“ดนตรี” คือสิ่งที่อยู่คู่กับเราในทุกจังหวะชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเพลงช้า, เพลงเร็ว, เพลงเศร้า, เพลงอกหัก, เพลงโลกสดใส หรืออะไรก็ตาม มันเปรียบเสมือนซาวด์แทร็กประจำตัวที่คอยบันทึกความทรงจำและความรู้สึกของช่วงเวลาต่าง ๆ ในชีวิตเอาไว้ และแน่นอนมันยังเป็นสิ่งที่มอบความบันเทิงให้กับเราได้อยู่เสมอ แต่นอกเหนือจากสิ่งที่ได้เกริ่นมา ดนตรียังสามารถใช้ในการจัดการอารมณ์และสภาวะจิตใจต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในตัวเราได้อีกด้วย มาลองทำความเข้าใจและใช้ดนตรีให้เกิดประโยชน์ในรูปแบบใหม่ ๆ กันดีกว่าครับ ใช้ดนตรีปรับสภาวะอารมณ์ หากไม่ใช่แนวเพลงที่ชอบคุณอาจจะรู้สึกรำคาญใจในการฝืนฟังมันต่อไปเรื่อย ๆ นอกจากนั้นแล้วมันยังส่งผลให้มีอารมณ์ด้านลบและความเครียดเกิดขึ้นมาได้ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะส่งต่อไปกระทบต่อสภาพจิตใจโดยตรง แต่ในทางกลับกันถ้าเมื่อไหร่ที่ได้ฟังเพลงที่กระตุ้นให้คุณรู้สึกอารมณ์ดี นั่นหมายความว่าคุณกำลังเจอแนวเพลงที่ใช่และเหมาะกับคุณแล้ว ตัวอย่างเช่น หากคุณชื่นชอบเพลงเมทัลและเข้าใจบริบทของมันเป็นอย่างดี มันก็จะช่วยให้คุณสามารถฟังเพลงไปแบบชิล ๆ พร้อมกับสร้างบรรยากาศที่เราเอนจอยกับกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ได้ ณ ขณะนั้น ทั้งนี้องค์ประกอบของแนวเพลงที่แตกต่างกันออกไปก็มีผลต่อสมองในรูปแบบที่แตกต่างออกไปเช่นกัน คุณก็ควรเลือกแนวเพลงให้เหมาะสมกับช่วงเวลาที่คุณต้องการจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ใช้ดนตรีสร้างความผ่อนคลาย ดนตรีถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการพาตัวเองเข้าสู่โหมดความผ่อนคลายสลายความเครียดที่ต้องเผชิญมา เรื่องดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่เรารู้สึกไปเอง เพราะมีนักวิจัยได้ทดลองและพบว่าดนตรีเป็นสิ่งที่ช่วยให้ระบบประสาทผ่อนคลายได้ในระยะเวลาอันสั้น พวกเขาได้ทดลองใช้การมิกซ์เสียงที่หลากหลาย, ทดลองใช้คลื่นความถี่ และทดลองใช้แอมพลิจูด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ว่าดนตรีประเภทไหนสามารถทำให้ผู้ทดสอบรู้สึกสงบลงและผ่อนคลายไปในเวลาเดียวกัน และก็เป็นแนวเพลงคลาสสิคเช่นผลงานของโชแปง ที่ได้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนน่าจะพอคาดเดากันได้ ใช้ดนตรีสร้างสมาธิ หลาย ๆ คนอาจจะเคยเผชิญอาการหลุดสมาธิในระหว่างการทำงาน สิ่งเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการฟังเพลงเช่นกัน นักวิจัยได้ค้นพบว่าบทเพลงของโมสาร์ทหรือแนวดนตรีที่ใกล้เคียงกันสามารถช่วยเพิ่มสมาธิให้กับเราได้ เนื่องจากดนตรีเหล่านี้จะส่งอิทธิพลไปยังพื้นที่สมองที่รับผิดชอบในเรื่องของการจดจำได้โดยตรง
นอกจาก IQ (Intelligence Quotient) หรือความฉลาดทางเชาวน์ปัญญาแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่หนุ่ม ๆ จะขาดไม่ได้เพื่อเป็นบุคคลคุณภาพในสังคมคือ EQ (Emotional Quotient) หรือความฉลาดทางอารมณ์ ทั้งสองสิ่งนี้ต่างก็ช่วยเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน จะขาดด้านใดด้านหนึ่งไปไม่ได้ สำหรับ IQ นั้นทุกคนน่าจะทราบกันดีอยู่แล้วว่ามันหมายถึงอะไร และก็น่าจะเคยผ่านการทดสอบเพื่อวัดระดับของตัวเองกันมาแล้ว ดังนั้นวันนี้เราจึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักอีกด้านของความฉลาด ที่ไม่เกี่ยวกับความรู้ แต่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ให้มากขึ้น สำหรับ EQ นั้นประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้านด้วยกัน Awareness of Emotions: การตระหนักรู้ถึงอารมณ์ตัวเองและคนรอบข้าง Harnessing of Emotions: การควบคุมอารมณ์และปรับใช้อารมณ์เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตได้อย่างเหมาะสม Managing of Emotions: การจัดการบริหารอารมณ์ วันนี้เราจะมาพูดถึงพฤติกรรมหรือนิสัยที่ผู้มี EQ สูงพึงกระทำ เพราะสิ่งเหล่านี้จะนำมาซึ่งการประสบความสำเร็จในอนาคต รู้จักตัวเอง หนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของการเป็นผู้มีความฉลาดทางอารมณ์คือการตระหนักรู้ถึงอารมณ์ตัวเอง การรับรู้ถึงอารมณ์ตัวเองจะทำให้เราสังเกตถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและรับมือมันได้อย่างถูกต้อง ก่อนจะนำไปสู่การแก้ปัญหาแบบเป็นขั้นเป็นตอน ใจเย็น มีสติ ไม่วู่วาม ทำให้ปัญหาถูกคลี่คลายในแบบที่ควรจะเป็น รับรู้ถึงอารมณ์ผู้อื่น การรับรู้แค่ตัวเองนั้นไม่เพียงพอ เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เกือบทุกช่วงเวลาของชีวิตเราคือการอยู่ร่วมกับคนอื่น ดังนั้นการที่เราสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกคนอื่นได้จะทำให้เรารู้ว่าเราควรปฏิบัติกับคน ๆ นั้นอย่างไร ควรใช้คำพูดแบบไหนกับคนแบบนี้ ควรปลอบเวลาไหน ควรกระตุ้นเวลาไหน
วันไหนเศร้า เราฟังเพลง Feeling Blue จนจมดิ่งไปกับมัน วันไหนอารมณ์ดี เราฟังเพลง Pop ที่สดใสไม่แพ้กับอารมณ์ของเรา หรือวันไหนอยากพักผ่อน เพลง Acoustic, Folk ที่ให้อารมณ์ Chill จนเหมือนได้เอนกายลงบนที่นอนนุ่ม ๆ ในบ่ายวันหยุด จนเราคุ้นเคยกันดีว่าเพลงที่เราฟังมันเชื่อมต่อกับอารมณ์ในตอนนั้นอยู่แล้ว UNLOCKMEN จะพามาดูว่าเพลงมันไม่ได้ส่งผลแค่อารมณ์เท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงมุมมองของคุณต่อโลกใบนี้อีกด้วย ดนตรีเปลี่ยนมุมมองของเราได้ยังไง ? จากการศึกษาของ University of Groningen ใน Netherlands พบว่าดนตรีไม่ได้ส่งผลกับแค่อารมณ์ของเราเท่านั้นแต่ส่งผลถึงมุมมอง ความคิด ของเราอีกด้วย เพลงที่คุณฟังนั่นแหละสามารถส่งผลกับมุมมองและความเข้าใจโลกใบนี้อีกด้วย ผู้ค้นคว้ารีเสิร์ชเรื่องนี้อย่าง Jacob Jolij และ Maaike Meurs จาก Psychology Department พบว่าเวลาคนเราฟังเพลงที่ให้มู้ดความสุขเนี่ย มันไม่ได้ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นเท่านั้น แต่ทำให้มองสิ่งรอบ ๆ ตัวดูมีความสุขไปด้วย และในทางตรงกันข้ามกันก็เป็นแบบนั้น หากเราฟังเพลงที่ทำให้อารมณ์เราอึมครึม มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งรอบตัวของเราแม่งเศร้าตามไปด้วย เหมือนอยู่ดี ๆ ก็โดนเมฆหมอกของความเศร้าปกคลุมซะอย่างงั้น พูดให้ชัด
ความสุขเป็นเหมือนของล้ำค่าที่ใคร ๆ ก็อยากได้ บางคนได้มันมาง่าย ในขณะที่บางคนก็รู้สึกว่าไขว่คว้ามันมาได้ยาก เพราะแต่ละคนต่างมีสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุขไม่เหมือนกัน เราเลยต้องเข้าใจว่าแต่ละคนจึงมีความสุขไม่เท่ากัน แต่ที่เหมือนกันคือทุกคนอยากมีความสุขกันทั้งนั้น UNLOCKMEN ขอแนะนำเทคนิคดี ๆ ที่จะทำให้เรามีความสุขแบบไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องวิ่งตามอะไรบางอย่างที่มันแทบจะไม่ใช่ความสุขของเราเองด้วยซ้ำ แต่ให้หันมาโฟกัสกับความสุขของเราเองจริง ๆ กันดีกว่า เมื่อเราพูดถึงความสุขเราคงนึกถึงความสุขที่เราจะต้องมีตลอดเวลาและมีทุกวัน ทุกนาที แบบไม่มีอะไรมาแทรกถึงจะเรียกว่าความสุขจริง ๆ แบบนั้นมันยากไปมั้ย ? ลองมาตั้งความสุขแบบที่แตกต่างออกไปกันดีกว่า ลองเป็นความสุขที่เหมาะกับเราและอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละคนด้วย แบบนี้ล่ะเป็นไง ? ลองมองความสุขเป็นอะไรง่าย ๆ ใกล้ตัวอย่าง อาหารโปรด สีที่ชอบ เพลงที่ชอบ แต่บางครั้งการที่เรามีมันมาก ๆ ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะมีความสุขมากกว่าเสมอไป ในทางตรงกันข้าม เมื่อเรามีโอกาส เราก็กินแค่ที่จำเป็น แต่เมื่อเราได้ลองลิ้มรสอาหารจานโปรด มันทำให้เรามีความสุขมากกว่าการกินเพื่ออิ่ม แบบนี้เรานับว่าเป็นความสุขได้มั้ย ในเมื่อมันไม่ใช่สิ่งจำเป็น ? เราควรจำประสบการณ์ที่แย่ ๆ ที่ทำให้เราเศร้า ผิดหวัง เอาไว้ให้ดี เพราะมันทำให้ความสุขของเราชัดเจนขึ้น การที่เราคิดว่าคนอื่นมีความสุขเสมอ มันคือเรื่องเข้าใจผิด แม้ว่าคนส่วนใหญ่ดูเหมือนจะมีชีวิตสุดแสนจะเพอร์เฟกต์และพวกเขาก็น่าจะมีความสุขกันตลอดเวลา ตั้งแต่เด็กเราจะถูกปลูกฝังให้ใช้ชีวิตแบบ “happily-ever-after” อย่างที่เราเห็นในนิทานบ่อย ๆ
“สบายมากครับ” เป็นคำพูดที่บรรดาชายชาตรีมาดแมนอย่างเรามักจะใช้บอกคนรอบข้างบ่อย ๆ เวลามีปัญหา หลายครั้งก็เป็นการหลอกตัวเองว่าเราสบายดี ยิ่งกับเรื่องอารมณ์ด้วยแล้ว ภาวะผู้นำของเราเหมือนถูกกำหนดมาให้ต้อง Keep Calm อยู่บ่อย ๆ ทั้งที่ในใจบางทีก็เดือด เหงา เศร้า เหมือนคนอื่น ๆ จนสุดท้ายกว่าจะรู้ตัวอีกทีสติที่มีก็ขาดผึงไปจนอาการย่ำแย่ เพื่อกอบกู้อารมณ์ที่เก็บไว้ข้างในให้ใสสะอาดไม่ขุ่นมัว มันเลยมีนวัตกรรมชิ้นนี้ขึ้นมา เรียกว่า “ชุดปฐมพยาบาลอารมณ์” ไว้ใช้เป็นอุปกรณ์สามัญประจำบ้านติดตัวไว้อีกกล่องเพิ่มจากพวกกล่องยาแดง แอลกอฮอล์ หรือสำลี ที่ต้องมีรักษาแผลสด โดยเกิดจากการตั้งคำถามของ Rui Sun ดีไซน์เนอร์ที่ตั้งคำถามว่าทำไมโลกใบนี้มันถึงผลิตแต่โปรดักส์รักษาแผลกายไม่ยอมเหลียวแลแผลใจกันบ้าง “Why do so many products ease physical pain and so few treat emotional stress?” – Rui Sun เปิดกล่อง หยิบใช้ เพื่อให้ครอบคลุมเรื่องเครียด ข้างในกล่องปฐมพยาบาลอารมณ์จะมีของให้เราได้ใช้อยู่ 5 ชิ้น จากการสำรวจคร่าว ๆ