แฟนหนังที่ชื่นชอบเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ไม่ว่าจะเป็นทีม Marvel หรือ DC ต่างต้องเคยได้ยินเรื่องราวของชายที่ชื่อว่า Shazam กันมาบ้างไม่มากก็น้อย แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ตามจักรวาลซูเปอร์ฮีโร่อาจจะคิดว่า Shazam คือชื่อของแอปพลิเคชั่นช่วยค้นหาชื่อเพลง เพราะฮีโร่ Shazam ยังเป็นของใหม่สำหรับใครหลายคน ด้วยเหตุนี้เอง UNLOCKMEN จึงอยากพาไปทำความรู้จักกับฮีโร่สุดป่วนที่ได้รับพลังพิเศษจากเทพเจ้าให้มากขึ้น Shazam คือฉายาของฮีโร่ชุดแดงที่เป็นอีกร่างหนึ่งของเด็กชายวัย 14 ปี นามว่า Billy Batson เด็กกำพร้าที่ใช้ชีวิตทั่วไปแบบคนธรรมดา แต่แล้ววันหนึ่งเขาได้พบกับจอมขมังเวทย์ที่มอบ “พรจากพระเจ้า” ที่เปลี่ยนชีวิตของเด็กกำพร้าคนนี้ไปตลอดกาล พรที่ว่าคือความสามารถเหนือมนุษย์จากเทพเจ้าทั้ง 6 ได้แก่ Solomon เทพเจ้าแห่งปัญญา Hercules ชายผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งพละกำลัง Atlas ตัวแทนของความทรหดอดทน Zeus เทพเจ้าสูงสุดผู้อยู่เหนือเทพทั้งปวงที่มาพร้อมกับสายฟ้าฟาด Achiles เทพเจ้าผู้เต็มไปด้วยความกล้าหาญ และ Mercury เทพเจ้าแห่งความเร็ว เมื่อนำพยัญชนะแรกของเทพเจ้าทั้งหมดมารวมกันจะได้คำว่า “SHAZAM” เมื่อเด็กหนุ่มได้รับพรจากพระเจ้ามาแล้ว สิ่งต่อไปที่เขาต้องเรียนรู้คือการนำพลังพิเศษออกมาใช้ โดยการเรียกพลังในแต่ละครั้งนั้นแสนง่ายดายเพียงแค่พูดว่า “Shazam” ก็จะเกิดสายฟ้าฟาดใส่ตัวและทำให้บิลลี่กลายร่างเป็น Shazam ฮีโร่ผู้มาพร้อมกับความสามารถของเทพเจ้าทั้ง 6 คน สวมชุดที่สีแดงสดและสัญลักษณ์สายฟ้าฟาดสีเหลืองโดดเด่นตรงกลางอก และเมื่อต้องการกลับร่างเดิมก็ทำได้ง่าย ๆ
เสียง “Victory Lap” ดังก้องอยู่ในหูและเป็นหนึ่งในลิสต์เพลงแร็ปฯ ที่เรายังนั่งฟังวนกัน แต่บ่ายวันนี้ เสียงเพลงเบากว่าเสียงปืนที่ดังขึ้น พร้อมข่าวดังที่ทำให้พวกเราแฟนเพลงของเขา “NIPSEY HUSSLE” ต้องใจหาย เมื่อนักแร็ปอเมริกันชื่อดังจากเราไปกะทันหันจากกระสุนที่วิ่งเข้าร่างเขา ขณะที่ยืนอยู่หน้า Marathon Clothing ร้านขายเสื้อผ้าของตัวเองใน Hyde Park สำหรับคนที่ไม่ใช่แฟนเดนตายของ “NIPSEY” อาจได้ยินชื่อของเขาผ่านหูจากงาน Grammy Award ครั้งที่ 61 ที่เพิ่งจัดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพราะเขาคือหนึ่งในห้าผู้ได้รับการเสนอชิงรางวัล Best Rap Album 2019 แม้สุดท้ายรางวัลนี้จะตกไปอยู่กับ Cardi B ก็ตาม แต่การมีชื่อเขาเข้าเสนอชิงรางวัลเดียวกันกับคนดัง ๆ หลายคนที่เคยได้รับการเสนอชื่อมาเป็นประจำ ทั้ง Eminem Jay-z หรือ Kendrick Lamar ก็การันตีได้ว่า ผลงานของเขาไม่ธรรมดาเช่นกัน เพื่อไว้อาลัยการจากไปของ NIPSEY HUSSLE เราขอเสนอประวัติของเขาให้พวกคุณได้สัมผัส จากหลากหลายมุมมอง พร้อม 5 Tracks ยอดนิยมขณะนี้ที่คัดสรรมาให้เปิดคลอเพื่อรำลึกถึงเขา
เนื้อหาในบทความนี้อ้างอิงจากมังงะเรียกเขาว่าอีกาเล่ม 1-26 และ Worst เล่ม 1-33 เท่านั้น ถ้าถามเด็กผู้ชายยุค 90-2000 เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักผลงานมังงะอันเลื่องชื่อของอาจารย์ ฮิโรชิ ทากาฮาชิ เรื่อง เรียกเขาว่าอีกา ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะนี่คือหนึ่งในมังงะสายนักเลงที่ประสบความสำเร็จที่สุด ครั้งหนึ่งเราเคยอยากสูบบุหรี่ยี่ห้อ Seven Stars เคยอยากขี่มอเตอร์ไซค์ เคยอยากใช้กำลังเป็นตัวตัดสินถูกผิด เลียนแบบตัวละครในเรื่อง แต่สุดท้ายเมื่อได้อ่านจนจบ สิ่งที่เราได้จากมังงะเรื่องนี้กลับเป็นมุมมองด้านมิตรภาพที่ไม่สามารถหาได้จากหนังสือเรียนเล่มไหน เมื่อพูดถึง เรียกเขาว่าอีกา ก็ต้องนึกถึง โรงเรียนมัธยมปลายซูซูรัน โรงเรียนของเหล่าตัวเอกในเรื่อง เป็นโรงเรียนที่เปรียบเหมือนฝูงอีกาฝูงใหญ่ ไม่มีใครสามารถรวมให้เป็นหนึ่งได้ ทุกคนต่างยึดมั่นในศักดิ์ศรีไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างใคร อย่างไรก็ตามท่ามกลางฝูงอีกาอันเกรี้ยวกราด ก็มีอีกาบางตัวที่แข็งแกร่งกว่าตัวอื่น ๆ เราเรียกพวกเขาว่า ผู้ยิ่งใหญ่แห่งซูซูรัน พวกเขาเหล่านี้คือผู้ใกล้เคียงที่จะรวบรวมฝูงอีกาให้เป็นหนึ่งเดียวมากที่สุด และวันนี้เราจะไปทำความรู้จักพวกเขากัน โบยะ ฮารุมิจิ โบยะ ฮารุมิจิ พระเอกของเราคือนักเรียนรุ่นที่ 25 แห่งโรงเรียนมัธยมซูซูรัน เขาปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับในวันเปิดเรียนวันแรกในฐานะนักเรียนมัธยมปลายชั้นปีที่ 2 ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปว่าเจ้าหนุ่มผมทอง ท่าทางกวนอวัยวะเบื้องล่าง เจ้าชู้ชีกอ ดูไม่มีพิษมีภัยนี้เป็นใครมาจากไหน ถึงจะไม่ได้ไประรานใครก่อน แต่ด้วยเอกลักษณ์ที่ใครเห็นก็ต้องหมั่นไส้ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะโดนเหล่าอันธพาลในโรงเรียนหาเรื่อง ซึ่งตอนนั้นก็เป็นครั้งแรกที่เราคนอ่านและบรรดานักเรียนของซูซูรันได้รับรู้พร้อมกันว่าภายใต้นิสัยที่ดูไม่เอาไหน แท้จริงแล้วเจ้าผมทองคนนี้มีฝีมือการชกต่อยแสนร้ายกาจ สามารถล้มคู่ต่อสู้นับสิบได้แบบสบาย ๆ ใช้เวลาไม่นาน ชื่อของ โบยะ
ในโลกมีผู้กำกับไม่กี่คนที่เราดูหนังเขาเพียงไม่กี่นาทีก็รู้ทันทีว่านี่คือฝีมือการกำกับของใคร เนื่องจากลายเซ็นและเอกลักษณ์อันชัดเจนที่แทรกอยู่ในทุกไดอะล็อก ทุกซีน หนึ่งในผู้กำกับตามนิยามที่ว่านั้นต้องมีชื่อของ Quentin Tarantino ผู้กำกับหนุ่มใหญ่วัย 56 จาก เทนเนสซี สหรัฐอเมริการวมอยู่ด้วยแน่นอน หนังบ้าอะไรวะเนี่ย แม่งพูดกันทั้งเรื่อง! ลายเซ็นที่ชัดเจนของหนัง Quentin คือการดำเนินเรื่องที่ฉับไว และบทสนทนาน้ำไหลไฟดับที่บางครั้งก็เลยเถิดไปไกลจนไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง สำหรับบางคนมันคือเสน่ห์ แต่อีกหลายคนก็รู้สึกรำคาญ ดังนั้นความเห็นต่อหนังของ Quentin เสียงจึงแตกเป็น 2 ฝ่าย ไม่รักหัวปักหัวปำ ก็เกลียดไปเลย Esquire ความรักที่แฟนหนังมีต่อ Quentin เห็นได้ชัดจาก Once Upon a Time in Hollywood ภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเขา หลังจากปล่อยภาพโปสเตอร์ รายชื่อนักแสดง เรื่องย่อ และ Trailer ออกมา ทั่วโลกก็ตกอยู่ในภาวะ Hype เกิดเป็นกระแสวงกว้างในโลกออนไลน์ ก็แน่ล่ะ Leonardo DiCaprio ประชันบทบาทกับ Brad Pitt เพิ่มความสดใสด้วย Margot Robbie กำกับโดย Quentin Tarantino มาในพล็อตจิกกัดวงการฮอลลีวูดยุค 60 ใครบ้างจะไม่อยากดู ปรากฏการณ์นี้เป็นสิ่งยืนยันได้อย่างดีว่าชื่อของ Quentin Tarantino ได้ก้าวสู่ทำเนียบผู้กำกับชั้นนำระดับโลกอย่างเต็มตัวแล้ว
บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของการ์ตูนเรื่อง Bakuman ‘วงการการ์ตูน’ คือหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศญี่ปุ่น ในแต่ละปีสร้างรายได้ให้กับประเทศนับล้าน ๆ เยน นับเป็นสิ่งหอมหวานที่ใคร ๆ ก็อยากเข้าหา แต่ภายใต้ฉากหน้าที่สวยหรู แท้จริงแล้ววงการนี้ก็มีความโหดร้ายที่คร่าชีวิต ทำลายความฝันของผู้คนมาแล้วมากมาย เพียงแต่ไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาให้ภายนอกรับรู้ แต่ในปี 2008 ‘Bakuman วัยซนคนการ์ตูน’ มังงะผลงานของอาจารย์ สึงูมิ โอบะ และ ทาเกชิ โอบาตะ ที่เคยฝากฝีมือไว้ในมังงะชื่อดังอย่าง Death Note ก็ตีพิมพ์ออกมา นี่คือมังงะที่กล้าจะนำเสนอเรื่องราวของอุตสาหกรรมการ์ตูนญี่ปุ่นอย่างเจาะลึก ทั้งด้านดีและร้าย ตีแผ่ทุกแง่มุม เนื่องจากมังงะเรื่องนี้เปรียบเสมือนบันทึกชีวิตของอาจารย์ผู้เขียนทั้ง 2 ทุกอย่างในเรื่องจึงออกมา ‘จริง’ และ ‘เชื่อถือได้’ นอกจากนั้นยังมีการผสมผสานธีมการวิ่งตามความฝันของเด็กหนุ่มเข้าไปได้อย่างลงตัว Bakuman จึงออกมาเป็นมังงะที่กลมกล่อม สุข เศร้า เหงา ซึ้ง มีครบทุกรสชาติของชีวิต ทำลายกำแพงความกลัวด้วยความกล้า มาชิโระ โมริทากะ เป็นเด็กหนุ่มวัยมัธยมต้นปีสุดท้าย เขาเป็นคนจืดชืด ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย ไร้ความฝัน มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาชัดเจนคือความรักที่มีต่อ อาซึกิ มิโฮะ เด็กสาวเพื่อนร่วมห้องที่เขาแอบชอบมานาน แต่ก็ไม่กล้าบอกเธอเนื่องจากอาซึกิเปรียบเหมือนดาวประจำโรงเรียน มีแต่หนุ่ม ๆ รุมล้อม ส่วนเขาเป็นเพียงคนไร้ตัวตน อย่างไรก็ตามหนึ่งสิ่งที่คนธรรมดาอย่างเขาทำได้ดีคือ
ถือเป็นข่าวใหญ่สำหรับคนวงการภาพยนตร์และเหล่าแฟนหนัง หลังจากสองค่ายชื่อดังของอุตสาหกรรมภาพยนตร์เจรจาทำข้อตกลงกันอยู่นาน ในที่สุด Walt Disney Company ก็ซื้อ 21st Century Fox บริษัทแม่ที่ถือลิขสิทธิ์หนังในเครือ 20th Century Fox ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะส่งผลกระทบต่อโลกภาพยนตร์รวมถึงซีรีส์เรื่องโปรดของใครหลายคนอย่างแน่นอน UNLOCKMEN จะพาไปสำรวจว่ามีหนังเรื่องอะไรที่จะต้องย้ายบ้านเข้ามาอยู่กับดิสนีย์บ้าง ? Bob Iger ประธานกลุ่มบริษัท ABC และ CEO ของดิสนีย์คนปัจจุบันวางแผนขยายอาณาจักรโดยการกว้านซื้อกิจการอุตสาหกรรมบันเทิงมากมาย เช่น Lucasfilm (ที่โด่งดังมาจากภาพยนตร์เรื่อง Star Wars), จักรวาลซูเปอร์ฮีโร่ Marvel Entertainment และค่ายแอนิเมชันชื่อดัง Pixar จนล่าสุดถึงได้มาเจรจาต่อรองกับ Fox ข้อตกลงการซื้อ-ขาย ของทั้งสองค่ายเสร็จสิ้นเมื่อตอนเที่ยงคืนสองนาที ของวันที่ 20 มีนาคม 2019 ในราคา 71.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราคาเดิมที่ต่อรองกันช่วงแรกคือ 52 พันล้าน) คิดเป็นเงินไทยกว่า 2.3 ล้านล้านบาท ทำให้ครอบครัวของดิสนีย์มีสมาชิกใหม่เข้ามาเพิ่มเป็นจำนวนมาก โดยภาพบนเว็บไซต์หลักของ The Walt Disney
กฎข้อแรกของแฟนหนังไฟต์คลับ คือ ต้องจำหนุ่มออฟฟิศหน้าตาซื่อบื้อได้ ชีวิตเฮงซวยกับหน้าตาเบื่อโลก ทำให้บทของเขาในเรื่องนี้เป็นที่จดจำ หรือจะเป็นพี่ชายตัวแสบหัวรุนแรงใน American History X กับคาแรกเตอร์ Neo-Nazi ที่แสนจะติดตา และอีกหลายเรื่องที่การแสดงของเขาโดดเด่นจนทำให้เราเชื่อว่าเขาเป็นตัวละครนั้นจริง ๆ แค่สองเรื่องที่พูดถึงมา คงไม่มีใครกังขาในความสามารถของเขา เราจะพามาสำรวจชีวิตเบื้องหลังจอเงิน อะไรที่ผลักดันให้เขาสวมบทบาทได้เหมือนสวมวิญญาณเข้าไปขนาดนี้ THE GREAT NORTON ปฐมบทของการแสดง เริ่มต้นจากภาพยนตร์เรื่อง Primal Fear (1996) ฝีมือการกำกับของ Gregory Hoblit ช่วงเริ่มโปรเจ็กต์ เขามองหานักแสดงวัยละอ่อนที่จะมาประกบคู่กับ Richard Gere ในตอนแรกบทนี้ถูกเสนอให้กับ Leonardo DiCaprio แต่เป็นอันล้มเลิกไป เลยเป็นอันต้องพักกอง รอจนกว่าจะเจอดวงดาวที่ใช่ จนกระทั่งมาพบกับ Edward ในรอบออดิชั่นที่เอาชนะคู่แข่งอีกนับพันคนไปได้แบบลอยตัว และความเจิดจรัสของเขาไม่หยุดอยู่แค่รอบออดิชั่น ฝีมือการแสดงส่งผลให้เขาได้เข้าชิงออสการ์สาขา Best Supporting Actor กันตั้งแต่ผลงานเรื่องแรก เพียงสองปีต่อมา Edward ได้แจ้งเกิดแบบพลุแตกกับบทบาท Neo-Nazi ตัวจี๊ดแห่ง American History
บทความนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของคนชอบดูหนังคนหนึ่งเท่านั้นและมีการสปอยตอนจบของภาพยนตร์หลายเรื่อง ครั้งก่อนเราเขียนถึงเพลงตอนจบภาพยนตร์สุดประทับใจ (ย้อนอ่านได้ที่ 7 เพลงตอนจบภาพยนตร์สุดประทับใจ) แต่ยังไม่หมดแค่นั้น ตอนจบภาพยนตร์คือสิ่งที่เราหลงใหล วันนี้เราจะพูดถึงตอนจบภาพยนตร์เพียว ๆ แบบไม่มีเพลงมาเกี่ยวข้อง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ประทับใจไม่รู้ลืม ตกผลึกอยู่ในความทรงจำไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน Gone with the Wind (1939) Director: Victor Fleming, George Cukor ‘Frankly, my dear, I don’t give a damn’ นี่คือประโยคสุดท้ายจากภาพยนตร์เรื่อง Gone with the Wind และเป็นประโยคอันดับ 1 ตลอดกาลจากการจัดอันดับของ American Film Institute ถ้าใครไม่เคยดู Gone with the Wind คงสงสัยว่าประโยคนี้มีอะไรพิเศษ ก็ดูเป็นประโยคตัดความสัมพันธ์ธรรมดา แต่สิ่งที่ทำให้มันพิเศษคือเรื่องราวภายใต้ประโยคนี้ ถ้าจะอธิบาย Gone with the Wind ให้เข้าใจโดยง่าย มันคือละครน้ำเน่าที่มาในรูปแบบภาพยนตร์ โศกนาฏกรรมความรักท่ามกลางบรรยากาศสงคราม ผู้พูดประโยคนี้คือตัวละคร Rhett Butler
นับถอยหลังอีกไม่กี่อึดใจผู้ชายอย่างเราก็จะได้เข้าคูหาเลือกตั้งหลังไม่ได้เลือกมานานแสนนานแล้ว ไม่ว่าพรรคที่อยู่ในใจคุณตอนนี้จะเป็นใคร เราก็อยากชวนมาดู 5 หนังเชือดเฉือน–การเมือง–เลือกตั้งเพื่อรู้เท่าทันการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงมากขึ้นอีกระดับ Frost/Nixon เชื่อว่าผู้ชายหลายคนมองไปทางไหนก็เห็นแต่เวทีดีเบต เวทีประชันความคิดของนักการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งหลาย ในแต่ละเวทีเราคงอดครุ่นคิดไม่ได้ว่านักข่าว พิธีกร หรือแม้แต่ประชาชนอย่างเรา ๆ มีอำนาจแค่ไหนในการตั้งคำถามเพื่อตรวจสอบ วิพากษ์ วิจารณ์นักการเมืองตรงหน้านี้ ? Frost/Nixon เล่าเรื่อง David Frost พิธีกรรายการ Talk Show ตกอับชาวอังกฤษที่ต้องสัมภาษณ์ Richard Nixon อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยในขณะนั้น Richard Nixon เพิ่งลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีเนื่องจากคดีอื้อฉาวครั้งใหญ่ ในสายตา Richard Nixon เขาคิดว่านี่คือโอกาสดีที่จะได้เรียกคะแนนสงสาร แถมมั่นใจในความเก๋าเกมของตัวเองว่ายังไงก็ไม่มีทางพ่ายให้กับพิธีกรตกอับอย่าง David Frost ฟาก David Frost เองก็ต้องทำการบ้านอย่างหนักวิ่งหาแหล่งทุนเพื่อทำรายการนี้และที่สำคัญเขาต้องการเอาชนะและตีแผ่ความจริงให้สาธารณชนได้รู้ Frost/Nixon จึงทำให้เห็นว่าอย่าประมาทพลังของคำถาม การตรวจสอบ การวิพากษ์วิจารณ์นักการเมือง อย่าคิดว่าเราตัวเล็กจะไปทำอะไรได้ เพราะการตั้งคำถามโดยเฉพาะในยุคที่อะไร ๆ ก็ออนไลน์มันคืออีกกระบวนการหนึ่งที่เราจะตีแผ่และล้วงลึกข้อเท็จจริงจากปากพวกเขาได้ Milk ในยุคที่รสนิยมทางเพศของมนุษย์ถูกชี้วัดตัดสินด้วยมาตรฐานศีลธรรมและกฎเกณฑ์สังคมบางอย่าง การเกิดมาเป็นผู้ชายที่ชื่นชอบผู้ชายด้วยกันจึงถูกมองเป็นเรื่องเลวร้ายสุดขีด หนังเรื่องนี้ เล่าเรื่องราวของ Harvey
‘ฉันคือคนที่จะเป็นราชาโจรสลัด!’ นี่คือคำประกาศกร้าวของ มังกี้ ดี ลูฟี่ เด็กหนุ่มพลังยางยืดจากอีสต์บูลในขณะที่ตัวเองกำลังจะโดน บากี้ โจรสลัดตัวตลกประหารในเมืองโล้คทาวน์ ในตอนนั้นมันช่างเป็นคำพูดที่ดูน่าขำสำหรับคนทั่วไป เพราะลูฟี่ยังเป็นเพียงโจรสลัดไร้ชื่อเสียงเรียงนาม การนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับ โกลด์ ดี โรเจอร์ อดีตราชาโจรสลัดผู้ยิ่งใหญ่จึงดูเป็นเรื่องเพ้อฝันเกินตัว แต่ผ่านมาเพียง 2 ปี จากโจรสลัดไร้ค่าหัวในตอนนั้น ตอนนี้ลูฟี่คือโจรสลัดผู้มีค่าหัวสูงถึง 1,500 ล้านเบรี พร้อมฉายา ‘จักรพรรดิหมวกฟาง’ แถมยังได้รับการยกย่องให้เป็นจักรพรรดิคนที่ 5 แห่งท้องทะเล แน่นอนว่าเมื่อกลายเป็นคนยิ่งใหญ่ สิ่งที่ตามมาคือคู่ต่อสู้ระดับพระกาฬที่เขาต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็น 4 จักรพรรดิอย่าง ไคโด และมาร์แชล ดี ทีช (หนวดดำ) หรือแม้กระทั่งรัฐบาลโลกที่มีกองกำลังสุดแข็งแกร่งอยู่ในมือ ด้วยสเกลการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ลำพังแค่ตัวลูฟี่กับลูกเรืออีก 9 ชีวิตคงไม่สามารถต่อกรได้แน่นอน กลุ่มพันธมิตรและมิตรสหายจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางในตอนนี้ ‘ใคร ๆ ก็รักลูฟี่’ ด้วยความที่เป็นคนจิตใจดี ไม่มีพิษภัย ที่สำคัญคือรักพวกพ้องมาก ๆ ลูฟี่จึงซื้อใจคนได้มากมาย จนเริ่มมีกองกำลังและพันธมิตรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาเหล่านี้นี่เองคือกุญแจดอกสำคัญที่จะส่งพ่อหนุ่มหมวกฟางของเราขึ้นไปเป็นราชาโจรสลัด ดังนั้นเรามาทำความรู้จักพวกเขาก่อนดีกว่า กองกำลังพันธมิตรมิ้งค์ แมว หมา นินจา