“เออ…ก็อยากทำนะ แต่ว่ายังไม่กล้าขนาดนั้น” เวลาเราเผชิญหน้ากับอะไรสักอย่างที่มันไม่มีอะไรมาการันตีความสำเร็จ 100 % เรามักจะหลุดประโยคนี้มาเสมอ ว่าสนใจแต่ไม่อยากเสี่ยงเพราะถ้าเผลอทำอะไร ๆ ตามที่คิดไว้แล้วออกมาผิดพลาด ความซวยต้องมาเยือนแน่นอน ดังนั้น ปัญหาใหญ่วันนี้ที่เจอกันแทบทุกคนคือ การรออะไรสักอย่างมา spark joy พอที่จะทำให้ลุกไปทำตามฝัน หรือทำตามสิ่งที่คิด Amy Morin นักจิตวิทยาเผยว่าเธอมักจะถามคนที่เปิดประตูเข้ามาปรึกษาเพื่อหาหนทางพิชิตเป้าหมายว่า “คุณคิดว่าควรจะทำยังไงให้มันสำเร็จตามเป้า” คำตอบเดิมซ้ำ ๆ ที่ได้ยินจากปากแทบจะทุกคนเลยคือ “พัฒนาความมั่นใจ” “ผมอยากมั่นใจขึ้นเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง” “ฉันอยากรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นจะได้กลับไปโรงเรียน” จุดประกายที่อยากเปลี่ยนแปลงนั้นน่าชื่นชม แต่ Amy Morin บอกว่าปัญหาอยู่ที่คำตอบต่างหากที่ผิดสเตปไปหน่อย ความจริงคนเราจะคว้าเป้าหมายได้ไม่ควรรอให้มั่นใจก่อนแล้วค่อยทำ แต่ความมั่นใจมันจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเรา take action หรือลงมือทำต่างหาก ซึ่งพูดน่ะมันง่ายแต่พอจะทำมันยากมา ถ้าทุนเดิมเราไม่ได้รู้สึกดีกับตัวเองสักเท่าไหร่ ชาว UNLOCKMEN คนไหนที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วกำลังรู้สึกว่า เราเลยนี่หว่า ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะเรารวบรวมวิธีที่นักจิตวิทยาแนะนำมาไว้ด้านล่างเพื่อ follow ตามแล้ว ลงมือเลย มีใครเคยพยายามคิดบวกเยอะ ๆ แล้ว แต่ยังย่ำอยู่กับที่ไหม? ไอ้ที่เราเคยใช้วิธีพูดกับตัวเองว่า “เราเก่ง” “เรามั่นใจ”
“ความมั่นใจ”เป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งที่ถ้าใครสักคนมีมันอยู่ในตัวก็จะได้รับการยอมรับทั้งในโลกแห่งการทำงานและโลกแห่งการปฏิสัมพันธ์ แต่หลายครั้งความมั่นใจในตัวเองกับความบ้าอำนาจหรือหลงตัวเองก็มีเส้นกั้นบาง ๆ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นคนที่มีความมั่นใจแบบถึงแก่นหรือที่แท้เราแค่บ้าอำนาจและหลงตัวเองเท่านั้น ? ไม่ต้องคิดให้เหนื่อย ลองสำรวจตัวเองจาก 12 สิ่งต่อไปนี้ เพราะนี่คือ 12 สิ่งที่มนุษย์มีความมั่นใจถึงแก่นแตกต่างจากคนทั่วไป มีความสุขจากภายใน ความสุขคือปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของความมั่นใจ เพราะมนุษย์ที่มั่นใจในตัวเองแบบถึงแก่นนั้นไม่ว่าเขาเลือกจะทำอะไรเขาย่อมคำนึงถึงความสุขของตัวเองเสมอว่าสิ่งที่เขาทำลงไปมันส่งผลให้เขาพอใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็นหรือเปล่า ดังนั้นคนที่มั่นใจในตัวเองนั้นมีความสุขมาจากตัวตนของตัวเอง เขารู้ดีว่าสิ่งที่เขาทำไปมันมีค่าให้ตัวเขาเองชื่นชมตัวเองหรือไม่ ถ้าเขารู้สึกว่านี่ดีกับตัวเขาเองแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องรอฟังคำชมจากคนอื่นเพื่อให้ตัวเองมีความสุขอีกต่อไป ไม่ตัดสินคนอื่น มนุษย์ที่มั่นใจในตัวเองอย่างถึงแก่นจะไม่ใช้มาตรฐานตัวเองเป็นมาตรวัดตัดสินคนอื่น ๆ เพราะเขารู้ดีว่ามนุษย์ทุก ๆ คนมีบางสิ่งบางอย่างในตัวเองที่เป็นจุดพีค และแต่ละคนไม่จำเป็นต้องมีเหมือนกัน ดังนั้นเขาจะไม่บอกว่าตัวเองเหนือกว่าใคร หรือตัดสินใครว่าต่ำกว่าใคร เพื่อยกระดับความสามารถตัวเองให้ดูดี คนที่ตัดสินคนอื่นหรือมัวแต่เปรียบเทียบอาจจะไม่ได้มั่นใจอย่างที่เขาแสดงออก แต่ตัวตนเขาแสนเปราะบาง ไม่ตอบตกลงมั่ว ๆ แต่จะตอบเมื่อตัวเองต้องการ งานวิจัยจาก University of California ระบุว่าการที่มนุษย์คนหนึ่งไม่กล้าปฏิเสธคนอื่น นั่นแปลว่าคนนั้นกำลังเผชิญหน้ากับภาวะสุดตึงเครียด หมดไฟ หรือแม้กระทั่งซึมเศร้า ในขณะที่มนุษย์ที่มีความมั่นใจถึงแก่นรู้ดีว่าการรู้จักปฏิเสธในสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการนี่แหละที่ดีต่อตัวเอง ที่สำคัญคือพวกเขารู้ว่าตัวเองต้องการอะไรมากพอที่รู้ว่าเรื่องไหนมันต้องปฏิเสธ และเรื่องไหนคือเรื่องที่พวกเขาเต็มใจทำจริง ๆ ไม่ใช่ตอบตกลงส่ง ๆ แค่เพราะเกรงใจคนอื่น หรือตอบตกลงแค่เพราะกลัวคนอื่นไม่ชอบขี้หน้า ฟังมากกว่าพูด มนุษย์ที่มีความมั่นใจถึงแก่นจะฟังมากกว่าพูด เพราะพวกเขารู้ว่าการฟังมากกว่าพูดทำให้เขาเรียนรู้และเติบโตขึ้น และเขาไม่ได้มองว่าวงสนทนาเป็นสถานที่ที่มีไว้อวดว่าใครฉลาดกว่าใคร หรือใครรู้อะไรมากกว่าใคร แต่เขามองว่าวงสนทนาคือสถานที่ที่มีไว้เพื่อปฏิสัมพันธ์กับผู้คน
สำหรับผู้ชายขี้อายหลายคน อาจจะรู้ตัวกันอยู่แล้วว่าเรามันขี้อายแค่ไหน แต่เราไม่เคยรู้เลยว่าอะไรที่มันยังฉุดรั้งเราไว้ ทำให้เราก้าวข้ามความขี้อายไปไม่ได้ซะที ให้มองจากมุมของตัวเองมันก็ยาก เหมือนอะไรที่มันอยู่ใกล้มาก ๆ เรามักจะมองไม่เห็น ลองมาสำรวจตัวเองกับ UNLOCKMEN ที่จะพามาดูจุดอ่อนของหนุ่มขี้อาย ที่เป็นเหมือนกับดักที่ทำให้เราก้าวข้ามไปไม่ได้สักที มาดูกันว่าเรามีข้อไหนบ้าง แล้วกำจัดมันไปให้พ้นทาง อาจถึงเวลาที่เราจะได้เฉิดฉายสลัดภาพหนุ่มขี้อายออกไปได้แล้ว เอาแต่เก็บไอเดียดี ๆ ไว้กับตัวเอง ไม่ต้องตกใจไป มันเป็นปกติของหนุ่มขี้อายเอามาก ๆ หลายคนก็เป็นแบบนี้นี่แหละ เราอาจพลาดการแชร์สกิล โชว์ความเจ๋งของตัวเองหรือความรู้ดี ๆ ไป เพราะความไม่มั่นใจในตัวเอง ที่ทำให้เราคิดว่าคนอื่นเขาก็รู้เหมือนเรานั่นแหละ หรือคนอื่นเขาไม่ได้อยากจะรู้เรื่องของเราสักหน่อย เราไม่จำเป็นต้องพูดออกไปหรอก ถ้าทำแบบนี้อยู่ รีบเลิกแบบด่วน ๆ เพราะการคิดแทนคนอื่น มันไม่เวิร์คเอาซะเลย โดยเฉพาะการทำงานแบบ teamwork การหยิบไอเดียของตัวเองออกมาให้คนอื่นได้เห็นของดีที่ซ่อนอยู่ในตัวเรา อย่ามัวคิดว่าคนอื่นเขารู้อยู่แล้วว่าเราคิดอะไรอยู่ ไม่มีใครรู้หรอกจนกว่าเราจะพูดออกมา คิดเยอะอย่างเดียว แต่ไม่บอกความต้องการของตัวเอง มันง่ายแหละที่จะปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งลงไปในปัญหา โดยไม่คิดแก้อะไร แค่ปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามอารมณ์แบบนั้น ไม่ทำแม้กระทั่งถามตัวเองว่าจริง ๆ ต้องการอะไร หากมีปัญหาแค่กับเรื่องส่วนตัว ตีกันในหัวตัวเอง มันไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก หากมีปัญหาที่ต้องดีลกับคนอื่นด้วย แต่ไม่กล้าที่จะบอกไปตรง ๆ ว่าตัวเองต้องการอะไร ปล่อยให้คนอื่นเดาเอาเอง หรือเออออไปตามสถานการณ์ มันก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
ออกไปพบเจอผู้คน เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอนาน เจอเพื่อนในออฟฟิศ หรือสถานการณ์ใด ๆ ก็ตามที่ทำให้หนุ่มขี้อายอย่างเราต้องไปเจอคนแปลกหน้าเยอะ ๆ มันทำให้รู้สึกประหม่าแบบบอกไม่ถูก โดยเฉพาะถ้าต้องไปสานสัมพันธ์ พูดคุย ทำความรู้จักกับใคร ยิ่งทำให้ประหม่ากันเข้าไปใหญ่จนทำอะไรไม่ถูกเลยก็มี UNLOCKMEN อยากจะขอชวนหนุ่มขี้อาย มาสลัดคราบหนุ่มพูดน้อย คอยหลบมุมออกไป มาสร้างความมั่นใจไปด้วยกันกับ 5 เทคนิคเจ๋ง ๆ ที่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เรา แบบค่อยเป็นค่อยไปทีละ Step ออกไปเจอสถานการณ์ชวนประหม่าคราวหน้า เราจะได้เป็นหนุ่มที่มาพร้อมบุคลิกสุดมั่นใจ ไม่ต้องคุยไปหลบตาไปอีกต่อไปเลย ไม่ต้องกังวลไป ถ้าไม่ได้มั่นใจตลอดเวลา เปิดข้อแรกมาก็ดูงง ๆ แล้ว ตกลงจะให้มั่นใจหรือไม่มั่นใจดี เอาเป็นว่ามาฟังกันก่อน เรารู้ว่าหนุ่มขี้อาย ถ้าจะมาถึงบอกให้มั่นใจเลยมันทำไม่ง่าย (ถ้าง่ายก็เลิกขี้อายไปนานแล้ว) เราเลยอยากจะแนะนำแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่างแรกคือไม่อยากให้กังวลว่าทำไมเราถึงมั่นใจตลอดเวลาไม่ได้ เพราะความเป็นจริงมั่นไม่มีใครมั่นใจตลอดเวลาไงล่ะ เราต้องมีเวลาลังเล มีเวลาหยุดคิดกันบ้าง การลังเลใจ ไม่มั่นใจในบางอย่าง มันชี้ให้เห็นว่าตรงไหนคือจุดอ่อนของเราที่ทำให้เรายังรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง มันเลยเป็นเหมือนเข็มทิศที่ชี้จุดอ่อนให้เราเห็น ว่าเรายังมีจุดอ่อน ต้องปรับปรุงตรงไหน ต้องเรียนรู้อะไรเพิ่ม และไอ้จุดอ่อนของเราเนี่ย หากเราจับจุดมันได้แล้วว่ามันคือตรงไหน แล้วจะแก้ยังไง อาจช่วยผลักดันให้เราได้ไอเดียเจ๋ง ๆ อย่าง “ให้คนอื่นเห็นไปเลย
คุณว่าที่มาของ “อำนาจ” ที่ทำให้คนแต่ละคนแตกต่างกันคืออะไรหากไม่นับรวมต้นทุนที่บางคนคาบติดตัวมาตั้งแต่เกิดอย่างทรัพย์สินเงินทอง ถ้าคำตอบของคุณคือ “ความสามารถ” หรือทักษะที่เราจะวัดกันจากผลงานอย่างเดียวมันก็ออกจะเป็นการฝันกลางวันไปหน่อย เพราะในโลกความเป็นจริง “คนเก่ง” ที่ไม่ได้ไปต่อ กองตายเกลื่อนมีอยู่เป็นกองทัพเพราะขาดสกิลสำคัญคือ “การนำเสนอความเก่ง” หรือ “การสร้างอำนาจจากคำพูด” กว่าจะได้แสดงความเก่งสู่สายตา “คำพูด” มันจึงต้องผ่านด่านก่อน เพื่อให้ชาว UNLOCKMEN ไต่อันดับขึ้นไปท็อปฟอร์ม โดดไปอยู่แนวหน้าที่พูดอะไร แบบไหนใครก็ฟังก็เชื่อ เราคัดวิธีสร้างความมั่นใจมาให้ทดสอบด้วยตัวเองกันแล้ว บอกเลยว่างานนี้ดึง insight มาจากการวิเคราะห์เหล่า CEO ที่เคยให้ข้อมูลกับการนำเสนอของ IPO road-show หรือการขายหุ้นสดใหม่ที่ไม่มีใครสามารถพยากรณ์ได้ว่ามันรุ่งหรือร่วง ซึ่งแค่ 30 วินาที นักลงทุนก็รู้ทันทีว่าคำพูดพวกนั้นจะแหกกระเป๋าพวกเขาไปได้หรือเป็นแค่เรื่องแหกตาปาหี่ จากปัจจัยการมองเพียง 5 อย่างนี้เท่านั้น ชุดเนี้ยบกว่าคนทั้งห้อง 25 % เลิกพูดเถอะว่าแต่งตัวยังไงก็ไม่สำคัญ หากกางเกงเจเจหรือขาก๊วยที่สวมมามันไม่ได้ยัดเงินตุงมาเต็มกระเป๋ากางเกง เพราะทันทีที่เดินก้าวเข้ามาในห้องเพื่อจะพูดนำเสนออะไรก็ตาม คนเขาก็มองและตัดสินคุณตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้ว เพราะฉะนั้นความประทับใจแรกและความเป็นมืออาชีพเลยเกาะอยู่ตามเสื้อผ้า ซึ่งคีย์สำคัญมันอยู่ที่ 25% ที่คุณต้องบวกมันเพิ่มขึ้นมาให้เหนือกว่าคนทั้งห้อง ต้องมีสไตล์กว่า ต้องเป็นทางการกว่า นั่นคือการช่วงชิงความเชื่อที่ดีได้ EXPERT RECOMMEND: Matt Eversmann
แม้แทบทุกคนจะเห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่าอย่าดูคนแค่ภายนอก แต่ใช่ว่าเราจะมีเวลา มีโอกาสในการเรียนรู้นิสัยใจคอใครต่อใครได้ทุกคน ยิ่งในกรณีที่พบเจอกันเป็นครั้งแรกยิ่งแล้วใหญ่ เพราะมีการวิจัยออกมาว่า ก่อนที่จะได้พูดคุยทำความรู้จักกันดีพอ มนุษย์ก็ใช้ประสบการณ์จากบุคลิก รูปลักษณ์ภายนอก มาเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบเจอกันไปแล้วเรียบร้อย โดยระยะเวลาในการประเมินก็จะแตกต่างออกไป แบบฉับไวก็เริ่มตั้งแต่แว้บแรกทันทีที่เห็นหน้า ไปจนถึงราว ๆ ครึ่งนาที แต่โดยเฉลี่ยมนุษย์จะใช้เวลาแค่ไม่เกิน 7 วินาทีเท่านั้น ในการตัดสิน ให้คะแนนความน่าไว้ใจ ความน่าพูดคุย น่าคบหา ต่อบุคคลที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ ที่เราอยากให้ชาว UNLOCKMEN นำช่วงเวลา 7 วินาทีอันแสนมีค่า ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ เพราะถ้ารู้กลยุทธ์การสร้างความประทับใจให้ตรงจุดตั้งแต่ 7 วินาทีแรก ก็เปรียบเสมือนเรามีกุญแจดอกสำคัญที่จะนำไปปลดล็อคกำแพงในจิตใจ เพิ่มแต้มต่อด้วยการสร้าง First Impression ให้ประทับใจผู้คนทั้งหลายที่เราต้องพบเจอกันเป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นการพบปะลูกค้า, เจรจาธุรกิจ, สัมภาษณ์งาน, สร้างมิตรใหม่, หรือเข้าหาผู้ใหญ่ในเหตุการณ์สำคัญ ใครจะไปรู้ว่า เวลาแค่ 7 วินาที อาจจะนำพาไปสู่โอกาสอันยิ่งใหญ่ในอนาคตได้ง่ายขึ้น เคล็ดวิธีในการสร้าง First Impression นั้นทำได้ไม่ยาก Amy Cuddy ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาสังคมจากมหาวิทยาลัย Harvard