงข่ายการคมนาคมที่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ถ้ายังต้องติดแหง็กบนถนนกับระบบจราจรป่วย ๆ หรือไม่อาจแก้ปัญหาอื่น ๆ ที่คนเมืองเผชิญได้อย่างจริงจัง เมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ก็คงไม่ได้น่าอยู่สักเท่าไร ถ้าการใช้ชีวิตในเมืองมันวุ่นวายนัก เราแนะนำให้คุณผละตัวออกมาสักนิดและเขยิบเข้าใกล้ชนบทอีกสักหน่อย ละสายตาจากความแออัดยัดเยียดของป่าคอนกรีต หันไปมองทัศนียภาพหนาทึบของแมกไม้และสัมผัสความสงบสบายที่เมืองใหญ่อาจให้คุณไม่ได้ ‘Woodwork Enthusiast’ เป็นผลงานการออกแบบของสตูดิโอ ZMY Design ที่เปลี่ยนโรงงานปูนซีเมนต์เก่าในตะวันออกเฉียงใต้ของจีนให้กลายเป็นบ้านไม้แสนสงบที่มีดีไซน์เฉพาะตัว บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในเมืองเซี่ยเหมิน (Xiamen) เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของมณฑลฝูเจี้ยน (Fujian) และสร้างขึ้นเพื่อให้เป็น “Physically Static Place” สถานที่ที่มอบความรู้สึกสงบ คงที่ และเป็นสเปซของธรรมชาติที่ออกแบบแก่ผู้พักอาศัยอย่างแท้จริง จากอาคารทรงกระบอกที่ถูกทิ้งร้างไว้หลายปีและเต็มไปด้วยชิ้นส่วนสึกหรอ ตอนนี้ถูกรีโนเวตให้เป็นพื้นที่พักอาศัยขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมไลฟ์สไตล์ชีวิตครบครัน ภายในดีไซน์แบบ open plan ไม่ปิดกั้นและเชื่อมโยงทุกภาคส่วนของบ้านเข้าด้วยกัน มีทั้งห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องนอน ห้องน้ำ ระเบียง และดาดฟ้าชมวิวที่ชั้นบน ด้วยคอนเซ็ปต์ที่อยากสร้างบ้านให้สงบและสบาย ทีมนักออกแบบจึงเว้นระยะห่างจากการเชื่อมต่อของโลกภายนอก เน้นใช้เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นเพื่อชูความโดดเด่นภายใน เปิดพื้นที่บางส่วนให้แสงและลมลอดผ่านเข้ามา และใช้ประโยชน์จากธรรมชาติทั้งหมดภายในบ้านสร้างความผ่อนคลายแก่ผู้พักอาศัย เดิมทีพื้นที่ตรงนี้เป็นโรงงานปูนซีเมนต์เก่าและมีความสูงเพียงสองชั้นเท่านั้น
ถ้าพูดถึง ‘เมืองแห่งการออกแบบ’ เชื่อว่านิยามของแต่ละคนคงต่างกันอย่างสิ้นเชิง บางคนนึกถึงเบอร์ลิน เมืองหลวงของเยอรมนีที่เต็มไปด้วยสถาบันออกแบบชื่อก้องโลก บ้างว่ามอนทรีออลของแคนาดานี่แหละที่เป็นตัวเต็ง เพราะนอกจากจะพัฒนาเมืองด้านการออกแบบอย่างจริงจัง ยังมีผลงานเจ๋ง ๆ ซ่อนอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของเมืองนับไม่ถ้วน แต่ใครหลายคนอาจยังไม่รู้ว่า ‘เซินเจิ้น’ เมืองชาวประมงเก่าแก่ของประเทศแดนมังกร เปลี่ยนแปลงและพัฒนาข้ามขั้นจนได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งการออกแบบและนวัตกรรมที่ถูกยอมรับในระดับสากลไปเรียบร้อยแล้ว จากเมืองประมงริมชายฝั่งสู่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ย้อนไปในอดีตเซินเจิ้นเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเก่าที่อยู่ตรงข้ามกับฮ่องกงเท่านั้น แต่ในช่วงปี 1980 เมืองนี้กลับถูกเลือกให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรกของประเทศจีน จากนโยบายเปิดประเทศและปฏิรูปเศรษฐกิจในปี 1978 หลังจากนั้นเซินเจิ้นก็ถูกพัฒนาให้เจริญก้าวหน้า ทันสมัย และกลายเป็นแหล่งการค้าการลงทุนที่สำคัญของจีน นอกจากความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งแล้ว ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจก็มีอิทธิพลต่อการพัฒนาเมืองนี้ไม่แพ้กัน เมื่อ สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ประกาศมอบสถานะพิเศษให้เซินเจิ้นเป็นพื้นที่ทดลองปฏิรูปเศรษฐกิจและการบริหารจัดการด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม นับแต่นั้นเซินเจิ้นก็กลายเป็นหนึ่งในเมืองกลุ่ม Greater Bay Area อันเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไข่มุก เช่นเดียวกับ ฮ่องกง, มาเก๊า, กวางโจว, จูไห่ และอีกหลายเมืองสำคัญ รากฐานความสร้างสรรค์ของเจ้าแห่งการจำลอง ดูเผิน ๆ แล้วเซินเจิ้นแทบไม่มีรากฐานด้านศิลปะหรือการออกแบบเฉกเช่นปารีส มิลาน หรือฟลอเรนซ์ แต่เราเชื่อว่าเซินเจิ้นเองก็คงมีบางสิ่งเป็นเบ้าหลอมให้มุ่งมั่นพัฒนาเมืองไปในทิศทางการออกแบบอย่างแน่วแน่เช่นนี้ ถ้าเปรียบเทียบเรื่องราวของเซินเจิ้นให้เป็นเรื่องใกล้ตัวยิ่งขึ้น คงคล้ายกับเมืองโบราณในจังหวัดสมุทรปราการของบ้านเรา ที่รวบรวมสถานที่สำคัญต่าง
ถ้าพูดถึงสถาปัตยกรรมจีนโบราณ หนุ่ม ๆ หลายคนคงนึกภาพกำแพงเมืองจีนที่ใช้โครงสร้างอิฐก้อนใหญ่ถมทับด้วยดินเหลืองและเศษหินความยาว 21,196.18 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 15 มณฑลทั่วประเทศแดนมังกร และเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ในอดีตกำแพงอิฐที่ทอดยาวนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นป้อมปราการเพื่อป้องกันการรุกรานดินแดน แต่ปัจจุบันมันกลายเป็นสถาปัตยกรรมจีนโบราณอันล้ำค่า ที่เป็นรากฐานให้งานออกแบบชนิดอื่น ๆ นอกจากไม้ที่เป็นจุดเด่นของสถาปัตยกรรมจีน การออกแบบพื้นที่ให้กว้างขวางก็เป็นอีกเอกลักษณ์ที่สำคัญไม่แพ้กัน ทีมสถาปนิกของ Zaha Hadid Architects จึงหยิบโครงสร้างสถาปัตยกรรมจีนโบราณผนวกเข้ากับการออกแบบสมัยใหม่ จนออกมาเป็นท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง-ต้าซิง ที่ผสมผสานเทคโนโลยีกับกลิ่นอายทางวัฒนธรรมของจีนอย่างลงตัว แม้อาคารผู้โดยสารขนาด 700,000 ตารางเมตร จะดีไซน์ออกมาให้กะทัดรัด แต่ก็สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 72 ล้านคนต่อปี โครงสร้างของอาคารผู้โดยสารถูกล้อมด้วยหลังคากระจกที่เป็นเหมือนสกายไลต์ช่วยเปิดรับแสงจากธรรมชาติ พร้อมสร้างความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบาย ให้กับเหล่านักท่องเที่ยว ที่นี่ใช้พลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ ระบบดูดความร้อนจากชั้นพื้นดิน ทั้งยังออกแบบช่องทางลำเลียงน้ำฝนและมีระบบจัดการน้ำที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ การออกแบบภายในถอดแบบมาจากสถาปัตยกรรมจีนโบราณ ที่เน้นหนักในการจัดพื้นที่ให้เชื่อมต่อถึงกันได้แบบ open plan จากจุดศูนย์กลางของท่าอากาศยานผู้โดยสารสามารถเดินเชื่อมไปยังเครื่องบินโดยตรงผ่านประตูทั้ง 79 แห่ง เมื่อมองจากมุมสูงท่าอากาศยานแห่งนี้จะมีรูปทรงคล้าย ๆ ปลาดาว 5 แฉก ที่ไม่เพียงสวยงามแปลกตา
“สงครามอาจกำลังเกิดขึ้นอีกครั้งเร็ว ๆ นี้” นี่คือประโยคที่คนส่วนใหญ่พูดถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างสองประเทศมหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐอเมริกากับจีน บางคนอาจมองว่าประโยคนี้กล่าวเกินจริง แต่หากลองฉุกคิดดูก็จะรู้ว่าสงครามไม่จำเป็นต้องยิงนิวเคลียร์หรือส่งทหารออกไปสู้รบเสมอไป สำหรับใครที่ตามข่าวการเมืองของสหรัฐฯ จะต้องคุ้นเคยกับประโยค “Make American Great Again” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างแน่นอน เพราะเขามักจะพูดอยู่บ่อย ๆ ว่าจะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งและยังแข่งขันกันทุกด้านกับประเทศขั้วตรงข้ามอย่างจีนซึ่งมีผู้นำที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครอย่างสี จิ้นผิง การต่อสู้ที่ร้อนแรงของสองขั้วมหาอำนาจโลกทำให้ UNLOCKMEN นำเรื่องราวโดยย่อรวมถึงประวัติของ สี จิ้นผิง ชายผู้ต่อกรกับโดนัลด์ ทรัมป์อย่างสูสีมาร้อยเรียงให้ทุกคนติดตามกัน ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน แล้วทำไมผู้ชายอย่างเรา ๆ ต้องสนใจเรื่องราวการต่อสู้ของสองประเทศนี้ สี จิ้นผิง เป็นใคร ? สี จิ้นผิง เป็นลูกชายของ สี จงชุน ทหารผ่านศึกคอมมิวนิสต์จีน ที่มีบทบาทสำคัญทางการเมืองเพราะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีซึ่งใกล้ชิดกับ เหมา เจ๋อตง ผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน เกริ่นมาแบบนี้หลายคนอาจคิดว่าเด็กชายผู้เติบโตท่ามกลางผู้ทรงอิทธิพลและมีพ่ออยู่ในแวดวงการเมืองควรมีชีวิตที่โชคดีและได้เปรียบเด็กคนอื่น ๆ จนน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขากลายเป็นประธานาธิบดีในวันนี้ แต่ความจริงไม่ได้ราบรื่นอย่างนั้น เพราะชีวิตของเขาพลิกผันจากเหตุการณ์ที่พ่อของเขาโดนปลดตำแหน่งอย่างสายฟ้าแลบ เนื่องจากตัดสินใจอนุญาตให้สำนักพิมพ์แห่งหนึ่งตีพิมพ์หนังสือวิจารณ์ เหมา เจ๋อตง ผลจากการตัดสินใจของสี จงชุน
เราเคยตั้งคำถามว่าวิวัฒนาการของสัตว์ที่อยู่ด้านล่างห่วงโซ่อาหารของมนุษย์อย่างเราจะมีทางขึ้นมาพัฒนาเท่าเทียมเราได้ไหม สติปัญญาของมนุษย์สองมือสองเท้าที่กายภาพด้อยกว่าแต่เอาชนะด้วยความคิดสร้างสรรค์มาหลายปีดีดักจะมีโอกาสโดนท้าทายจากพวกมันหรือเปล่า หลายครั้งพล๊อตจินตนาการแบบนี้เลยไปอยู่บนแผ่นฟิล์ม หยิบสารพัดวิธีสร้างความเป็นไปได้ที่เราจะเปลี่ยนจากฐานะของผู้ล่าสู่ผู้ถูกล่าแทน หนึ่งในนั้นคือเรื่องการนำพันธุกรรมของมนุษย์ใส่เข้าไปสัตว์ เหมือนกับเรื่อง War for the Planet of the Apes ที่มนุษย์ทดลองตัดต่อยีนของตัวเองเข้าไปในลิง จนนำมาสู่สงครามระหว่างมนุษย์และลิงยาวนานเป็นไตรภาค แต่ล่าสุดเรื่องนี้กลายเป็นกระแสโด่งดังทั่วโลกออนไลน์ เมื่อนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนทดลองปลูกถ่ายยีนส์สมองมนุษย์ใส่เข้าไปในลิงจริง ๆ เพื่อพิสูจน์คำถามที่ว่า “อะไรทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่น” ลิง 11 ตัวกับยีนส์มนุษย์ที่ตัดต่อเข้าไป การทดลองครั้งนี้ทำโดยแยกลิงวอกที่เป็นทารกจำนวน 11 ตัวออกจากอ้อมอกแม่ในฮ่องกงมาดำเนินการทดลองปลูกถ่ายยีนมนุษย์ MCPH1 ในสมองของมัน ดำเนินการโดยมหาวิทยาลัยหลายแห่งและสถาบันสัตววิทยาคุนหมิงทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนที่ต้องการไขรหัสกระบวนการวิวัฒนาการความฉลาดของมนุษย์ ผลจากการศึกษาพบว่าสมองของลิงเหล่านี้ใช้เวลาในการพัฒนานานเช่นเดียวกับมนุษย์เรา สามารถทำแบบทดสอบความจำระยะสั้นก็ได้รับการตอบสนองไวขึ้นเมื่อเทียบกับลิงที่ยังไม่ได้รับการปลูกถ่ายยีนลงไป แต่จาก 11 ตัวที่ได้รับการปลูกถ่ายยีนไปเหลือรอดชีวิตเพียง 5 ตัวเท่านั้น Su Bing หนึ่งในหัวหน้าทีมวิจัยครั้งนี้กล่าวว่า ผลการทดลองนี้พวกเขาไม่ได้ลักลอบทำ หรือกระทำผิดหลักจริยธรรมแต่ประการใด เพราะโปรเจกต์ทั้งหมดนี้ได้รับการตรวจสอบโดยคณะกรรมการจริยธรรมของมหาวิทยาลัยแล้ว และปฏิบัติตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดของจีนและมาตรการการคุ้มครองสัตว์นานาชาติด้วย สิทธิ์การรอดชีวิต กับลิง 5 ตัวที่ยังเหลือ กลายเป็นคำถามคงค้างที่เกิดขึ้นกับคนนอกแลปครั้งนี้ว่า “สมควร” หรือไม่ ถ้าเราใช้จรรยาบรรณด้านการค้นคว้ามาตัดสินกับสิ่งมีชีวิตว่ามันควรอยู่ หรือถูกสังเวยเพื่อเป็นการยืนยันทฤษฎีความคิดของตัวเอง ทว่าอีกฟากกระแสโซเชียลที่เห็นด้วยก็กล่าวว่า ถึงลิงจะมีพันธุกรรมที่ใกล้เคียงมนุษย์แค่ไหน แต่มันก็ยังห่างชั้นกันอยู่ดีไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องจริยธรรมหรอก ในท้ายที่สุดไม่ว่าผลของการโต้แย้งที่ออกมาจะเป็นอย่างไร แต่ยังไม่มีข่าวไหนที่ออกมาแจ้งแน่ชัดว่าทีมวิจัยจะทำอย่างไรกับลิงที่เหลืออยู่ และหากต่อไปเรากังวลกับพัฒนาการทางปัญญาของมันที่เติบโตขึ้นมากเกินไป
มลพิษขนาดเล็กอย่างฝุ่นเป็นเรื่องที่หลบไม่ได้ ใครก็รู้ เพราะเราไม่สามารถมองเห็นมลพิษที่แฝงมาด้วยตาเปล่า มันสามารถเล็ดลอดได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ กระทั่งเครื่องปรับอากาศที่เราเปิดอยู่ ตอนนี้คนเลยแห่กันซื้อเครื่องฟอกเสียหมดตลาด หลายยี่ห้อผลิตไม่ทันซื้อ ดังนั้น ต่อให้เรามีเงินพอจะซื้อก็ใช่ว่าจะซื้อคุณภาพชีวิตได้ ทว่าในสถานการณ์คับขันแบบนี้ มักทำให้เราได้เห็นไอเดียใหม่ ๆ ของการพัฒนานวัตกรรมขึ้นมาสู้ความเลวร้ายได้เสมอ ล่าสุดจีน ประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุดในโลกและประสบกับเรื่องฝุ่นมลพิษคลุมเมืองไม่แพ้เรา สร้างนวัตกรรมจากสิ่งบ้าน ๆ อย่าง “มุ้งลวด” ที่กรอง PM 2.5 ขึ้นมาได้สำเร็จ พูดจริง ๆ มันก็เป็นเรื่องที่หลายคนยังคาดไม่ถึง และแม้แต่เราเองก็มัวแต่ไปกว้านซื้อที่ปิดจมูกอยู่ ทั้งที่เอาเข้าจริงเราก็ไม่สามารถสวมมันเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันได้ตลอดเวลา เพราะของมันมีไว้กันชั่วคราว ไม่ได้มีไว้ให้ใช้ชีวิต Yu Shuhong หนึ่งในทีมนักวิทยาศาสตร์จาก USTC (University of Science and Technology of China) เปิดเผยความสำเร็จในครั้งนี้ในวารสาร iScience ว่ามุ้งลวดอัจฉริยะที่พวกเขาคิดค้นสำหรับติดตั้งนี้ ซึ่งช่วยป้องกันมลพิษโดยเฉพาะ PM 2.5 ที่พวกเรากำลังนอยด์ได้สูงถึง 99.65 %! มุ้งลวดนี้สร้างขึ้นจากการถักทอของ Ag-nylon ที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพสามารถดักจับ PM 2.5
ทุกวันนี้เรื่องการเขียนด้วยปากกาดินสอ ถ้าไม่นับการเซ็นบัตรเครดิตก็แทบไม่ค่อยได้ใช้งานกันเท่าไหร่ เนื่องจากนวัตกรรมส่วนใหญ่มันอำนวยความสะดวกให้เราเหลือเกิน ทั้งการเขียนผ่านเสียง หรือการขยับนิ้วพิมพ์แล้วมีโปรแกรมช่วยสะกดเดาข้อความให้ก่อนที่เราจะพิมพ์เสร็จ ประกอบกับการรณรงค์ paperless เพื่อช่วยเรื่องภาวะโลกร้อนด้วย สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเหตุผลให้นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนอยากเข้ามาพัฒนานวัตกรรมกระดาษมหัศจรรย์ขึ้น ล่าสุดวารสาร ACS Applied Materials and Interfaces ได้ตีพิมพ์เรื่องนวัตกรรมกระดาษมหัศจรรย์ รีเฟรชตัวเองให้เขียนได้ไม่หยุดและไม่ต้องขยำลงถัง โดยเป็นผลงานการวิจัยของทีมนักวิจัยชาวจีน นำโดย Luzhuo Chen หนึ่งในผู้นำทีมวิจัยจาก Fujian Normal University ใช้หลักการที่เราคล้ายกับหมึกลบได้ โดยเอาเรื่องอุณหภูมิมาเป็นกุญแจสำคัญในการประดิษฐ์ ด้วยการนำกระดาษธรรมดามาเคลือบด้านหนึ่งด้วยสาร thermochromic (สารที่เปลี่ยนสีเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยน) ย้อมสีน้ำเงิน นำมาเคลือบกระดาษด้านหนึ่ง และเคลือบผิวด้านอื่น ๆ ด้วยผงหมึกสีดำจากเทคนิค Photothermal ที่ใช้วิธีซับแสงเป็นพลังงานความร้อน หลักการใช้งานจะเป็นการใช้กระดาษใบนี้ร่วมกับ heat-emitting pen (ปากกาความร้อนหรือปากกาแสง) จากนั้นเมื่อหมึกได้รับความร้อนจะเปลี่ยนสีบริเวณที่ถูกย้อมให้สว่างขึ้น เผยให้เห็นผิวกระดาษสีขาวด้านล่าง ซึ่งในอนาคตมันจะสามารถใช้งานได้กับเครื่องปรินต์แสง ทำให้เราประหยัดหมึกไปในคราวเดียว ทีเด็ดที่มันทำได้เหนือกว่านวัตกรรมในอดีตก็อยู่ที่การจัดการให้อยู่ได้นานและจำนวนครั้งที่ใช้งานได้ซึ่งพอเห็นแล้วออฟฟิศเราก็อยากอุดหนุนเหมือนกัน เพราะนักวิจัยเขาประดิษฐ์ให้มันสามารถเก็บไว้ระยะเวลานานสุด ๆ โดยกว่าข้อความหรือภาพจะลบเลือนกลับไปเป็นสีฟ้าทั้งแผ่นจะต้องเจอกับอุณหภูมิที่เย็นถึง 14 องศาฟาเรนไฮน์ หรือ 10 องศาเซลเซียส ซึ่งแน่นอนว่าเราเก็บไว้ในออฟฟิศได้สบาย ๆ
“พบกันน้อยนิด..จากกันเนิ่นนาน” วลีอมตะจากนวนิยายเรื่อง 8 เทพอสูรมังกรฟ้า หนึ่งในผลงานขึ้นหิ้งของ ‘กิมย้ง’ คงจะเข้ากับเหตุการณ์ตอนนี้ที่สุด เพราะเขาในวัย 94 ปี ก็ได้เริ่มต้นการจากกันเนิ่นนานกับยุทธภพแห่งนี้ไปแล้วเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม (พ.ศ. 2561) ที่ผ่านมา 94 ปีแห่งชีวิต 63 ปีแห่งการสร้างยุทธภพผ่านตัวอักษร ไม่ว่าจะสรรเสริญเท่าไรก็คงไม่เพียงพอกับความยิ่งใหญ่ของบุรุษผู้นี้ เขาคือหนึ่งในผู้บุกเบิกนิยายจีนกำลังภายใน เป็นอาจารย์ของนักเขียนรุ่นหลัง สร้างแรงบันดาลใจและความบันเทิงมากมายให้กับผู้เสพงานของเขา ดังนั้นถ้าใครติดตามนามปากกากิมย้งมาตลอดจะรู้ความจริงข้อนี้ดีอยู่แล้ว คอนเทนต์นี้เราจึงอยากแนะนำกิมย้งให้นักอ่านรุ่นใหม่รู้จักกันเสียมากกว่า หลายคนมักจะอคติกับนิยายชุดกำลังภายในว่าเน้นการบรรยายพรรณาเยิ่นเย้อ อ่านแล้วรู้สึกเบื่อ ซึ่งเราก็ไม่ปฏิเสธ เมื่อก่อนเราก็เคยคิดเช่นนั้น จนกระทั่งได้ลองอ่านงานของกิมย้งอย่างจริงจัง พบว่าในสำนวนโวหารต่าง ๆ นั้นคือหมู่มวลแห่งความบันเทิงทั้งสิ้น และทุกประโยคสนทนาคือแง่คิดดี ๆ ที่สามารถนำมาปรับใช้ได้ในชีวิตจริง ถ้าไม่รู้ว่าจะเริ่มอ่านจากเล่มไหนดี เราขอแนะนำผลงานอมตะ 5 เรื่องนี้ของกิมย้งที่รับรองว่าคุณจะสนุกไปกับมันได้อย่างแน่นอน มังกรหยก คงไม่ผิดนักถ้าจะพูดว่านี่คือผลงานที่โด่งดังที่สุดของกิมย้ง โด่งดังถึงขนาดที่ว่าต่อให้คุณไม่รู้จักกิมย้งแต่คุณต้องรู้จักมังกรหยกอย่างแน่นอน เพราะผลงานซีรีส์โทรทัศน์ที่ถูกดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้อยู่คู่กับจอแก้วบ้านเรามาตั้งแต่จำความได้ ในส่วนของเนื้อหา มังกรหยกแบ่งเรื่องราวทั้งหมดออกเป็น 3 ภาค โดยในภาคปฐมบทเล่าถึงแผ่นดินจีนที่กำลังเสื่อมโทรม ประชาราษฎร์ยากแค้น ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง ก่อนการปรากฏตัวของ ‘ก๊วยเจ๋ง’ เด็กหนุ่มที่เติบโตขึ้นมาในดินแดนของมองโกลก่อนจะเดินทางกลับสู่ยุทธจักรจีน ก๊วยเจ๋งหมั่นฝึกฝนวิชามากมาย เป้าหมายคือขับไล่พวกมองโกลจากแผ่นดินจีน
ถ้าจะยกให้ใครเป็นเจ้าแห่งการประดิษฐ์และเทคโนโลยีแล้วล่ะก็ หนึ่งประเทศมหาอำนาจตะวันออกที่ทั่วโลกห้ามมองข้ามเด็ดขาดคงหนีไม่พ้นประเทศจีนอย่างแน่นอน เพราะเขาประดิษฐ์ “เก่ง” ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ซึ่งล่าสุดเก่งกาจขนาดประดิษฐ์ดวงจันทร์เพื่อยิงขึ้นไปบนท้องฟ้าเป็นของตัวเองแล้ว พระจันทร์เทียมดวงใหม่นี้สร้างขึ้นจากดาวเทียม มีกำหนดการจะแตะท้องฟ้าเหนือเมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน ประเทศจีน ด้วยการยิงขึ้นไปบนท้องฟ้าและปล่อยให้มันลอยค้างอยู่บนชั้นบรรยากาศ ส่องแสงลงมายังเมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเฉิงตูในปี 2020 People’s Daily สื่อท้องถิ่นของจีนได้ระบุเหตุผลในการออกแบบพระจันทร์เทียมครั้งนี้ว่า “ออกแบบขึ้นเพื่อเติมเต็มท้องฟ้ายามค่ำคืน” ซึ่งนักพัฒนากับศูนย์วิทยาศาสตร์และสถาบันเทคโนโลยีการบินและอวกาศของเฉิงตูอ้างว่ามันน่าจะให้แสงที่สว่างกว่าพระจันทร์ธรรมชาติถึง 8 เท่า กล่าวคือการเรืองแสงของพระจันทร์เทียมนี้จะสามารถส่องสว่างทั่วพื้นได้ในระยะเส้นผ่าศูนย์กลาง 1080 กิโลเมตรและสามารถควบคุมความแม่นยำของแสงได้ในระยะ 10 เมตรเพื่อทดแทนดวงไฟบนท้องถนนเลยทีเดียว ไอเดียสร้างพระจันทร์ยักษ์เป็นของตัวเองครั้งนี้ People’s Daily เผยว่าได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปินฝรั่งเศสที่จินตนาการการแขวนสร้อยคอกระจกทรงกลมเหนือโลกที่ทำให้มันสามารถสะท้อนแสงจากพระอาทิตย์สาดลงสู่ถนนทุกสายในปารีสตลอดทั้งปี แม้นี่จะเป็นอีกหนึ่งสิ่งประดิษฐ์มหัศจรรย์ที่ทำให้หลายประเทศเห็นข่าวแล้วต้องร้องว้าว! แต่ท่ามกลางความก้าวหน้าด้านสิ่งประดิษฐ์ครั้งใหญ่ของจีนที่มีต่อการเอาชนะธรรมชาติในครั้งนี้ บางคนได้ออกมาให้ความเห็นในเชิงลบมากกว่าบวก โดยพวกเขามองว่าแสงเทียมเหล่านี้น่าจะสร้างผลกระทบใหญ่หลวงต่อระบบนิเวศ เช่นเดียวกับฟากของนักดาราศาสตร์เองก็อาจจะไม่ค่อยปลื้มนักเพราะเป็นการสร้างมลภาวะทางแสง (Light Pollution) ทุกวันนี้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็วไม่เพียงทำให้เราสะดวกสบายขึ้น แต่ก็สร้างความกังวลเพิ่มขึ้นไม่แพ้กัน สุดท้ายสิ่งที่เราทุกคนต้องตั้งคำถามคงไม่ใช่การหยุดพัฒนาหากเป็นการสร้างขอบเขตของการนำสิ่งที่พัฒนามาใช้งานให้ชัดเจนยิ่งขึ้นเพื่อประโยชน์ในองค์รวม เราจะจับจองดวงดาว หรือเป็นเจ้าของท้องฟ้าทำไม ถ้าปลายทางของมันคือการทำร้ายซึ่งกันและกัน SOURCE: 1 / 2 / 3