การมีบ้านพักตากอากาศสักหลังคงเป็นอีกหนึ่งความฝันของผู้ชายหลายคน เพราะคอนโดกลางใจเมืองอาจไม่ได้ตอบโจทย์ความสงบและเป็นส่วนตัวมากเท่าไรนัก บวกกับวิถีชีวิตรีบเร่งและความวุ่นวายที่หนุ่มคนเมืองต้องเจอ ทำให้บางครั้งก็อดโหยหาความสงบและส่วนตัวจากบ้านพักตากอากาศไม่ได้ UNLOCKMEN เลยอยากชวนหนุ่ม ๆ ทิ้งห่างจากป่าคอนกรีตที่ว้าวุ่นชั่วขณะ มาชมบ้านพักตากอากาศแสนสงบริมชายหาดเม็กซิกัน ที่เราเชื่อว่าคงเป็นบ้านในฝันอีกหลังของผู้ชายอย่างคุณ บ้านโทนสีอบอุ่นหลังนี้ออกแบบโดย Colectivo Lateral de Arquitectura สตูดิโอสถาปัตยกรรมสัญชาติเม็กซิกัน ที่ใช้ทำเลริมชายหาดปลายาบลองกา (Playa Blanca) ในเมืองซิฮัวตันเนโจ (Zihuatanejo) ของเม็กซิโก สร้างสถาปัตยกรรมโครงสร้างเรขาคณิตที่ดูกลมกลืนกับธรรมชาติโดยรอบ เนื่องจากชายหาดปลายาบลองกาตั้งอยู่เหนือมหาสมุทรแปซิฟิกเล็กน้อย จึงมีสภาพอากาศอบอุ่นกำลังดีบวกกับทัศนียภาพของชายหาดที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่พักผ่อนยอดนิยมของคนเม็กซิกัน บ้านพักตากอากาศหลังนี้ออกแบบผนังและหลังคาด้วยคอนกรีตผสมกับ Tepetate หรือดินเหนียวสีแดง อันเป็นวัสดุท้องถิ่นของเม็กซิโกที่ช่วยให้บ้านมีโทนสีน้ำตาลอ่อนดูอบอุ่น แม้โครงสร้างคอนกรีตจะดูทึบตัน แต่ก็เพิ่มสเปซโปร่งโล่งให้บ้านด้วยประตูกระจกบานเลื่อน และหน้าต่างกระจกทรงสูงหุ้มกรอบไม้ แถมลานรอบบ้านยังสอดแทรกพื้นที่สีเขียวเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้พักอาศัยกับธรรมชาติ บริเวณกึ่งกลางของบ้านขนาด 750 ตารางเมตร ถูกจัดสรรให้เป็นสองห้องนอนขนาดใหญ่ ทั้งยังมีห้องนั่งเล่นและห้องรับประทานอาหารแบบเปิดโล่งที่เชื่อมต่อกับห้องครัวได้ แม้บ้านหลังนี้จะเป็นบ้านชั้นเดียว แต่ก็มีบันไดมุ่งหน้าไปยังลานดาดฟ้าเพื่อให้ผู้อาศัยได้กินลมชมวิวและผ่อนคลายกับธรรมชาติ บางส่วนของบ้านดีไซน์ให้เป็นห้องทำสมาธิที่ตัดเพดานเป็นช่องวงกลม เพื่อให้องค์ประกอบทางธรรมชาติลอดผ่านเข้ามาในบ้านได้ ทั้งเม็ดฝน สายลม หรือแสงแดด แต่ก็มีช่องพื้นดินที่อุดด้วยก้อนหินช่วยระบายน้ำฝนอีกแรง บริเวณนอกบ้านสร้างบ่อน้ำขนาดเล็กช่วยเปลี่ยนลมร้อนที่พัดเข้าบ้านให้เย็นสบายยิ่งขึ้น มีพื้นที่สระว่ายน้ำรูปตัวแอล (L) ที่สร้างจากใต้ชายคายืดออกไปยังชายหาด ครอบคลุมทั้งการว่ายน้ำในร่มและกลางแจ้ง แถมยังมองเห็นทิวทัศน์ของทะเลได้เป็นอย่างดีอีกด้วย นี่เป็นบ้านอีกหลังที่ถ่ายทอดกลิ่นอายของธรรมชาติและสะท้อนอิทธิพลของสไตล์โมเดิร์นทรอปิคัล ที่เน้นใช้วัสดุท้องถิ่น
รถเจอรอยเท่าแมวข่วนพวกเรายังตกใจ แต่พอเห็นรูปนี้ครั้งแรกเราบอกได้เลยว่าอึ้ง นี่คือภาพของชายหาดไมอามี หาดสวรรค์ดังของฟลอริดาที่นักท่องเที่ยวนิยมอาบแดด แต่วันนี้กลับมีประติมากรรมคล้ายรถโดนฝังกลบในกองทราย จมไปครึ่งคัน เรียงต่อกันเหมือนรถติดริมหาดยาวถึง 66 คัน ภาพนี้ไม่ใช่ภาพ CG หรือเซ็ ตฉากสำหรับภาพยนตร์เรื่องไหน แต่เป็นผลงานศิลปะของ Leandro Erlich ศิลปินชาวอาร์เจนตินาที่ตั้งใจออกแบบงานประติมากรรมแสดงในงาน Miami Art Week เพื่อเรียกร้องให้คนหันมาตระหนักและให้ความสำคัญกับการปกป้องโลกที่เราอยู่ตามความถนัดของตัวเอง “ในฐานะศิลปิน ผมกำลังดิ้นรนเพื่อให้คนรู้สึกตระหนักกับความจริงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่เราไม่ควรละเลยความรับผิดชอบต่อโลกใบนี้” ทำไมต้องเป็นหาดไมอามี และทำไมรถถึงต้องจมอยู่ในกองทราย ทั้งหมดเกี่ยวพันกับการดูแลโลกอย่างไร เบื้องหลังคอนเซ็ปต์ครั้งนี้มีข้อเท็จจริงชวนตกใจหลายอย่าง เริ่มที่สถานที่จัดแสดงอย่างไมอามีก่อน แม้จะไม่พบมลพิษทางน้ำหรือสารเคมีฝีมือมนุษย์อย่างชัดเจน แต่หลายคนคงไม่เคยรู้ว่าทุกวันนี้ไมอามีเป็นเมืองชายฝั่งที่ได้รับผลกระทบเรื่องระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดจากวิกฤตด้านสภาพอากาศ ส่วนเหตุผลที่สร้างประติมากรรมจากเม็ดทรายเป็นรถยนต์จมในทรายถึงครึ่งล้อ มาจากวัตถุประสงค์ของศิลปินที่ตั้งใจแสดงให้เห็นความร้ายแรงของเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นว่าไมอามีกำลังอยู่ในภาวะวิกฤตเนื่องจากมีแนวโน้มการเกิดน้ำท่วมสูง ซึ่งหากไม่ได้รับการเหลียวแล ผลงานของเขาจะเป็นเงาสะท้อนให้เห็นว่าบ้านเมืองหรือรถจะตกอยู่สภาพเช่นไร คอนเซ็ปต์ชัด บอกให้รับรู้อย่างตรงไปตรงมากับสเกลงานอลังการครั้งนี้ Eric เผยว่าเขาต้องใช้ระยะเวลาเซตยาวนานถึง 3 เดือน แต่ไม่เปิดเผยวิธีอัดทรายขึ้นโครงรถ เราคิดว่าเขาน่าจะใช้สูตรเดียวกับการก่อเจดีย์ทรายบ้านเรา เพียงแต่ชิ้นนี้ดูค่อนข้างแห้งและแข็งแรงกว่านั้น ยิ่งถ้าพิจารณาใกล้ ๆ ผลงานชิ้นนี้เก็บรายละเอียดงานปั้นให้โครงชัด ส่วนล้อก็มีช่องว่างให้มองทะลุเข้าไปได้เหมือนรถยนต์จริง ๆ ที่มีทรายเกาะ เห็นแบบนี้แล้วเหมือนอยู่ในหนังวันสิ้นโลก ที่รถยนต์ผ่านมรสุม หรือเจอภัยธรรมชาติมาแล้วจริง
แม้ประโยชน์ใช้สอยหลักของนาฬิกาคือการบอกเวลา แต่ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายนาฬิกาต่างพิถีพิถันเรื่องรูปลักษณ์และงานดีไซน์ของเครื่องบอกเวลาชนิดนี้ ไม่น้อยไปกว่ากลไก ความทนทาน หรือความแม่นยำเที่ยงตรงเลย Nendo Design Studio บริษัทออกแบบชั้นนำระดับโลกจากญี่ปุ่นได้ออกแบบนาฬิกาทำมือทรงลูกบาศก์สุดเท่ ที่สามารถบอกเวลาและเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ แต่จะเปิดเผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมันเพียง 2 ครั้งต่อวันเท่านั้น นาฬิกาลูกบาศก์ หรือ ‘Nendo Cubic Clock’ ดีไซน์รูปร่างมาให้ดูแข็งแกร่งทนทาน นำก้อนอลูมิเนียมที่ผ่านการขัดเงามาใช้เป็นวัสดุหลักของโครงสร้าง ตั้งลูกบาศก์ในแนวเอียงและสร้างสมดุลด้วยการตัดมุมแหลมออกไป ทำให้สามารถตั้งวางบนแนวราบได้ นาฬิกาเรือนนี้ออกแบบมาเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปีของร้านนาฬิกาหรู The Hour Glass และมีจุดมุ่งหมายเพื่อทลายเส้นแบ่งระหว่างศิลปะการออกแบบและนาฬิกาที่เป็นเครื่องบอกเวลา แทนที่จะเพิ่มชิ้นส่วนหรือใช้วัสดุอื่น ๆ สร้างเป็นเข็มนาฬิกาให้ดูโดดเด่นไปเลย แต่ทางสตูดิโอกลับผ่ามุมหนึ่งของลูกบาศก์ออกและแบ่งเป็นสองส่วน เพื่อสร้างเข็มชั่วโมงและเข็มนาทีจากวัสดุเดียวกันกับตัวเรือน เมื่อใดที่เข็มทั้งสองหมุนมาบรรจบกันที่เลข 12 และบอกเวลาเที่ยงวันหรือเที่ยงคืน นั่นจะเป็น 60 วินาทีที่นาฬิกาเรือนนี้เผยรูปร่างที่แท้จริงให้เห็น เป็นทรงลูกบาศก์ที่เต็มสมบูรณ์และไม่มีมุมใดถูกตัดไปนอกจากตัวฐานนาฬิกา Nendo Design Studio และ The Hour Glass มองว่าสุนทรียภาพของวัตถุบอกเวลา ควรเกิดจากคุณภาพ ประโยชน์ใช้สอย และรูปแบบงานดีไซน์ที่ผนวกเข้าด้วยกัน และนาฬิกาเรือนนี้ก็ถือเป็นความแปลกใหม่ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งยังสะท้อนถึงอารมณ์ขันในการสร้างสรรค์ที่มาพร้อมกับความประณีตบรรจงในเวลาเดียวกัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่
หลังจากมอเตอร์ไซค์ดีไซน์สุดแปลกชื่อว่า ‘Kenzo’ ถูกเผยโฉมให้เห็นในงาน Bike Shed London เมื่อปี 2018 ในตอนนี้รถคันเก่งถูกดัดแปลงมาจาก Honda Gold Wing ปี 1977 โดยสำนักแต่งชื่อดังของอังกฤษอย่าง Death Machines ก็พร้อมออกจากอู่เข้าสู่อ้อมอกของเหล่านักซิ่งผู้ชื่นชอบเรื่องราวของซามูไรเป็นที่เรียบร้อย UNLOCKMEN ได้ตามหารายละเอียดของ Honda Gold Wing ที่ถูกปรับแต่งใหม่จนแทบจำไม่ได้นามว่า Kenzo และทราบว่าเป็นชื่อที่ได้มาจาก Tada Kenzo นักแข่งชาวเอเชียคนแรกที่เข้าร่วมการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบซึ่งถูกเรียกว่าเป็นสนามสุดอันตรายอย่าง Isle of Man TT ที่จัดขึ้นครั้งแรกในปี 1907 แต่ก่อนเขาจะกลายเป็นนักแข่งรถจักรยานยนต์ Kenzo เริ่มมาจากนักแข่งจักรยานและเริ่มจับแฮนด์มอเตอร์ไซค์ปี 1921 เมื่อการเติบโตของโลกอุตสาหกรรมพุ่งทะยานไปข้างหน้า รถมอเตอร์ไซค์และการแข่งขันความเร็วได้รับความนิยมเป็นวงกว้างมากขึ้นในประเทศญี่ปุ่น Tada Kenzo ได้รู้จัก Isle of Man TT เป็นครั้งแรกผ่านนิตยสารมอเตอร์ไซค์ของอังกฤษ ทำให้เขาเกิดความสนใจอย่างมาก ในที่สุดปี 1930 นาย Kenzo ตัดสินใจเดินทางไปยังทวีปยุโรป
คงมีผู้ชายน้อยคนที่เคยได้ยินชื่อประเทศไนเจอร์ หรือ สาธารณรัฐไนเจอร์ (Republic of Niger) ประเทศเล็ก ๆ ทางตะวันตกของทวีปแอฟริกาที่ดูไม่โดดเด่นอะไรนัก แต่หากพูดถึงทะเลทราย Sahara ก็คงทำให้หนุ่ม ๆ ต้องร้อง “อ๋อ” เป็นเสียงเดียวกันแน่นอน ใช่ครับ พื้นที่กว่า 80% ของประเทศไนเจอร์ถูกปกคลุมด้วยทะเลทราย Sahara ที่เราคุ้นหูกันดี แต่น่าแปลกที่ใครหลายคนกลับไม่เคยรู้จักประเทศนี้มาก่อนเลย จนในที่สุดสถาปัตยกรรมชิ้นสำคัญก็เผยตัวขึ้นที่นี่ และทำให้ประเทศในดินแดนทะเลทรายแห่งนี้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในสายตาของชาวโลก Atelier Masomi สตูดิโอสถาปัตยกรรมที่เน้นใช้วัสดุท้องถิ่นในการก่อสร้าง ได้นำอิฐดินดิบมาสร้างสรรค์อาคารทั้ง 5 หลังใจกลางเมืองนีอาเม เมืองหลวงของไนเจอร์ เพื่อให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นศูนย์วัฒนธรรมของประเทศ และเป็นแลนด์มาร์กแห่งสำคัญของเมืองที่จะเปลี่ยนชีวิตของชาวเมืองให้ดีขึ้นกว่าเดิม ศูนย์วัฒนธรรมจะถูกสร้างขึ้นบริเวณกึ่งกลางเมือง อันเป็นจุดแบ่งระหว่างชาวฝรั่งเศสกับชาวแอฟริกันพื้นเมือง และ Atelier Masomi ก็หวังว่าสถาปัตยกรรมชิ้นนี้จะรวบรวมผู้คนจากสองฝั่งเมืองเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันได้ อาคารทั้ง 5 จัดสรรให้เป็นพื้นที่หอประชุมสำหรับการแสดง แกลเลอรี่ คาเฟ่ พื้นที่อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน และห้องสมุด ซึ่งนับเป็นห้องสมุดแห่งแรกที่สร้างขึ้นในเมืองหลังจากที่ประเทศไนเจอร์ได้รับเอกราช วัสดุที่ห่อหุ้มตัวอาคารคืออิฐดินดิบ อันเป็นวัสดุท้องถิ่นของไนเจอร์และเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมในภูมิภาคนี้ เฉดสีและพื้นผิวของอิฐสะท้อนถึงความอบอุ่นและซ่อนกลิ่นอายทะเลทรายเอาไว้ แถมยังทำให้อาคารแห่งนี้ดูกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ ราวกับมันเป็นโครงสร้างที่ผุดขึ้นจากพื้นอย่างไรอย่างนั้น การดีไซน์ภายนอกตอกเสาเข็มให้หอคอยครึ่งวงกลมทั้ง 4
เดินดูงาน Awakening Bangkok มาตั้งแต่ปีที่แล้ว ปีนี้เองก็ตามมาถ่ายรูป แต่เชื่อว่าคุณยังไม่เคยรู้เลยว่าเจ้าของผลงานที่อยู่เบื้องหลังแสงไฟสวย ๆ เหล่านี้คือใคร…เราเองก็เช่นกัน ปีนี้ UNLOCKMEN จึงขอถือโอกาสเพิ่มความพิเศษ จากเดินดูงานเปิดไฟ ขอไปเปิดหน้าศิลปินเจ้าของผลงาน 3 ชิ้นที่เราสนใจและเพิ่งลงผลงานของพวกเขาไปเมื่อวานกันบ้าง พร้อมบทสัมภาษณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะทำให้คุณรู้จักเขาและผลงานเพิ่มขึ้น ใครชอบงานชิ้นไหน อย่าลืมจำชื่อของเขาไว้ บางทีระหว่างที่คุณดูงาน AWAKENING 2019 คืนนี้ อาจจะได้เจอกับพวกเขาก็ได้ หรือจบงานนี้ ไปเจอกันที่อื่น อยากจะเดินเข้าไปทักทายก็ทำได้เช่นกัน เพราะพวกเขาพูดคุยเป็นกันเองมาก DON BOY : Lhong 1919 presents D19B19 อย่างที่เราบอกไว้ก่อนหน้านี้ในการลง Gallery Post ว่าเราเลือกความสนใจจากทั้งงานและสถานที่ที่มีกลิ่นอายความเป็นจีน ดังนั้น สถานที่ขนาดใหญ่อย่างล้ง 1919 ที่เซตขึ้นเป็นโรงงิ้ว มาพร้อมแสง สี เสียง จัดเต็มจึงไม่รอดสายตาของเราไป และพวกเขา “DON BOY” คือเจ้าของผลงาน Lhong
มินิมัลเป็นอีกหนึ่งสไตล์การออกแบบที่ผู้ชายหลาย ๆ คนหลงใหล เพราะนอกจากจะใช้วัสดุน้อยชิ้นแล้ว บ้านที่ออกแบบด้วยสไตล์มินิมัลยังดูเรียบง่าย ไม่หวือหวา และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ธรรมดาของผู้ชายเราเป็นอย่างดี Think Architecture สตูดิโอสถาปัตยกรรมรายนี้ก็เชื่อว่ามินิมัลสไตล์ยังคงมีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัวเสมอ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยก็ตาม พวกเขาจึงนำสไตล์มินิมัลอันโด่งดังของแดนปลาดิบมาสร้างสรรค์บ้านกลางเนินเขา ที่เข้ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างสมบูรณ์ ‘House in a Park’ เป็นบ้านสไตล์มินิมัลในเมืองซูริคของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ โดยออกแบบบ้านให้กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมภายนอก ดีไซน์ตัวบ้านเป็นรูปทรงเรขาคณิตโดยมีหลังคาสีขาวยึดตัวโครงสร้างทั้งหมดเข้าด้วยกัน ผนังหน้าบ้านเป็นปูนปลาสเตอร์และหินธรรมชาติสีอ่อน พร้อมจัดวางกระจกทรงสูงแซมไปกับผนังเพื่อเปิดรับแสงธรรมชาติและทำให้บ้านดูปลอดโปร่งยิ่งขึ้น จุดนำสายตาของบ้านคือหินทรงสี่เหลี่ยมที่วางซ้อนกันเป็นขั้นบันได เหมือนกำลังหลอกตาว่าบ้านหลังนี้เป็นส่วนหนึ่งของพื้นดินและส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ส่วนภายในบ้านจะดีไซน์ผนังด้วยสีขาวเป็นหลัก ซอยย่อยเป็นโซนห้องนอน ห้องดนตรี และห้องโถง ซึ่งทุกห้องพักภายในบ้านจะเชื่อมต่อกับธรรมชาติภายนอกผ่านกระจกใสที่มีความสูงตั้งแต่พื้นดินจรดเพดาน ทำให้ผู้พักอาศัยสามารถมองเห็นทัศนียภาพอันงดงามของภูเขาและทะเลสาบซูริคด้านนอกได้ ตัวบ้านแบ่งเป็น 2 ชั้น แต่ชั้นล่างจะสร้างลงไปในชั้นใต้ดิน เพื่อให้ตัวอาคารไม่กินพื้นที่และกลมกลืนไปเนินเขาอันเป็นที่ตั้งของบ้าน ชั้นล่างของบ้านยังมีมุมพักผ่อน มุมออกกำลังกาย รวมทั้งสระว่ายน้ำในร่มที่ใช้กระเบื้องโมเสคสีดำและแผงอะคูสติกซีดาร์สีแดงตกแต่งด้านบน สร้างบรรยากาศสงบ สบาย และช่วยให้ผู้พักอาศัยได้พักผ่อนอย่างแท้จริง ‘House in a Park’ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของบ้านสไตล์มินิมัลที่ปลูกสร้างบนเนินเขาลาดชันได้อย่างงดงาม ทั้งยังเป็นสถาปัตยกรรมที่สัมพันธ์กับพื้นที่ธรรมชาติอย่างแน่นแฟ้น แต่ก็ไม่หลงลืมทฤษฎีโครงสร้าง พื้นที่ใช้สอย และความสุขของผู้อาศัยที่เป็นหัวใจของงานสถาปัตยกรรม Photography is by Simone
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าวันนี้ Richard Mille กลายเป็นแบรนด์นาฬิการาคาแรงที่คนไทยทั่วไปรู้จักกันอย่างรวดเร็ว จากเมื่อก่อนมีคนรู้จักเพียงแค่กลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น ช่วงหลังเดือนกันยายน 2019 แบรนด์นาฬิกาที่มีจุดขายเรื่องดีไซน์แปลกตาแบรนด์นี้ก็เพิ่งปล่อยเรือนเวลาอย่าง (RM 52-04 นาฬิกาอินดี้แรงบันดาลใจจาก FORMULA 1) ไปหมาด ๆ แต่ยังไม่ทันให้แฟน ๆ ได้พักหายใจล่าสุดก็ปล่อยรุ่นใหม่ออกมายั่วน้ำลายนักสะสมชาวไทยกันอีกครั้ง นาฬิกาตัวล่าสุดถัดจาก RM 52-04 มีชื่อว่า RM 52-05 (Tourbillon Pharrell Williams) ครั้งนี้ Richard Mille ได้จับมือกับศิลปินชาย Pharrell Williams ที่มีสไตล์แฟชั่นแสนเฉพาะตัวมาร่วมกันออกนาฬิกา งานคอลเลกชันใหม่นี้จึงสามารถเรียกกระแสความตื่นเต้นให้กับวงการแฟชั่นและวงการนาฬิกาไปพร้อมกัน แรงบันดาลใจที่ถูกหยิบมาอยู่บนเรือนเวลา Richard Mille RM 52-05 ของนักร้องหนุ่มมีจุดเริ่มต้นมาจากความหลงใหลจนคลั่งไคล้เกี่ยวกับอวกาศ วัยเด็กของ Pharrell Williams เต็มไปด้วยเรื่องราวของดวงดาว โลก ดาวอังคาร จักรวาลและกาแล็กซี โดยเฉพาะกับดวงอังคารที่ Pharrell มองว่าเป็นดาวเคราะห์ที่มีความสวยงามลึกลับน่าค้นหา แถมช่วงที่เขายังเป็นเด็กก็ได้เห็นข่าวองค์กรการ NASA
คุณขี้อิจฉาไหม? คุณอยากดังหรือเปล่า? คุณอยากเป็นคนที่เมาเละได้ แต่ก็เป็นคนมีของ มีความสามารถซ่อนอยู่หรือไม่? เป็นคำถามแปลกประหลาดที่เรามั่นใจว่าต่อให้ถามใครหลายคน ก็คงไม่มีใครหาญกล้าตอบกลับมาง่าย ๆ โดยเฉพาะในบทสัมภาษณ์กับสื่อแปลกหน้า แต่ไม่ใช่กับ “เป๋ง-ชานนท์ ยอดหงษ์” อาร์ตไดเรกเตอร์ที่เราพยายามหาคำมานิยามเขาแล้ว แต่ก็หาได้ยากเหลือเกิน จนกระทั่งเขานิยามตัวเอง และเรารู้สึกว่า โห! ใช่ว่ะ เขาเป็นแบบนี้แหละ “เลอะเทอะ เมาเรื้อนอะไรก็ได้ แต่ผมต้องมีความสามารถที่ทำให้คนอื่นเห็นว่ากูก็มีของ ถึงกูจะเหลวแหลกแต่ก็มีอะไร” เรื้อนแต่เทพ เมาแต่มีของ เหลวแหลกแต่ก็มีอะไร จะมีใครกล้านิยามตัวเองแบบนี้ คงมีแค่เขาที่อยู่ตรงหน้าเรานี่เอง สิ่งหนึ่งที่เราเชื่อว่าคนที่รู้จักเขา หรือแม้แต่ตัวเขาเองรู้ว่าคำเหล่านี้ไม่ใช่คำเชิงลบอะไรต่อตัวเขาก็เพราะเขารู้ดีว่าความจริงคืออะไร และงานออกแบบจากสมองและสองมือของเขานี่แหละที่โดดเด่นยิ่งกว่า สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าอาร์ตไดเรกเตอร์คนนี้มีของอะไร เทพแบบไหน เราอยากเล่าสั้น ๆ ว่าเขาเป็นอาร์ตไดเรกเตอร์ด้านเพลงที่หาตัวจับยาก เด่น ๆ คือการออกแบบปกซิงเกิ้ล ปกอัลบั้มของค่าย genie records ทั้ง BMW Be My World Project, Bodyslam, Big Ass, Paradox, Ebola , Sweet Mullet
ถ้าใครเป็นแฟนการ์ตูนหรือแฟนหนังเรื่อง Transformers ก็คงต้องรู้จักผู้นำของกลุ่มออโต้บ็อทส์อย่าง Optimus Prime กันอย่างแน่นอน เขาคือต้นแบบของฮีโร่ผู้เป็นทั้งนักรบ ผู้พิพากษา ศูนย์รวมจิตใจของเหล่าไพร์มที่ทำให้สามารถเอาชนะยูนิครอน แต่เวลาเดียวกันก็มีจิตใจอ่อนโยนและอุทิศตนเพื่อพิทักษ์ทุกสรรพสิ่ง ด้วยความเท่ของ Optimus Prime จึงทำให้แบรนด์นาฬิกาญี่ปุ่นอย่าง Casio สนใจจะนำเรื่องราวของนักรบฮีโร่มาเล่าใหม่ในสไตล์ของตัวเอง ซึ่งการสร้างสรรค์ผลงานครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สองแล้วที่ Casio ได้ร่วม Collaboration กับ Transformers โดยคราวนี้เติมเต็มความเท่แบบดิบ ๆ จนออกมาเป็นฟิกเกอร์มาสเตอร์เนเมซิส Optimus Prime เคร่งขรึมกว่าที่เคยเป็นมา Optimus ในภาษาละตินจะมีความหมายว่า ‘Best first’ หรือดีที่สุด Optimus Prime จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของ Casio แต่สำหรับโมเดล Optimus Prime มาพร้อมกับนาฬิกาของ G-Shock ไม่ได้ชูสีประจำตัวของเขาอย่างสีน้ำเงินและสีแดงแต่เพิ่มสีดำเข้ามาแทนที่ สื่อให้เห็นอีกมุมหนึ่งของนักรบผู้กล้าหาญก็เคยเข้าสู่มุมมืดไม่ต่างจากใครเช่นกัน ปลุกจิตวิญญาณนักสู้อันแข็งแกร่งให้กึกก้องด้วยฟิกเกอร์มาสเตอร์เนเมซิส Optimus Prime สามารถดัดแปลงได้สองโหมดคือ Nemesis Alter mode รูปทรงยานรบล้ำสมัยถูกออกแบบมาให้เป็นฐานวางนาฬิกา G-Shock ได้พอดิบพอดี ส่วนอีกหนึ่งรูปแบบคือ