สำหรับผู้ชายที่หลงใหลการเล่นกีฬาและดูการแข่งขันกีฬา รวมไปถึงคนที่ชื่นชอบเสื้อผ้ากีฬาและรองเท้ารูปแบบต่าง ๆ เชื่อเหลือเกินว่าโลโก้ “Swoosh” ของแบรนด์กีฬา Nike ต้องเป็นหนึ่งในเครื่องหมายการค้าที่เราคุ้นเคยกันดี แม้จะเปลี่ยนแปลงหลายตลบกว่าจะมาเป็นโลโก้ที่เห็นในปัจจุบัน ระยะเวลาผ่านมา 48 ปี นับตั้งแต่ชายที่ชื่อ Phil Knight และ Bill Bowerman ตัดสินใจก่อตั้งบริษัทรองเท้าของพวกเขาด้วยการเปลี่ยนชื่อจาก Blue Ribbon Sport มาเป็น Nike.inc ณ เวลานั้นพวกเขาต้องการสัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนสินค้า นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของโลโก้ที่ใครหลายคนรู้จัก วันนี้เราจะชวนย้อนดูความเป็นมาและวิวัฒนาการของโลโก้ “Swoosh” ผ่านคอลเลกชัน “The Evolution of the Swoosh” กับ 3 แพ็ครองเท้าที่นำโลโก้รุ่นเก๋าจากยุค 70’s มาดีไซน์ลงบนรองเท้ารุ่นยอดฮิตของค่ายในปัจจุบัน กลับสู่จุดกำเนิด “Script Swoosh” Pack เริ่มต้นกันที่ “Script Swoosh” หนึ่งในแพ็คที่โดดเด่นด้วยโทนสีขาว-ดำและแดง รองเท้าทั้ง 4 ในแพ็คประกอบไปด้วยโมเดลอย่าง Air Force 1, Air
กลายเป็นธรรมเนียมที่ทำกันต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีกับการจัดประกวดงานถ่ายภาพที่มีชื่อว่า iPhone Photography Awards ซึ่งปีนี้ก้าวเข้าสู่ครั้งที่ 12 แล้ว ที่ Apple เปิดรับภาพถ่ายจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อแสดงให้เห็นว่าภาพถ่ายที่สร้างสรรค์เกิดจากฝีมือของคนเบื้องหลังเลนส์ UNLOCKMEN จะพาไปดูกันว่ารูปภาพที่คว้ารางวัลกลับบ้านไปมีอะไรบ้าง เพื่อเป็นไอเดียต่อยอดสำหรับหนุ่ม ๆ ผู้ชื่นชอบการถ่ายภาพ รวมถึงล้างความคิดเดิมที่กล่าวกันว่าต้องใช้กล้องโปรแพง ๆ เท่านั้นถึงจะถ่ายรูปสวย ประเภทของรางวัลการแข่งขันแบ่งออกตามหมวดหมู่ เช่น ภาพทิวทัศน์ บุคคล สัตว์ สถาปัตยกรรม ไลฟ์สไตล์ ต้นไม้ ธรรมชาติ โดยมีรางวัลใหญ่อย่าง Grand Prize Winner และ Photographer of the Year Award ภาพที่หลายคนกำลังตั้งตารออยู่จะเป็นภาพไหน อยู่ในสาขาใดบ้าง และสวยน่าสนใจสมราคาหรือไม่ ลองไปดูพร้อมกัน เงื่อนไขการเข้าร่วมประกวดงานนี้มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่น ภาพถ่ายที่ส่งเข้ามาจะต้องเป็นภาพที่ถ่ายจากกล้องของ iPhone หรือ iPad ความละเอียด 1,000 Pixel ขึ้นไปและยังไม่ผ่านการตีพิมพ์หรือลงในโซเชียลมีเดีย ตอนนี้ทาง iPhone Photography
ถ้าพูดถึงระบบรองรับแรงกระแทกของแบรนด์อย่าง Nike ผู้ชายหลายคนคงคุ้นเคยกันดีกับ “AIR” รวมถึงระบบ React ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน แต่ดูเหมือนค่าย Swoosh ยังยอมหยุดพัฒนาเรื่องความนุ่มสบายให้รองเท้าของพวกเขา ล่าสุดจึงเปิดตัวนวัตกรรมรองรับแรงกระแทกตัวใหม่ของค่ายที่เรียกว่า JoyRide ออกมา ถ้าพูดถึงระบบรองรับแรงกระแทก AIR ที่พัฒนาจนต่อยอดออกมาเป็นนวัตกรรมหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Air Max, Air Zoom, Air Huarache ที่หนุ่ม ๆ หลายคนโดยเฉพาะนักวิ่งหรือนักออกกำลังคงเคยสัมผัสความนุ่มสบายของระบบต่าง ๆ กันมาบ้าง Nike เองก็ทราบดีว่ากลุ่มลูกค้าของพวกเขาต่างมองหารองเท้าวิ่งที่มาพร้อมระบบรองรับแรงกระแทกที่นุ่มนวล นวัตกรรมรองรับแรงกระแทกที่ชื่อ Joyride จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาคิดค้นมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการนี้โดยเฉพาะ หลังจากเปิดตัวนวัตกรรม React มาได้ปีกว่า ๆ และได้เสียงตอบรับที่ดี จนถูกพัฒนาออกมารวมกับรองเท้ารุ่นต่าง ๆ มากมาย ล่าสุด Nike เปิดตัว Joyride นวัตกรรมรองรับแรงกระแทกกรรมสิทธิ์ล่าสุดที่ออกแบบมาสำหรับรองเท้ากีฬา โดยเฉพาะรองเท้าวิ่งระยะใกล้รวมถึงระยะกลาง หลักการทำงานของ Joyride คือการลดและกระจายแรงกระแทก ด้วยเม็ด Thermoplastic Elastomers (TPE) จำนวนมากที่ถูกห่อเอาไว้โดยเม็ดโพลิเมอร์เหล่านั้นจะมีลักษณะยืดหยุ่นคล้ายสปริงและมีความทนทานสูง เมื่อถูกน้ำหนักกดทับจะหดและขยายตัวได้แบบทุกทิศทาง อีกทั้งยังจัดการความเหมาะสมในการรองรับแรงกระแทกด้วยการแบ่งเม็ด TPE
G-SHOCK แบรนด์นาฬิกาเลื่องชื่อแห่งดินแดนอาทิตย์อุทัยยังคงพยายามเสาะหาสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม และนำมันมาปรุงรส เหยาะแรงบันดาลใจ ใส่ความคิดสร้างสรรค์ จนเกิดเป็นนาฬิกาเรือนเด็ดที่ได้ใจผู้ชายหลาย ๆ คน แล้วหนึ่งในรุ่นล่าสุดอย่าง ‘G-SHOCK GA700SK’ ก็ยังคงเป็นเช่นนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ดีไซน์ของตัวเรือนผูกโยงความคลาสสิกและโมเดิร์นเข้าด้วยกัน ออกแบบหน้าปัดเป็นทรงกลมตามรุ่นพิมพ์นิยมของตัวแบรนด์ รอบนอกและสายนาฬิกาห่อหุ้มด้วยเรซินกึ่งโปร่งใสและสีเมทัลลิกทูโทน สะท้อนความอาวองกาค์ (avant-garde) ของโลกอนาคตและกลิ่นอายแอนทีคแห่งยุค 80s ในเวลาเดียวกัน ย้อนไปในปี 1980 เป็นช่วงที่หลากหลายอุตสาหกรรมเริ่มหันมารังสรรค์ผลิตภัณฑ์โปร่งใสเป็นยุคแรก ไม่ว่าจะเป็นแว่นตา โทรศัพท์ หรือแม้แต่เรือนเวลา เคสด้านนอกที่ขาวโปร่งนั้นทำให้เรามองเห็นเนื้อในของวัสดุได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน G-SHOCK จึงหยิบเรซินกึ่งโปร่งใสที่เคยนิยมในยุคก่อนมาใช้เป็นวัสดุหลักในงานดีไซน์ของเรือนนี้ แถม G-SHOCK GA700SK ยังถอดแบบความแข็งแกร่งมาจากรุ่นพี่ G-SHOCK GA-700 ทำให้มันทนทานและสมบุกสมบันเป็นพิเศษ ด้วย mineral glass วัสดุปกป้องนาฬิกาประจำค่าย G-SHOCK ที่มีศักยภาพเหนือกว่าและใสกว่าวัสดุ acrylic ทำให้ G-SHOCK GA700SK เรือนนี้ทนทานต่อรอยขีดข่วน แรงกระแทก และกันน้ำได้ลึกถึง 200 เมตร หน้าปัดขนาด 52.68 มิลลิเมตร ถูกดีไซน์มาให้แสดงเลขเวลาทั้งแบบดิจิทัลและแอนะล็อก
ในที่สุดสถิติของราคารองเท้าที่มีราคาซื้อขายผ่านการประมูลของ Converse คู่ที่ตำนานยัดห่วงอย่าง Michael Jordan เคยใส่แข่งขันในรอบชิงในการแข่งขันกีฬา Olympics ในปี 1984 ก็ถูกทำลายลงแล้ว โดยแชมป์ใหม่กลายเป็นของรองเท้าต้นแบบจาก Nike ที่มีฉายาว่า “Moon Shoe” ใครที่เคยคิดว่ารองเท้ารุ่นหายากหรือโมเดลแรร์ในอดีตคงจะไม่มีราคาควรค่าแก่การครอบครอง อาจต้องคิดใหม่ เพราะราคาประมูลรองเท้าที่แพงที่สุดในโลกคู่ก่อนหน้าอย่าง Converse ‘Jordan Olympics 1984 มีราคาถึง 190,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 5.8 ล้านบาท ในขณะที่สถิติคู่ใหม่ที่เป็น Prototype ของรองเท้าวิ่งทั้งมวลในโลกอย่าง Nike ‘Moon Shoe ที่ถูกประมูลไปในราคา 437,000 ดอลลาร์หรือประมาณ 13.5 ล้านบาทเลยทีเดียว เจ้า Moon Shoe ถือเป็นบรรพบุรุษของรองเท้าวิ่งที่ผลิตโดย Nike ในช่วงปี 1970 ที่ Phil Knight และ Bill Bowerman ผู้อยู่เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของค่าย Swoosh ร่วมมือกันพัฒนาและสร้างขึ้นเพื่อให้กลายเป็นรองเท้าวิ่งที่มีประสิทธิภาพที่สุดในยุคนั้น ก่อนที่ Moon Shoe
จากโปรเจกต์ Sansiri Tree story ที่แสนสิริคงสภาพพรรณไม้รูปทรงสวยงามที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ว่างก่อนพัฒนาโครงการโดยไม่ตัดและหาวิธีรักษาไว้ กระทั่งเข้าไปพัฒนาโครงการจนเสร็จสมบูรณ์และออกแบบให้สถาปัตยกรรมอยู่ร่วมกับสีเขียวได้อย่างลงตัว ทำให้เห็นว่าปัจจุบัน โมเดลธุรกิจเริ่มหันไปให้คุณค่ากับสีเขียวมากขึ้น และ “แสนสิริ” ก็นับว่าเป็นหนึ่งในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ใส่ใจกับคุณภาพชีวิตและสังคมเสมอมา แต่ล่าสุดยังไม่หยุดแค่นั้นเพราะแสนสิริยังก้าวเป็นผู้นำด้านนำด้าน Green และ Well-Being ของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยจากการต่อยอดโปรเจกต์ Sansiri Backyard @ Sansiri Project ซึ่งเกิดจากการร่วมมือระหว่างแสนสิริ และ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปลี่ยนพื้นที่ส่วนกลางด้วยการยกระดับพื้นที่สวยให้กลายเป็นพื้นที่สวนที่ไม่ลดทอนความสวยเพิ่มขึ้นถึง 30 แห่ง ใช้พื้นที่ว่างให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจตลอดปีนี้ เพื่อพิสูจน์ความสวยที่ไม่ฉาบฉวยแต่หวังสร้างสังคมแห่งความยั่งยืนทั้งสภาพแวดล้อมและชุมชนอยู่อาศัยให้ยาวนาน UNLOCKMEN จึงไปสัมผัสงานดีไซน์ที่อัดแน่นแพสชั่นนี้ถึงถิ่นที่ Onyx โครงการแสนสิริย่านพหลโยธินด้วยสายตาตัวเอง รวมถึงได้รับฟังและพูดคุยร่วมกับคุณจริยา จันทร์เจิดศักดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และ คุณนฤมล อาภรณ์ธนกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารอาคารที่พักอาศัย บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด “สร้าง – ปลูก –
สวิตเซอร์แลนด์ ประเทศท่ามกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขา ประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในสงคราม และโดดเด่นด้วยยอดมัทเทอร์ฮอร์นที่เป็นมงกุฎตั้งตระหง่านกลางเทือกเขาแอลป์ ตลอดพื้นที่ 41,285 ตารางกิโลเมตร มีหลาย ๆ เมืองที่ผู้ชายเราคุ้นหูกันเป็นอย่างดี ทั้งลูเซิร์น ซูริค และเจนีวา แต่คงมีน้อยคนที่จะรู้จัก ‘บาเซิล’ เมืองแสนสงบทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของแม่น้ำไรน์ ถ้าเทียบกับเมืองอื่น ๆ ของสวิตเซอร์แลนด์ บาเซิลอาจไม่ได้มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อัดแน่นเท่าลูเซิร์น ไม่ได้ทันสมัยเฉกเช่นเจนีวา และไม่ได้โด่งดังเทียบเท่าซูริค แต่ที่นี่เป็นเขตแดนระหว่างสวิสเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมนี จึงกลายเป็นเมืองนานาชาติที่ซุกซ่อนกลิ่นอายของวิถีชีวิตอันหลากหลายและมีเสน่ห์บางอย่างที่บางคนยังไม่รู้ SWIM CITY นิทรรศการเมืองว่ายน้ำที่เปลี่ยนชีวิตของผู้คน The S AM (Swiss Architecture Museum) และ Future Architecture Platform เปิดตัวนิทรรศการใหม่ที่มีชื่อว่า ‘Swim City’ นำเสนอข้อมูลเชิงลึกและตีแผ่เรื่องราวประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการว่ายน้ำในแม่น้ำไรน์ พร้อมเชิญชวนให้ผู้คนที่หลงรักกิจกรรมนี้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการ ความเจริญที่เยื้องกรายและความวุ่นวายของจราจรใจกลางเมือง อาจเป็นอีกเหตุผลที่บั่นทอนคุณภาพชีวิตของชาวเมืองบาเซิล The S AM จึงตั้งใจจะผละฝูงชนออกจากตัวเมืองและชวนมาทำกิจกรรมยามว่างในพื้นที่สาธารณะ จากความคิดที่เชื่อว่า ‘แม่น้ำ’ คือทรัพยากรที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของคนในเมือง นำไปสู่การจัดนิทรรศการกลางน้ำที่หวังจะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับคนที่นี่
แหล่งน้ำกำลังโดนทำลาย หลอดพลาสติกทำร้ายสัตว์น้ำ แก้วพลาสติกใช้เวลาหลายปีเพื่อย่อยสลาย เรื่องนี้เรารู้กันมาเป็นชาติตั้งแต่ยังเรียนประถมแล้ว แต่ปัญหาหลายอย่างยังไม่ค่อยได้รับการแก้ไข และเมื่อมันทยอยลุกลามเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ วันนี้จึงถึงเวลาที่แต่ละฝ่ายออกมามีส่วนร่วมปลุกกระแสการรณรงค์รักษ์โลกในรูปแบบของตัวเอง วันนี้ UNLOCKMEN นำเรื่องราวเสื่อมโทรมที่บอกเล่าผ่านมุมมองทางศิลปะแสนสวยถ่ายทอดได้กระแทกใจกลับมาส่งต่ออีกครั้ง แม้ว่าทั้ง 3 นิทรรศการนี้จะจบลงแล้ว แต่เราคิดว่าควรแบ่งปันเพราะเนื้อหาของมันไม่เก่าเลย Popsicles project ผลงานชิ้นนี้เกิดขึ้นจาก 3 นักศึกษาชาวไต้หวันที่ร่วมมือกับโครงการที่ดูแลเรื่องน้ำเสีย นำเสนอโปรเจกต์รวบระหว่างการเสพสุนทรียภาพทางศิลปะและการเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน ด้วยการนำน้ำจากแหล่งน้ำเสีย 100 แห่งในไต้หวันมาและนำไปคงรูปในรูปแบบของแท่งไอติม ไอติมน้ำเสีย 1 แท่ง 1 สถานที่ ที่เขาใช้วิธีทำพิมพ์หล่อเรซินไว้สำหรับโชว์ จากนั้นสร้างแพ็กเกจสีสันสดใสห่อหุ้มไว้ เห็นแล้วอยากจะหยิบกิน แต่เมื่อแกะซองออกมาเห็นเนื้อไอติมใส ด้านในกลับมีมลพิษมากมายเจือปนอยู่ การนำเสนอโครงการแบบดักตีหัวอย่างนี้ไม่เพียงสนุก น่าสนใจ และเป็นไวรัลเท่านั้น แต่มันยังสะท้อนว่าวันนี้สังคมเรามองข้ามเรื่องน่าเกลียดและปัญหาต่าง ๆ ที่มีจากการไปโฟกัสมุมอื่นที่สวยงามมาแทนที่ด้วย 100%純污水製冰所 完整版形象影片來囉!!!好看=好吃?我們親自取臺灣100個污染水源地的水後,將其製成冰棒,因冰棒不易保存所以我們將他們再復刻成1:1的poly模型做展示,透過美麗包裝與內容物的反差感來傳達純淨水的重要,最後以圖鑑來呈現。那麼我們想問問大家的是:【這麼美的冰棒,你敢吃嗎?】設計團隊: 洪亦辰 、 郭怡慧 、鄭毓迪( Yudi Jheng)新一代設計展🏊↣ 台北世貿一館 / 編號D07(臺藝大)↣ 05.19(五) – 05.22(一)↣
สำหรับผู้ชายอย่างเรามีไม่กี่เรื่องที่สามารถปลุกเร้าความตื่นเต้นเร้าใจ และทำให้นัยน์ตาหรี่ปรือเบิกโพลงได้ในทันที ‘มอเตอร์ไซค์คลาสสิก’ ก็เป็นหนึ่งในความสนใจที่มีไม่กี่เรื่องนั้น นอกจากความเก๋เท่เก๋าของรถคลาสสิกที่คนอื่นมองเห็น บรรดาผู้ชายต่างรู้กันดีว่ามันมีคุณค่ามากกว่านั้น แล้วดูเหมือน RECAST MOTO บริษัทเวิร์กช็อปรถจักรยานยนต์ชื่อดังแห่งเบลารุสก็คิดเช่นเดียวกับเรา โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์และความรู้ทั้งหมด ถ่ายทอดลงในมอเตอร์ไซค์คลาสสิกที่ดัดแปลงให้ทันสมัย เพิ่มดีกรีความเท่ และไม่ทิ้งกลิ่นอายของมอเตอร์ไซค์เก่าที่ยังสวยงามเสมอแม้เวลาเปลี่ยน หลังจากประสบความสำเร็จจากการดีไซน์ MOTO GUZZI NEVADA 750 รุ่นก่อน RECAST MOTO ก็นำทายาทคันใหม่ ‘MOTO GUZZI CALIFORNIA 1100’ ออกมาโลดแล่นบนถนนอีกครั้ง โดยเอาโครงรถของปี 2005 มาดัดแปลงรูปลักษณ์ให้มีเสน่ห์ยิ่งขึ้น เพิ่มขนาดรถ กันชน และเครื่องยนต์ให้ใหญ่กว่าเดิม ปรับปรุงส่วนท้ายรถและโช้คอัพด้านหลังให้แข็งแรงและมีประสิทธิภาพ แถมยังตัดแต่งหน้ารถให้สั้นลงเพื่อให้มันดูเท่และก้าวร้าวเมื่อต้องขับโฉบเฉี่ยวบนท้องถนน เสริมความปราดเปรียวอีกชั้นด้วยเบาะนั่งเพรียวบาง พร้อมชุดตกแต่งด้านหลังของ Tarozzi ที่ดัดแปลงมาเพื่อสร้างตำแหน่งการขับขี่ทีดีขึ้น มาพร้อมชุดยาง Hendenau K60 ที่ใช้วัสดุไทเทเนียมทองคำตกแต่งบริเวณจุกยาง ดัดแปลงขอบยางของล้อหลังให้กว้างกว่าเดิม แถมตัวดิสก์เบรกและเฟืองโซ่ก็ทนทานกว่า MOTO GUZZI NEVADA 750 คันก่อน ทั้งยังนำมาตรวัดความเร็วของ T&T มาใช้แทนบาร์ตัวเดิมด้วย เพิ่มถังแก๊ส
ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยของเล่นตัวต่อและรถมอเตอร์ไซค์คันงามก็เป็นไอเทมที่ไม่มีวันหายไป โดยเฉพาะกับ Lego และรถมอเตอร์ไซค์คันโตสัญชาติอเมริกาอย่าง Harley-Davidson® แต่จะเป็นอย่างไรถ้าทั้งแบรนด์ของเล่นและแบรนด์รถจักรยานยนต์หันมาจับมือกันปล่อยคอลเลกชันตัวต่อสุดพิเศษที่ถอดแบบ Fat Boy รถรุ่นดังออกมาได้เหมือนเปี๊ยบ? ตัวต่อจำลองที่ถอดแบบรถรุ่น Fat Boy เป็นผลงานการร่วมมือกันระหว่างแบรนด์ของเล่นชื่อดังกับแบรนด์มอเตอร์ไซค์สุดคลาสสิกสัญชาติอเมริกาอย่าง Harley-Davidson® ประณีตบรรจงทุกอณูจากการเก็บรายละเอียดครบถ้วนตั้งแต่งานออกแบบ สีแดงสดที่แต่งแต้มลงบนตัวถัง สีดำตรงตัวรถ ล้อแม็กแบบตัน ถังน้ำมันเทียร์ดรอป เซ็ตมาตรวัดความเร็ว ท่อไอเสียแบบคู่ ไปจนถึงการเคลือบผิวให้เงาวับ นอกจากนี้ล้อ ลูกสูบ ก้านเบรก แฮนด์มอเตอร์ไซค์ของตัวโมเดลยังสามารถขยับได้ แถมขาตั้งที่ให้มาก็สามารถพับตั้งโชว์ได้เพื่อให้ Lego รุ่นพิเศษนี้เหมือนกับรถมอเตอร์ไซค์ต้นแบบทุกประการ รูปทรงของ Lego Harley-Davidson® Fat boy™ มีขนาดความสูง 7 นิ้ว (20 เซนติเมตร) กว้าง 18 เซนติเมตร ยาว 12 นิ้ว (33 เซนติเมตร) และมีตัวต่อทั้งหมด 1,023 ชิ้น นอกจากความเหมือนระดับเคาะพิมพ์ออกมา Fat Boy ที่ไม่ได้ซิ่งลงถนนคันนี้ยังน่าสนใจกว่าจาก Option ที่เราสามารถดัดแปลงเพิ่มเติมให้มีดีไซน์เฉพาะเป็นของตัวเองได้ ไม่ซ้ำใครอย่างแน่นอน สำหรับหนุ่มผู้ชื่นชอบและหลงใหลรถมอเตอร์ไซค์