เราเชื่อว่าหนุ่ม ๆ นักท่องเที่ยวหลายคนคงไม่พลาดจะที่หาเวลาไปเยือนเมืองเกาะอย่างประเทศญี่ปุ่น เพื่อชื่นชมความงดงามของ ‘มหานครโตเกียว’ ที่เป็นเมืองหลวงและสัมผัสกับกลิ่นอายทางวัฒนธรรมที่สอดแทรกอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของสถานที่ท่องเที่ยว แต่คงมีผู้ชายน้อยคนที่จะรู้จัก ‘เกียวโต’ อดีตเมืองหลวงของประเทศนี้ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขาของภูมิภาคคันไซ ที่นี่ไม่เพียงเป็นเมืองเก่าแก่ที่รวมเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และมรดกโลกเอาไว้ หากยังเป็นที่ตั้งของคาเฟ่ช็อกโกแลตแบรนด์ดังใต้ชายคาบ้านเก่าสองชั้นที่มีอายุร่วมร้อยปี Fumihiko Sano Studio ได้สร้างร้านกาแฟควบช็อปช็อกโกแลตภายใต้แบรนด์ ‘Dandelion Chocolate’ ซึ่งถือเป็นบริษัทผลิตช็อกโกแลตอันโด่งดังที่มีสาขากระจายตัวอยู่ทั่วอเมริกาและญี่ปุ่น เมื่อเล็งเห็นเสน่ห์บางอย่างของเมืองเกียวโต แบรนด์ช็อกโกแลตรายนี้จึงเนรมิตบ้านเก่าสองชั้นที่มีอายุกว่าร้อยปี ให้กลายเป็นคาเฟ่บรรยากาศอบอุ่นและถอดแบบรสชาติช็อกโกแลตดั้งเดิมของซานฟรานซิสโกมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน Dandelion Chocolate ตั้งอยู่บนนถนนที่เงียบสงบในย่าน Ichinenzaka ของเมืองเกียวโต ภายในพื้นที่ 200 ตารางเมตร มีช็อปช็อกโกแลตขนาดย่อมสำหรับลูกค้าที่ต้องการซื้อกลับบ้าน มีบาร์โกโก้ให้สั่งเครื่องดื่มหรือแอลกอฮอล์แกล้มกับช็อกโกแลตของทางร้าน แถมภายนอกยังรายล้อมไปด้วยบรรยากาศสวนแบบดั้งเดิมสไตล์ญี่ปุ่น การตกแต่งภายในร้านเลือกใช้ไม้ซีดาร์เป็นวัสดุหลักของตัวโครงสร้าง พร้อมวางต้นซีดาร์ไว้บริเวณจุดศูนย์กลางของร้าน เพื่อสะท้อนถึงความสอดรับกันของเมนูช็อกโกแลตและไม้ซีดาร์ ซึ่งต้องใช้ทักษะงานคราฟต์และส่วมผสมที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีจึงจะสร้างทั้งสองสิ่งนี้ขึ้นมาได้ นอกจากนั้นไม้ซีดาร์ที่ประดับประดาตามจุดต่าง ๆ ยังบ่งบอกเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย จากความตั้งใจอยากรื้อฟื้นบรรยากาศเมืองเกียวโตแบบดั้งเดิมและสอดแทรกความเป็นซานฟรานซิสโกเข้าไว้ด้วยกัน ทีมสถาปนิกจึงรีโนเวตพื้นที่ภายให้ดูร่วมสมัย แต่ก็ไม่ทิ้งโครงสร้างเก่าของตัวบ้านอย่างคานและเสา ออกแบบพื้นที่ให้โปร่ง โล่ง สบาย ด้วยบานหน้าต่างกระจกทรงสูงที่ประดับแนบผนังตามทิศต่าง ๆ ของร้าน ช่วยเชื่อมต่อพื้นที่ภายในและภายนอกเข้าด้วยกัน แถมยังเป็นการสร้างสเปซกว้างขวางในพื้นที่ขนาดย่อมได้อย่างไร้ที่ติ Dandelion Chocolate
ใคร ๆ ก็รู้ว่านาฬิกาทุกเรือนมีไว้เพื่อบอกเวลา แต่สิ่งที่ทำให้นาฬิกาทุกเรือนแตกต่างกันคือคอนเซ็ปต์ เช่นเดียวกับแบรนด์นาฬิกาแบรนด์หนึ่งนามว่า Richard Mille มีจุดขายคือความแพง แต่เมื่อก่อนยังถือเป็นแบรนด์ที่คนไทยไม่ค่อยรู้จักและไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่เมื่อเทียบกับ Rolex หรือ Patek Philippe ทว่าด้วยเหตุผลบางประการทำให้ในตอนนี้คนไทยส่วนมากจดจำชื่อรวมถึงรูปร่างหน้าตาของ Richard Mille ได้แล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่า Richard Mille เริ่มเป็นที่จดจำ UNLOCKMEN จึงอยากพาทุกคนไปพบกับนาฬิกาเรือนล่าสุดของแบรนด์ว่าอะไรคือความพิเศษที่ทำให้นาฬิกาสุดอินดี้แบรนด์นี้กลายเป็นของหายากมีราคาเหยียบล้าน Richard Mille เป็นนาฬิกาสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ได้แรงบันดาลใจจากกีฬามอเตอร์สปอร์ต ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1999 ซึ่งแต่ละรุ่นก็โดดเด่นต่างกันไป บางรุ่นชูเรื่องความแข็งแรงมาพร้อมกับน้ำหนักแสนเบา อย่าง RM 50-03 Mclaren F1 มีน้ำหนักเบากว่าเหล็ก 6 เท่าแต่แข็งแกร่งมากกว่าถึง 200 เท่า ด้วยส่วนประกอบของไทเทเนียมและอื่น ๆ ทำให้นาฬิกาเรือนนี้มีราคาสูงถึง 1 ล้านเหรียญ คิดเป็นเงินไทยราว 33 ล้านบาท RM27-02 Rafael Nadal Edition ชูเรื่องน้ำหนักสุดเบา ด้วยนาฬิกาทั้งเรือนมีน้ำหนักเท่ากับเหรียญ 1
ถ้าเทียบกับส่วนอื่น ๆ ของประเทศ ย่าน “เมือง” จะเป็นที่แรก ๆ ที่โดนเปลี่ยนแปลงก่อน แถมยังต้องปรับเปลี่ยนหน้าตาบ่อย ๆ เพื่อพัฒนาพื้นที่ตอบโจทย์คนมาใหม่และคนที่เป็นเจ้าของพื้นที่เดิม หนึ่งในพื้นที่นั้นคือ “สามย่าน” โซนความเจริญที่มีแหล่งร้านอาหารเพียบ เลยไปหน่อยก็เจอหัวลำโพง ใกล้ MRT มีวัด ขยับไปอีกด้านมีห้าง มหาวิทยาลัย ศูนย์รวมความทันสมัยมากมายที่พวกเราต่างไปที่นั่นกันบ่อย ๆ แล้วนอกจากพื้นที่สาธารณะล่ะ? พื้นที่ส่วนตัวประเภทที่อยู่อาศัยมีอะไร เขาอยู่กันแบบไหน ทั้งก่อนและหลังการเปลี่ยนผ่านไปเป็นพื้นที่ใหม่? Art of Ars ครั้งนี้เราขอชวนชาว UNLOCKMEN ที่กำลังกระหายศิลปะกับความรู้สึกแปลกใหม่ กำลังอยากเติมไอเดียไปดูนิทรรศการในสามย่านที่ The Shophouse 1527 พื้นที่ทดลองแห่งใหม่จากความร่วมมือของ Cloud Floor, If และ soi | ซอย ที่เพิ่งเปิดตัวนิทรรศการแรกเล่าความสัมพันธ์กับคนและสถาปัตยกรรม โดยใช้ชื่อว่า Resonance of Lives at 1527 คุณเคยเห็นตึกเก่า คุณเคยเห็นตึกใหม่ที่โดนรีโนเวตแล้ว แต่ไม่มีโอกาสเห็นตึกนั้นตอนเปลี่ยนแปลง นี่คือคอนเซ็ปต์ตั้งต้นของ Resonance
หากย้อนไปในช่วงยุค 80s หนุ่ม ๆ หลายคนคงพอจำได้ว่า ‘AKIRA’ หรือ ‘อากิระ คนไม่ใช่คน’ การ์ตูนแอ็กชันไซไฟอันโด่งดังได้เข้าฉายและกวาดรายได้ทั่วโลกไปอย่างถล่มทลาย ภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของโลกอนาคตอันปั่นป่วนที่มีเด็กหนุ่มชื่อว่า ‘อาริกะ’ เป็นตัวเดินเรื่อง ในภาพยนตร์อ้างถึงเหตุการณ์ที่กรุงโตเกียวถูกทิ้งระเบิดปรมาณูในเดือนกรกฎาคมของปี 1982 ตั้งแต่นั้นไฟสงครามก็เริ่มปะทุขึ้นและสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็ทำให้โตเกียวต้องล่มสลายลงในที่สุด ชาวญี่ปุ่นจึงต้องสร้างเมือง ‘Neo-Tokyo’ ขึ้นมาทดแทนเพื่อให้เป็นทั้งเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขา Neo-Tokyo ได้รับสมญานามว่าเป็นเมืองอุตสาหกรรมเฟื่องฟูภายใต้ฉากหลังของซากปรักหักพังที่ถูกทิ้งร้าง อย่างไรก็ตามเมืองแห่งนี้ยังคงเอกลักษณ์ของแสงไฟหลากสีที่ส่องสว่างในยามค่ำคืน แบรนด์นาฬิกาสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง Casio จึงหยิบอัตลักษณ์ของเมือง Neo-Tokyo มาถ่ายทอดลงในซีรีส์ ‘G-SHOCK Neo-Tokyo’ ที่เลือกโมเดลนาฬิกาดิจิทัลและแอนะล็อกรุ่นยอดนิยมของแบรนด์ ทั้ง GA140, GA700, GAS100 และ DW6900 มาประยุกต์ให้ดูเท่และร่วมสมัยยิ่งขึ้น การดีไซน์ของนาฬิกาแต่ละเรือนจะถูกห่อหุ้มด้วยสี jet black ตั้งแต่ตัวเรือน สายรัดเรซิ่น ไปจนถึงขอบเบเซล ทำให้ง่ายต่อการจับคู่กับเสื้อผ้าหรือมิกซ์แอนด์แมตช์กับเครื่องประดับชิ้นอื่น ๆ บริเวณหน้าปัดของนาฬิกาทั้ง 4 รุ่น จะใช้แสงไฟอิเล็กโทร-ลูมิเนสเซนต์ (Electro-luminescent) ให้ความรู้สึกคล้ายกับแสงนีออนหลากสี เพื่อสะท้อนถึงเมือง Neo-Tokyo
จริงอยู่ที่ ‘สถาปัตยกรรม’ คือการออกแบบสิ่งก่อสร้างเพื่อมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน อาคาร คอนโดมิเนียม หรือสิ่งก่อสร้างชนิดอื่น ๆ ที่มนุษย์ไม่อาจอยู่อาศัยได้อย่างเจดีย์ สถูป และอนุสาวรีย์ แต่สถาปัตยกรรมนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเมืองหลวงหรือหัวเมืองใหญ่เสมอไป ยังมีผลงานสถาปัตยกรรมเจ๋ง ๆ อีกมากมายที่ซุกซ่อนอยู่ทั่วทุกมุมโลก แม้ในป่าทึบที่เต็มไปด้วยธรรมชาติและสิ่งมีชีวิต ก็มีพื้นที่มากพอให้สถาปัตยกรรมได้เผยตัวตนและสอดแทรกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่อย่างแนบเนียน BIG หนึ่งในสตูดิโอสถาปัตยกรรมชั้นนำของโลก ได้เข้ามารีโนเวตและแปลงโฉม Kistefos Museum and Sculpture Park ของประเทศนอร์เวย์ ให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางทางวัฒนธรรมที่เหล่านักท่องเที่ยวอยากมาเยือน ในอดีต Kistefos Museum and Sculpture Park ก่อตั้งเมื่อปี 1996 โดย Christen Sveaas นักธุรกิจและนักสะสมชาวนอร์เวย์ ซึ่งภายในประกอบไปด้วยพิพิธภัณฑ์อุตสาหกรรม หอแสดงนิทรรศการ และสวนประติมากรรม ที่จัดแสดงคอลเลกชันศิลปะของศิลปินดัง ทั้ง Anish Kapoor, Olafur Eliasson และ Fernando Botero เพื่อยกระดับผลงานสถาปัตยกรรมชิ้นนี้ให้ดียิ่งขึ้น BIG จึงได้นำคอนเซ็ปต์ ‘The
สำหรับหนุ่ม ๆ เกมเมอร์และผู้ชายที่หลงใหลการเล่นเกม นอกจากเครื่องคอมฯ หรือคอนโซลสุดแรงที่ตอบโจทย์การเล่นเกมสเปกโหด ๆ แล้ว อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้คือเก้าอี้สำหรับเล่นเกม (Gaming Chair) ประจำตัวที่จะคอยสนับสนุนการเล่นเกมของเราให้มีประสิทธิภาพ ที่สำคัญคือต้องนุ่มสบายและรองรับสรีระการนั่งอย่างเหมาะสม ปัจจุบันค่ายผลิต Gaming Gear หลายค่ายต่างพัฒนาเก้าอี้เล่นเกมของตัวเองให้ตอบโจทย์ความต้องการของเหล่าเกมเมอร์ทั่วโลก ล่าสุดค่ายผลิตรถยนต์รายใหญ่อย่างนิสสันก็กระโดดเข้ามาร่วมแจมด้วยการปล่อยภาพเก้าอี้เล่นเกมในสไตล์ของพวกเขาออกมา ต้องถูกใจผู้ชายหลายคนแน่นอนโดยเฉพาะหนุ่ม ๆ ที่หลงใหลรถยนต์และหนุ่ม ๆ ที่เป็นสาวกของ Nissan GT-R นิสสันร่วมฉลอง National Video Games Day ด้วยการปล่อยคอนเซ็ปต์และภาพร่างเก้าอี้เล่นเกมในชื่อ “Ultimate Esport” โดยร่วมมือกับทีม Esport อย่าง OpTic Gaming และ FaZe Clan เพื่อสร้างเก้าอี้เล่นเกมออกมาใน 3 สไตล์ที่แตกต่างและโดดเด่นโดยใช้แรงบันดาลใจจากห้องโดยสารของยนตรกรรมระดับไอคอนิคของแบรนด์นำทีมโดย Nissan GT-R Nismo ภาพคอนเซ็ปต์ของเก้าอี้สำหรับเล่นเกมที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Nissan GT-R Nismo ถูกเรียกว่า “Performance” โดยมีลักษณะเป็นเบาะทรงสปอร์ตที่ส่วนพนักพิงทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ตกแต่งด้วยหนังสีดำ และหนัง
หากพูดถึงความวุ่นวายและเร่งรีบ มโนภาพที่ปรากฏขึ้นในหัวของหนุ่ม ๆ หลายคนคงหนีไม่พ้นสี่แยกกลางเมืองหลวงที่มีผู้คนสัญจรไปมาอย่างพลุกพล่าน เป็นเหมือนป่าคอนกรีตที่ห้อมล้อมกอดแน่นด้วยทัศนียภาพของสิ่งปลูกสร้างไร้ระเบียบ และแออัดยัดเยียดด้วยการจราจรที่ติดขัด ตลอดเส้นทางการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ดูเป็นเรื่องยากถ้าจะมองหาสเปซที่ช่วยให้คนเมืองอย่างเราได้พักผ่อนจากวิถีชีวิตอันรีบเร่ง สำหรับบ้านเราสเปซดังกล่าวอาจจะดูบางตา แต่ในกรุงลอนดอนเมืองหลวงของอังกฤษนั้นมีสถาปัตยกรรมที่ช่วยแก้ไขปัญหาความวุ่นวาย พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมืองให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น Paul Cocksedge ดีไซเนอร์หนุ่มชาวอังกฤษออกแบบ ‘Please Be Seated’ สถาปัตยกรรมกลางแจ้งขนาดยักษ์ ที่ใช้ไม้กระดานเรียงร้อยต่อกันจนเกิดเป็นวงแหวนทรงคลื่นสามชั้น ตั้งตระหง่านกลางทางเดินเท้าของย่าน Broadgate นอกจากสถาปัตยกรรมชิ้นนี้จะสร้างสเปซให้คนเมืองได้มานั่งพักผ่อนในยามว่าง มันยังสร้างขึ้นเพื่อต้อนรับงาน London Design Festival ครั้งที่ 17 ที่จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 14-22 กันยายน ซึ่งถือเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองกรุงลอนดอนในฐานะศูนย์กลางการออกแบบระดับโลก Please Be Seated ถูกสร้างขึ้นบริเวณ Finsbury Avenue Square ข้าง ๆ อาคารสำนักงานหมายเลขหนึ่งแห่งกรุงลอนดอน แม้สถาปัตยกรรมชิ้นนี้จะใช้วัสดุจากธรรมชาติอย่างไม้เป็นหลัก แต่รูปแบบงานดีไซน์ที่คล้ายกับคลื่นน้ำ ก็ช่วยทำให้ไม้แข็งทื่อนั้นมีชีวิตชีวาราวกับมันกำลังเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา Paul Cocksedge กล่าวว่าสถาปัตยกรรมกลางแจ้งชิ้นนี้ถูกดีไซน์มาอย่างรอบคอบ และคิดดีแล้วว่ามันจะช่วยปรับปรุงสภาพแวดล้อมของทางเดินเท้าให้ดีขึ้น พร้อมยังสอดแทรกฟังก์ชันการใช้งานเพิ่มเติมนอกจากความสวยงาม ตลอดพื้นไม้กระดานถูกเสริมความแข็งแกร่งด้วยโครงสร้างเหล็กและบล็อกทรงสี่เหลี่ยมคอยค้ำ ไม้กระดานที่ดีไซน์สโลปลงมาด้านล่างจะเป็นเหมือนเก้าอี้ควบพนักพิง ส่วนที่เป็นลูกคลื่นพุ่งทะยานขึ้นด้านบนจะเป็นทางเข้าเล็ก ๆ เพื่อให้ผู้คนเดินลอดผ่านไปยังวงแหวนอีกสองวงด้านใน
หลังจากที่ Capcom วางจำหน่ายภาคเสริมของตระกูลเกมยอดฮิตนักล่าอสูรในตำนาน Monster Hunter กับ Monster Hunter World: Iceborne ไปหมาด ๆ ที่สามารถยอดขายที่พุ่งสูงถึง 2.5 ล้านชุด (นับตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน – 13 กันยายน 2019) ทั้งยอดขายแผ่นเกมและการดาวน์โหลดแบบดิจิทัล แสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่าเกมล่ามอนสเตอร์ในตำนานไม่เคยเสื่อมความนิยมจากนักเล่นเกม ด้วยความนิยมที่ไม่เคยจืดจาง แถมในปีนี้ยังครบรอบ 15 ปี ของเกม Monster Hunter อีก จึงทำให้แบรนด์นาฬิกาญี่ปุ่นอย่าง Seiko ร่วมฉลองความสำเร็จของเกมนักล่าอสูรด้วยการออกนาฬิกาข้อมือรุ่นพิเศษสำหรับเกมดังโดยเฉพาะ ซึ่งการเจอกันระหว่างเกมดังและนาฬิการุ่นเก๋าครั้งนี้ได้ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านนาฬิกาข้อมือ 3 เรือนโดยดึงเอกลักษณ์เฉพาะของมอนสเตอร์ทั้ง 3 ตัวไว้อย่างครบถ้วน SBPY155 RATHALOS นาฬิกาเรือนแรกของคอลเลกชันนี้ประเดิมด้วยมอนสเตอร์ขนาดใหญ่ที่ได้ฉายาว่าราชาแห่งท้องฟ้าอย่าง Rathalos (リオレウス) สัตว์ประหลาดประเภทมังกรที่แข็งแกร่ง มีลมหายใจสามารถเผาทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลอง กรงเล็บแหลมคมกับปีกขนาดใหญ่เสริมให้กำจัดศัตรูสิ้นซากกลางอากาศก่อนจะร่อนลงสู่พื้นดินอย่างสง่างาม ด้วยความเก่งกาจและยากจะต้านทานทำให้ Rathalos กลายเป็นมอนสเตอร์ที่เหล่านักเล่นเกม Monster Hunter ต้องรู้จัก เมื่อความแข็งแกร่งของ
“ครั้งแรกน่าจดจำเสมอ” เราเชื่ออย่างนั้นโดยเฉพาะช่วงชีวิตแห่งการเป็นหนุ่มสาวที่ชีวิตเต็มไปด้วยอิสรภาพ ความฝัน และความเป็นไปได้ใหม่ ๆ อะไรก็ตามที่เราทำ ณ ช่วงชีวิตของการเป็นหนุ่มสาวนั้นจึงเป็นครั้งแรกอันเต็มไปด้วยการผจญภัยแสนหอมหวานและน่าจดจำ รวมถึงยังประกอบสร้างตัวตนและความเป็นเรามาจนถึงทุกวันนี้ บ่อยครั้งเราจึงนึกถึงช่วงเวลาดี ๆ ครั้งแรกที่เราได้บรรจงจูบกับใครสักคนด้วยความตื่นเต้น ครั้งแรกที่เราได้ออกเดินทางไปบนถนนหนทางที่เหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด ครั้งแรกที่เราได้ตะลุยผจญภัยอย่างสุดเหวี่ยงกับเพื่อน ครั้งแรกที่เราได้ตกหลุมรัก เพราะไม่มีครั้งไหนเหมือนครั้งแรก เราจึงหวนนึกถึงมันเพื่อเป็นแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้เราอยากลองใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยพลังและอิสรภาพอย่างนั้นอีกสักหน CALVIN KLEIN WATCHES & JEWELRY ก็เชื่อในช่วงเวลาแรก เชื่อในอิสรภาพที่ปราศจากความกลัวของหนุ่มสาวจึงออกแคมเปญ NO TIME LIKE THE FIRST เพื่อกระตุ้นเตือนพวกเราว่าไม่มีครั้งไหนจะเหมือนครั้งแรก และขอให้เราเก็บห้วงเวลานั้นไว้ในความทรงจำให้ดี โดยบอกเล่าผ่านภาพถ่ายของ Lachlan Bailey บนถนนที่ทอดยาวสุดสายตา เพื่อสื่อถึงจุดเริ่มต้น อิสรภาพ การออกเดินทาง และความทรงจำที่น่าจดจำของเราทุกคน แคมเปญครั้งนี้ CALVIN KLEIN ถ่ายทอดผ่านนายแบบ นางแบบจากหลากหลายเชื้อชาติเพื่อสื่อถึงความหลากหลายโดยมี คารา เทย์เลอร์ และจัสติน มาร์ติน จากอเมริกา, โคเฮ ทาคาบาทาเกะ จากญี่ปุ่น, ชินฮยอนจี จากเกาหลีใต้ และรูส
หากพูดว่าตอนนี้เป็นยุคสมัยแห่ง ‘วัสดุไม้’ ก็คงจะไม่ผิดนัก แม้ในอดีตไม้จะเป็นวัสดุจากธรรมชาติที่เหล่านักออกแบบต่างเมินหน้าหนี เพราะคิดว่ามันเปราะบาง ไม่ทนทานต่อสภาพอากาศ และยากที่จะนำมาสร้างงานทางสถาปัตยกรรม แต่ในปัจจุบันคงต้องยอมรับว่าทั้งเปลือก กิ่งก้าน หรือแม้แต่ส่วนใบไม้สามารถนำมาต่อยอดและรังสรรค์ผลงานชิ้นต่าง ๆ ได้อย่างไม่รู้จบ บวกกับนวัตกรรมการก่อสร้างที่ก้าวล้ำของมนุษย์ยุคก้าวกระโดด ทำให้ไม้ที่เคยเปราะบางถูกแปรรูปและพัฒนาจนมันหลุดออกจากข้อจำกัดด้านความแข็งแรงทนทาน ทั้งยังทนต่อความร้อนและยืดหยุ่นมากพอที่จะนำไปก่อสร้างตึกรามบ้านช่องได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งอาคารสไตล์โมเดิร์นทรอปิคัล อาคารสไตล์มินิมัลแบบญี่ปุ่น หรืออาคารอบอุ่นแบบสแกนดิเวียน ล้วนมี ‘ไม้’ เป็นพระเอกหลักในการก่อสร้างด้วยกันทั้งนั้น วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากพาหนุ่ม ๆ มาชมงานสถาปัตยกรรมเท่ ๆ ที่ใช้ไม้ซ้อนทับจนเกิดสเปซอบอุ่น แถมยังเล่าถึงประวัติศาสตร์ของเมืองในเวลาเดียวกัน Odunpazari เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะสไตล์โมเดิร์นที่ตั้งตระหง่านกลางเมือง Eskisehir ทางตะวันตกเฉียงเหนือของตุรกี เกิดจากฝีมือของสถาปนิกชื่อดังชาวญี่ปุ่น Kengo Kuma เขาใช้ไม้ทับซ้อนและเสียบประสานกันจนเกิดเป็นรูปร่างอาคารทรงบล็อกที่มีเอกลักษณ์ สร้างความอบอุ่น แถมยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ชื่อ Odunpazari ของอาคารนิยามถึง “ตลาดฟืนในตุรกี” ที่ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าไม้อันโด่งดังในยุคก่อน Kengo Kuma จึงหยิบนำเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มาผูกโยงกับคอนเซ็ปต์การออกแบบ เพื่อให้พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้สามารถบอกเล่าประวัติศาสตร์และความทรงจำในอดีตของเมืองนี้ได้โดยสมบูรณ์ รูปแบบการดีไซน์ของตัวอาคารประกอบด้วยบล็อกทรงสี่เหลี่ยมเป็นหลัก อันเกิดจากคานไม้ลามิเนตที่ซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นเพื่อเก็บสะสมผลงานศิลปะในแขนงต่าง ๆ ตลอดพื้นที่ 4,500