บอกเลยว่าการเว้นระยะห่างจากสังคม (Social Distancing) นั้นดูเด็กไปเลยถ้าเทียบกับการห้ามเดินทางเข้า-ออกและปิดเมือง (Lockdown) แม้มาตรการนี้จะสร้างขึ้นเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ช่วยชีวิตผู้ป่วยมหาศาล และลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่อีกด้านหนึ่งมาตรการดังกล่าวก็ทำให้หนุ่ม ๆ หลายคนต้องจมปลักอยู่ที่บ้าน ไม่ได้พบปะสังสรรค์กับผู้คน และขาดการปฏิสัมพันธ์ทางกายภาพอย่างชัดเจน ซ้ำร้ายเมื่อผู้นำประเทศประกาศปิดเมืองอย่างจริงจัง ยิ่งทำให้มวลความเหงาแทรกซึมไปทั่วทุกพื้นที่แบบไร้อาณาเขต จนผู้ชายบางคนถูกความเหงากัดกินและรันโรมโจมตีจิตใจเข้าอย่างจัง ความเหงาเป็นเหมือนช่องว่างตรงกลางระหว่างสิ่งที่เราต้องการจากคนอื่นกับสิ่งที่เราได้รับจากคนอื่น เมื่อเราต้องการบางสิ่งบางอย่างจากเพื่อน ครอบครัว หรือคนรัก แต่กลับไม่ได้รับสิ่งนั้นมักจะทำให้เรารู้สึกเหงาขึ้นมาดื้อ ๆ แต่ระหว่าง ‘ความเหงา’ กับ ‘สภาวะโดดเดี่ยวทางสังคม’ มีเส้นบาง ๆ กั้นอยู่ ขณะที่ความเหงานิยามถึงความรู้สึกฟุ้งซ่านอันเนื่องมาจากการอยู่คนเดียวและไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้อื่น สภาวะโดดเดี่ยวทางสังคมกลับเกิดขึ้นต่อเมื่อเราขาดการติดต่อจากผู้อื่นเป็นระยะเวลานาน ซึ่งนั่นไม่ได้แปลว่าเราต้องรู้สึกเหงาเสมอไป แต่น่าแปลกที่มาตรการเว้นระยะห่างจากสังคม (Social Distancing) รวมทั้งมาตรการปิดเมือง (Lockdown) เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส COVID-19 กลับทำให้ใครหลายคนรู้สึกเหงาได้เหมือนกัน เพราะ ‘ความเหงา’ ไม่ใช่เรื่องเล็ก เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องอยู่รวมกัน เมื่อต้องแยกห่างจากกันเป็นระยะเวลานานแล้วทำให้รู้สึกเหงาก็คงไม่แปลกอะไร แต่มวลความเหงาที่ก่อตัวขึ้นในช่วงนี้นั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก ถึงขั้นที่รัฐบาลอังกฤษต้องแต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความเหงา (Minister for Loneliness) อย่างเป็นทางการ เพื่อจัดทำกลยุทธ์บรรเทาความเหงาของประชาชนและสนับสนุนโครงการที่สร้างการเชื่อมต่อระหว่างประชาชนในช่วงที่ไวรัส COVID-19
ต้องยอมรับว่าจิตสำนึกและความรับผิดชอบต่อสังคมที่เป็นปัจเจกบุคคลอาจยังไม่พอทุเลาสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 การกระตุ้นและรณรงค์ผ่านสื่อออนไลน์จึงเป็นอีกเครื่องมือช่วยเปลี่ยนปรับพฤติกรรมที่ใช้ได้ผล ทว่าบางครั้งข้อมูลที่ประชาชนได้รับเป็นทางการมากเกินไป ใช้ศัพท์วิชาการที่เข้าใจได้เฉพาะกลุ่ม หรืออัดแน่นเบียดเสียดไปด้วยตัวอักษรที่มักจะทำให้ใครหลายคนไม่อยากคลิกเข้าไปอ่าน งานดีไซน์เจ๋ง ๆ ที่ทำให้คนเข้าใจไวรัสง่ายกว่าเดิม ต่อให้ใช้ข้อมูลเดียวกันและส่งไปยังกลุ่มผู้อ่านที่ต่างกัน ก็ไม่อาจรับประกันว่าผู้รับสารที่เป็นทั้งเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน และผู้สูงอายุจะเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดในทิศทางเดียวกันได้ เหล่าศิลปินและนักออกแบบจึงผลิตผลงานสุดสร้างสรรค์เพื่อรณรงค์และแนะนำวิธีการใช้ชีวิตอย่างถูกต้องในช่วงที่ไวรัสแพร่ระบาด พวกเขานำความคิดสร้างสรรค์ผนวกเข้ากับสัญลักษณ์ รูปภาพ ตัวอักษร และการจัดองค์ประกอบเพื่อสื่อความหมายเชิงทัศนศิลป์ และช่วยให้ผู้รับสารเข้าใจเนื้อหาสาระทั้งหมดที่ต้องการสื่อได้ง่าย ๆ เพียงตาเห็น ภาพเคลื่อนไหวจำลองพลังของเชื้อไวรัส Harry Stevens จากหนังสือพิมพ์ The Washington Post จำลองภาพโมชั่นกราฟิกให้เห็นถึงพลังของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งประชาชนอยู่ใกล้ชิดกันในพื้นที่สาธารณะมากเท่าไร ยิ่งทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายง่ายขึ้นมากเท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นตามมาได้ นี่เป็นอีกหนึ่งผลงานดีไซน์ที่ตอกย้ำว่า Social Distancing หรือการเว้นระยะห่างจากสังคม ยังเป็นเรื่องสำคัญเสมอตราบเท่าที่เราไม่อาจมองเห็นเชื้อไวรัสด้วยตาเปล่า หรือยังไม่มีวัคซีนจำนวนมากพอจะยับยั้งไวรัสได้อย่างขาดรอย ภาพประกอบสุดกวนที่เล่าอาการของผู้ติดเชื้อ ผู้สื่อข่าวสายข้อมูลชาวอังกฤษ Mona Chalabi โพสต์ภาพวาดประกอบของเธอลงใน Instagram ส่วนตัวเพื่ออธิบายอาการของผู้ติดเชื้อ COVID-19 แบบเข้าใจง่าย เธอใช้ภาพวาดสุดกวนที่ดูตลกและสร้างสรรค์ในเวลาเดียวกันสื่อความหมายว่าอาการผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ต่างจากผู้ป่วยโรคไข้หวัดอย่างไร แถมสีสัน สายเส้น และฟอนต์ตัวอักษรที่เธอเลือกใช้ก็ไม่ได้ดูหดหู่หรือเคร่งเครียดเกินไปด้วย ไม้ขีดไฟที่ไม่ถูกเผาไหม้
ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 และจำนวนผู้ติดเชื้อที่ทะยานสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่แปลกถ้าผู้ชายบางคนจะรู้สึกวิตกกังวล ไม่เป็นอันกินอันนอน และตื่นกลัวทุกสิ่งอย่าง ไหนจะข่าวสารที่น่าหดหู่ ผู้คนบางตารอบตัว หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนที่เปลี่ยนไป คล้ายกับอุปาทานหมู่ที่ทำให้เราวิตกตามไปด้วย แต่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างตอนนี้ กลับเป็นช่วงที่เราต้องมีสติและเข้มแข็งมากที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าคุณปล่อยให้อารมณ์วิ่งพล่านและอาละวาดโดยปราศจากการควบคุม อาจทำให้สถานการณ์ที่แย่อยู่แล้วย่ำแย่ลงไปอีก วันนี้ UNLOCKMEN เลยจะมาบอกวิธีควบคุมและจัดการกับอารมณ์ของตัวเองไม่ให้กระเจิดกระเจิงไปไหนไกล เพื่อให้คุณยังมีสติ เข้มแข็ง และยืดหยัดอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ต่อไปได้ รู้จักอารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้น วิธีพื้นฐานในการควบคุมจัดการกับอารมณ์ตัวเอง เริ่มจากคุณต้องรู้ก่อนว่าตอนนี้อารมณ์แบบไหนกำลังเกิดขึ้นกับคุณอยู่ หากสามารถจำแนกและบอกได้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร แปลว่าคุณมีสติและควบคุมอารมณ์ได้ในระดับหนึ่งแล้ว นอกจากนั้นการรู้จักอารมณ์ยังช่วยจัดการกับอารมณ์เชิงลบและลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับตัวคุณได้ เช่น ถ้าคุณรู้สึกวิตกกังวลกับการแพร่ระบาดของไวรัส ความกังวลของคุณจะอยู่บนพื้นฐานของความคิดและเหตุผล คุณจะไม่กระวนกระวายเหมือนคนอื่น ๆ หากมีสติและพร้อมแก้ไขปัญหาอย่างชาญฉลาด ช่วยเหลือคนรอบตัว แม้คุณสามารถจำแนกและควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ แต่เชื่อว่ายังมีคนในครอบครัวหรือคนรอบตัวอีกมาก ที่ไม่อาจจัดการกับอารมณ์ต่าง ๆ นานาได้อย่างคุณ คุณจึงต้องช่วยนำทางพวกเขาหรือแบ่งปันอารมณ์ร่วมกัน ว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้างและพอมีวิธีไหนจะทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นได้บ้าง ถ้าความวิตกกังวลเรื่องไวรัส COVID-19 เป็นอุปาทานหมู่ที่ทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกแย่ตามไปด้วย การมีสติ เข้มแข็ง และควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ ก็สามารถกลายเป็นอุปาทานหมู่ที่ส่งต่อไปยังคนอื่นได้เช่นกัน ไม่ต่างจากเรื่องไวรัส จดจ่อสิ่งที่ทำได้ คุณอาจไม่สามารถไปยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสในวงกว้างได้ แต่เราอยากให้คุณมุ่งเน้นในเรื่องที่คุณทำได้และทำมันให้ดีที่สุด เช่น
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโคโรนาไวรัส (Coronavirus) เป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่คนทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ หลังจากแพร่ระบาดที่เมืองอู่ฮั่นและกระจายตัวในวงกว้างมาร่วมสามเดือน ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 250 รายในประเทศจีน และเชื้อไวรัสนี้ก็กำลังระบาดไปยังอีก 20 ประเทศทั่วโลก จนองค์การอนามัยโลก (WHO) ต้องออกมาประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขโลก ไม่เพียงสร้างความตื่นตัวให้กับผู้คน หากยังสร้างความหวาดกลัวและวิตกกังวลในเวลาเดียวกัน สิ่งเดียวที่ทำได้คือเรียนรู้ ตระหนัก และป้องกันตัวเองด้วยการใส่มาสก์ตลอดจนหมั่นล้างมือให้สะอาด แต่นั่นคงไม่เพียงพอที่จะต่อสู้กับเชื้อไวรัสที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า ติดต่อได้ผ่านคน และปะปนอยู่แทบทุกที่รอบตัวเรา Sun Dayong สถาปนิกชาวจีนหนึ่งในผู้ก่อตั้งสตูดิโอออกแบบ Penda ก็รู้สึกได้ถึงผลกระทบของโคโรนาไวรัสและคิดหาไอเดียต่าง ๆ เพื่อป้องกันผู้คนจากเชื้อไวรัสที่กำลังแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องในตอนนี้ เนื่องจากโคโรนาไวรัสและโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่อาจมีจุดเริ่มต้นมาจากค้างคาว และสถาปนิกรายนี้ก็เชื่อว่าค้างคาวเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของร่างกายได้อย่างน่าทึ่ง โดยขณะที่บินอุณหภูมิร่างกายของพวกมันสามารถพุ่งสูงถึง 40 องศาเซลเซียสได้ และลดลงอย่างรวดเร็วขณะที่หยุดพัก Sun Dayong จึงนำเรื่องราวของค้างคาว ซูเปอร์ฮีโร่ที่ข้ามขีดความสามารถมนุษย์ และการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิมาผนวกเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็น ‘Be a Bat Man’ เสื้อเกราะสุดเจ๋งที่ใช้รังสีอัลตราไวโอเลต หรือ UV ฆ่าเชื้อไวรัส เพื่อให้ผู้สวมใส่มั่นใจได้ว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวของพวกนั้นปลอดเชื้ออย่างแท้จริง ตัวเสื้อเกราะใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เป็นหลัก ดีไซน์รูปลักษณ์ออกมาคล้าย ๆ ปีกค้างคาว ตัวปีกจะเชื่อมต่อกับฟิล์ม
ยิงกระสุน 1 นัดทำให้กี่คนเจ็บก็ไม่มากเท่าไวรัส 1 สายพันธุ์ที่ไร้การควบคุม ตั้งแต่ช่วงปลายปีจนถึงวันนี้ ข่าวการติดเชื้อและเสียชีวิตของผู้คนจาก “ไวรัสโคโรนา” มากขึ้นเรื่อย ๆ ตอกหน้าให้ประชาชาติรับรู้ว่า “หายนะ” กำลังมาเยือนถึงหน้าบ้าน มันไม่ใช่หนังซีรีส์จาก Walking Dead ที่แค่เราดูแค่บันเทิง มีซอมบี้น่ากลัวดมกลิ่นมนุษย์สักคนเจอแล้วโผเข้าใส่กัดแบบที่เรามองเห็น แต่เป็นไวรัสปริศนาที่เราแยกมันไม่ออกระหว่างผู้ติดเชื้อกับคนปกติที่เดินอยู่ทั่วไป โคโรนาไวรัสน่ากลัวกว่าซอมบี้ ไวรัสโคโรนา 2019 เป็นไวรัสที่มีสัตว์เป็นพาหะติดต่อสู่คน และปัจจุบันได้แพร่จากคนสู่คนด้วยกัน! เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นจากปลายปี 2019 หลังมีคนพบผู้เสียชีวิตชาวจีนที่มีอาการปอดบวมอย่างไรสาเหตุ ก่อนจะสืบสาวราวเรื่องไปว่ามีคนที่มีอาการแบบเดียวกันและพบเชื้อไวรัสด้านระบบทางเดินหายใจคือไวรัสโคโรนาขึ้น ทุกคนล้วนเกี่ยวข้องกับตลาดอาหารทะเลแห่งหนึ่งของจีนที่ตั้งอยู่ในเมืองอู่ฮั่น (ตลาดแห่งนี้จำหน่ายเนื้อสัตว์หลากหลายทั้งสัตว์ป่าและสัตว์ทั่วไป) ไวรัสที่พัฒนาจากการติดต่อจากข้ามสายพันธุ์ระหว่างสัตว์สู่มนุษย์ และสามารถทำให้ติดเชื้อระหว่างสายพันธุ์เดียวกัน ถือเป็นตลกร้ายที่ระบบสาธารณสุขและการแพทย์ยังเป็นเรื่องใหม่และเรื่องยาก ขณะนี้จึงยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดแบบ 100% หรือมียาต้าน เน้นเป็นการรักษาตามอาการ ซึ่งถือเป็นปกติของการรักษาเชื้อประเภทไวรัส ตามข้อมูลที่ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์เผยแพร่ ระบุว่าทีมวิจัยจุฬาฯ ถอดรหัสพันธุกรรมแล้วพบว่า ไวรัสโคโรนา 2019 (สายพันธุ์ที่ 7 ในตระกูลโคโรนา) มีความใกล้เคียงกับไวรัสที่พบใน “ค้างคาว” แต่ยังไม่พบว่าเชื้อนี้แพร่เข้าสู่คนได้อย่างไรเนื่องจากข้อมูลกลางของจีนยังไม่ได้ระบุรายละเอียด จากจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตเลขตัวเดียว ภายในช่วงเวลาไม่ถึงสองเดือน ตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็นหลักร้อย ผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็นหลักสิบ แถมยังกระจายออกนอกประเทศ