เดือนกุมภาพันธ์ถือว่ามีหนังระดับ blockbuster เตรียมจ่อคิวเข้าโรงภาพยนตร์ถึงสองเรื่องด้วยกัน ไหนจะ Fifty Shade Freed ที่แม้จะดูเจื่อนไปบ้างทั้งที่ช่วงวาเลนไทน์ถือเป็นฤกษ์งามยามดีของพวกเขาตลอดมา เดิมทีเราก็ค่อนข้างสงสัยว่าระดับ Fifty Shade ที่เป็นหนังเรท R และสามารถทำรายได้ไม่ต่ำกว่า $300 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำไมถึงต้องยอมขยับเลื่อนวันฉายขึ้นมาหนึ่งสัปดาห์ แต่เมื่อได้เห็นโปรแกรมหนังที่จะเข้าในอาทิตย์ถัดไป ก็ถึงกับบางอ้อ เนื่องจากมีหนังฟอร์มยักษ์ที่เตรียมลงโรงอย่าง Black Panther ซึ่งต้องขอบอกชาว UNLOCKMEN ก่อนเลยว่ากระแสของ Black Panther ตอนนี้ถือว่าแรงมาก ๆ เพราะได้ทำลายสถิติยอดจองตั๋วล่วงหน้าสูงสุดตลอดกาลในประเทศสหรัฐอเมริกาแซงหน้าแชมป์เก่าอย่าง Captian America : Civil Wars เป็นที่เรียบร้อย โดย Marvel Studio คาดการณ์ว่าเรื่องราวของราชาเสือดำอาจจะเป็นหนังทำเงิน $1,000 ล้านเหรียญเรื่องต่อไปของพวกเขา ทว่าไม่ใช่แค่แง่ความสำเร็จของซุปเปอร์ฮีโร่ผิวสีเรื่องแรกที่กำลังจะลงโรงฉาย แต่เรามองว่า Black Panther กำลังจะเปลี่ยนวงการภาพยนตร์รวมถึงสังคมโลกไปตลอดกาล เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นเพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่าประเด็นสีผิวและเชื้อชาติถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างมากในต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ภาพยนตร์อย่าง Black Panther ที่แทบจะพูดได้ว่าเป็นเรื่องราวกลุ่มคนผิวสีที่เข้ามามีบทบาทในการช่วยกู้โลก จึงเปรียบเสมือนตัวแทนในการแสดงออกถึงความอัดอั้นที่พวกเขาต้องการเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของตัวเองให้ได้รับสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกับคนอื่น ยิ่งถ้าสืบลึกลงไปในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาแล้วจะพบว่ามีชาวแอฟริกัน-อเมริกันจำนวนมากต้องถูกกดขี่เป็นแรงงานทาสในช่วงพัฒนาประเทศ น่าประหลาดใจมากขึ้นไปอีกเมื่อชาวโลกล้วนทราบดีว่าอเมริกาเป็นประเทศที่เติบโตจนพัฒนามาได้ถึงทุกวันนี้เพราะชีวิตเลือดเนื้อของคนผิวสีเหล่านั้น
ใคร ๆ ก็ชอบบอกเราว่าให้เรียนภาษาอังกฤษจากการดูหนัง แต่ไม่เห็นจะมีใครเคยบอกว่าต้องดูหนังเรื่องอะไร? เพราะหนังบางเรื่องก็บทสนทนามาเต็มเป็นพรืดชนิดที่ว่าเรียนรู้ยังไงก็คงไม่ได้เข้าใจกันได้ง่าย ๆ บางทีสำเนียงก็ฟังยากแสนยากจนเรางง หรือจะให้ดูการ์ตูนไปเสียเลยมันก็พอดูได้ แต่จะให้ดูทุกวันมันก็คงเบื่อ วันนี้ UNLOCKMEN จึงขอเสนอหนัง 5 เรื่องที่ทำให้คุณเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ แถมสนุกด้วยมาฝากกัน The Hangover เรื่องราวความสนุกของคนเมา ๆ ที่ตื่นเช้ามาแล้วดันไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้างคงไม่ต้องบรรยายเพิ่มว่าจะสนุกสักแค่ไหน แต่สิ่งที่ดีงามสำหรับคนที่กำลังเรียนรู้ภาษาอังกฤษคือหนังเรื่องนี้มันโคตรสนุก ดังนั้นมันจึงสามารถดึงดูดคนที่กำลังเรียนรู้ภาษาอังกฤษ (ที่ขี้เกียจอย่างเรา ๆ ) เอาไว้กับมันได้ แถมตัวละครทุกตัวใน The Hangover ยังใช้ภาษาอังกฤษบ้าน ๆ แบบที่ใช้กันทุกวัน รวมถึงเป็นโอกาสดีที่เราจะได้เรียนรู้ American slang ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจการใช้ศัพท์แสงในบทสนทนาภาษาอังกฤษแบบสุดเรียลได้อีก The Hunger Games การไล่ล่าสุดมันในโลกแบบดิสโทเปีย การเอาตัวรอด การสู้ยิบตาตลอดเรื่องก็น่าดูมากพออยู่แล้ว แต่ข้อดีของมันอีกอย่างคือ The Hunger Games ช่วยให้เราเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ด้วย โดยหนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยภาพอันชัดเจน ดังนั้นถ้าเราพลาดอะไรจากบทสนทนาของตัวละคร เช่น ฟังไม่ทัน แปลบางคำไม่ออก หรือบทสนทนายาวเกินไป เราก็จะสามารถทำความเข้าใจได้จากภาพที่แสดงออกมาได้ ซึ่งเป็นการฝึกให้เรารู้จักดูภาษามือ
ถ้าให้เอ่ยชื่อหนังแข่งรถมาซักเรื่อง ชื่อของ Fast & Furious จะต้องแล่นเข้ามาในหัวด้วยความเร็วสูงอย่างแน่นอน ด้วยความสนุกของตัวหนังและจำนวนภาคที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มันขึ้นแท่นเป็นหนังขับรถที่มีความนิยมสูงสุดไปเป็นที่เรียบร้อย แม้ว่าในปัจจุบันตัวหนังจะกลายสภาพเป็นหนังแอ็คชั่นเป็นที่เรียบร้อย แต่จุดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ที่จะขาดไม่ได้ ก็คือรถยนต์สุดเจ๋งต่าง ๆ ที่โผล่เข้ามาตลอดเรื่อง โดยเฉพาะรถของตัวเอกอย่าง Dominic Toretto เพราะด้วยฝีมือในการแข่งรถ และภาพจำจากการเป็นรุ่นใหญ่ชอบใช้แต่รถอเมริกันล้วน ๆ วันนี้ UNLOCKMEN จะมานำเสนอ 10 ยอดรถที่เป็นอาชาศึกของ Toretto ตลอดทั้งซีรีส์ Fast & Furious ให้เลือดเดือดกัน 1970 Dodge Charger R/T = The Fast and The Furious เริ่มที่รถตัวแรงจากภาคแรก The Fast and The Furious ต้องยกให้ 1970 Dodge Charger R/T เป็นรถที่ดอมและพ่อของเขาช่วยกันสร้างขึ้นมา จนเกิดอุบัติเหตุคร่าชีวิตพ่อของดอมไป รถคันนี้จึงถูกเก็บไว้ในโรงรถข้างบ้านดอม จนกระทั่งเกิดเรื่องระหว่าง
หากผู้ชายจะเลือกดูซีรี่ส์สักเรื่องหนึ่งซีรี่ส์แนวสืบสวนสอบสวนต้องเป็นหนึ่งในตัวเลือกลำดับแรกที่เราไปค้นหา เนื่องด้วยพล็อตเรื่องที่สุดแสนจะคลาสสิกอย่าง “ตำรวจไล่จับผู้ร้าย” ฉากสืบสวนสอบสวนให้ชวนคิดชวนสงสัยไปสิบตลบแล้ว ยังมีฉากบู๊แอ็คชั่นมันส์ ๆ ตื่นเต้นเร้าใจ ที่บรรดาหนุ่ม ๆ อย่างพวกเราชอบฝังใจอยู่ในสายเลือดอยู่แล้ว ดังนั้นสุดสัปดาห์นี้หากชาว UNLOCKMEN ยังไม่มีโปรแกรมจะเดินทางไปไหน เราจะขอมาแนะนำซีรี่ส์สืบสวนสอบสวนยอดฮิตที่ถ้าได้ดูแล้วจะต้องออกลุกไม่ขึ้นก้นติดหนึบลากยาวกันข้ามคืนอย่างแน่นอน CSI: Crime Scene Investigation เป็นซีรีย์คลาสสิคที่หลายคนน่าจะรู้จักกันดีกับ CSI หรือ Crime Scene Investigation ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับทีมนักนิติเวชวิทยาที่ตั้งอยู่ในเมือง ลาส เวกัส รัฐเนวาดา คอยสืบสวนคดีอาชญากรรมและฆาตกรรมต่าง ๆ ที่ดูปกติแต่ไม่ปกติ โดยเหตุผลที่เลือกเมืองนี้นอกจาเหตุผลทางการแสดงแล้ว แตห้องทดลองอาชญากรรมของกรมตำรวจเมือง ลาส เวกัส ยังได้ชื่อว่ามีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมเป็นที่สองในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย เป็นรองก็แต่ห้องทดลองของสำนักงานสืบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา – FBI ในเมือง ควอนทิโค รัฐเวอร์จิเนียเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากซีรีย์เรื่องนี้จะขออ้างอิงถึงกรม CSI เมือง ลาส เวกัสเป็นที่ดำเนินเรื่อง ด้วยความนิยมที่มีอย่างมากทั้งในและนอกสหรัฐอเมริกา ทำให้มีจำนวนซีซั่นมากถึง 15 ซีซั่น ตามด้วยภาคแยกจากเมืองต่าง ๆ อีก 3
ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาต้องนับว่าเป็นปีทองสำหรับคนที่ชื่นชอบดนตรีเป็นอย่างมาก เนื่องจากศิลปินชั้นนำจากทั่วโลกต่างเดินพาเหรดกันเข้ามาเพื่อเปิดการแสดงในบ้านเราไล่เรียงจากเบอร์ใหญ่ ๆ อย่าง Coldplay , Gun N’ Roses , Ed Sheeran , Foo Figther หรือแม้แต่ปีนี้เองก็มี Bruno Mars , The Script ที่จ่อคิวรออยู่ ซึ่งอย่างที่ทุกคนพอจะทราบว่าการที่เราเสียสตางค์ไปดูคอนเสิร์ตนั่นก็เพราะอยากจะสัมผัสประสบการณ์กับศิลปินระดับโลกแบบตัวเป็น ๆ เนื่องจากพวกเขาก็ไม่ได้เดินทางมาบ่อยนัก แต่บ่อยครั้งเราต้องพบกับความผิดหวังเนื่องจากได้ทำเลไม่ดีพาลให้อรรถรสการรับชมคอนเสิร์ตหายไป ดังนั้นทีมงาน UNLOCKMEN อยากจะมาบอกเคล็ดลับสำหรับเลือกที่นั่งในการดูคอนเสิร์ตให้สนุกมากยิ่งขึ้น SWEET SPOT in Sound Sweet Spot หรือถ้าในทางทฤษฎีดนตรีคือจุดบาล้านซ์ที่จะทำให้เราได้รับย่านความถี่ของเสียงและ ambient ต่าง ๆ อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ หากคุณอยากจะได้ที่นั่งแบบ King Seat เช่นนี้วิธีการที่ง่ายที่สุดคือให้มองหาว่าโซน controllor ที่มีคนมิกซ์เสียง (ส่วนมากจะเป็นกลุ่มชายฉกรรจ์) ยืนกันอยู่ นั่นหละคือจุดที่ดีที่สุดในคอนเสิร์ตเป็นหลักสากลเขาใช้กัน แต่สมมุติฐานนี้อาจจะใช้ไม่ได้เสมอไป เนื่องจากทีมงานจัดคอนเสิร์ตในบ้านเราส่วนใหญ่จะไม่ค่อยให้ความสำคัญเรื่องของเสียง โดยเน้นที่นั่งให้คนดูเยอะเข้าว่า เราอาจจะต้องวิเคราะห์ในหลาย ๆ ปัจจัยอย่างบริเวณที่ตั้งเวทีและลำโพงที่ต้องเท่ากันในด้านกว้าง
เราเชื่อว่าการเดินทางไม่ได้ให้เพียงแค่ความสนุกและการพักผ่อนเท่านั้น แต่มันยังเป็นการเปิดประสบการณ์การเรียนรู้และเติมพลังใหม่ ๆ ให้กับชีวิต ต้นปีแบบนี้หลายคนอาจจะกำลังวางแผนเที่ยวกันอยู่ เพราะจะได้เก็บเงินและวันลาได้ทัน หากใครที่ยังไม่มีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน เราขอเสนอ 6 จุดหมายในต่างแดนที่กำลังมาแรงในปี 2018 นี้ไว้ให้เป็นไอเดีย • สหราชอาณาจักรหรือประเทศอังกฤษ: หนึ่งในประเทศผู้ทรงอิทธิพลของโลกที่อยู่ในบั๊กเก็ตลิสต์ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เป็นที่ที่อัดแน่นไปด้วยสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นพระราชวังบักกิงแฮมและดาวนิงสตรีทที่เห็นกันในเรื่อง เดอะ คราวน์ (The Crown) รวมทั้งธรรมชาติและภูมิประเทศที่หลากหลายตามแต่ละภูมิภาคของเกาะ ทั้งชายหาด ทุ่งหญ้ารวมไปถึงป่าเขาแบบในเรื่อง โลกมันห่วยช่วยไมได้ (The End of the F***ing World) นอกจากนี้ประเทศอังกฤษยังมีความทันสมัยและถือเป็นศูนย์กลางของธุรกิจในยุโรปอีกด้วย อย่าให้ฟ้าฝนที่ไม่แน่นอน หยุดคุณไม่ให้ไปเยือนดินแดนแห่งนี้ • นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา: เหมือนกับเพลงของเจซีและเอลิเชีย คีย์ ที่ร้องว่า “เมืองที่ความฝันถูกสร้างขึ้น และไม่มีอะไรที่คุณไม่สามารถทำได้” แน่นอนว่าเพลงนี้พูดถึงมหานครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้คนนับล้านคนต่อปีเดินทางไปเยี่ยมชมมหานครที่ไม่เคยหลับใหลแห่งนี้ ตึกสูงระฟ้า แท็กซี่สีเหลืองและเทพีเสรีภาพถือเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ นิวยอร์กยังเป็นเมืองที่แฟน ๆ ไปตามรอยซีรีส์ยอดฮิตมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอพาร์ตเม้นท์ของมอนิก้าใน เฟรนส์ (Friends) หรือแฟน
หนังและซีรี่ส์แนว Gangster ยังคงเป็นอะไรที่อมตะและขายได้เสมอในทุกยุค เหตุผลง่าย ๆ เพราะมันรวมทุกอย่างที่ผู้ชายโคตรชอบไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นคาแรคเตอร์ที่เท่ ดราม่าพวกพ้อง ใช้ชีวิตโลดโผน บวกกับออปชั่นสุดคูล ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า ปืน รถ และสารพัดสิ่งที่ผู้ชายต้องมี แบบนี้แล้วไม่แปลกใจเลยที่ความเป็น Gangster จะถูกอกถูกใจคนดูอยู่เสมอ วันนี้ UNLOCKMEN มาแนะนำซีรี่ส์ Gangster ที่บางเรื่องอาจยังไม่เคยดู แม้จะไม่อยู่ในกระแส แต่รับประกันความระห่ำของเนื้อเรื่อง รับรองว่าดูเพลินจนลืมดูนาฬิกาแน่นอน Animal Kingdom เรื่องนี้ Underrated ในไทยมาก ๆ อาจไม่คุ้นเคยกันสักเท่าไหร่ โดยเป็นเรื่องราวของ Jay หนุ่มน้อยวัยเพียง 17 ปี ที่สูญเสียแม่ไปเพราะเสพยาเกินขนาด จับพลัดจับผลูมาอยู่กับยายและน้าอีกสามคน ซึ่งเจ้าหนูไม่ได้รู้มาก่อนเลยว่าครอบครัวนี้คือมาเฟียและรันวงการสีเทาแบบไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น Jay จึงต้องเอาตัวเองเข้าไปในวังวน Animal Kingdom ที่ทุกคนต้องไต่ขึ้นไปให้ถึงข้างบน ไม่เช่นนั้นก็จะโดนเขี่ยทิ้งแบบ no mercy แบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก แม้จะขึ้นชื่อว่าครอบครัว แต่ก็ไม่มีใครยอมใครทั้งนั้น เพราะต่างคนต่างต้องการอำนาจเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด ความมันอยู่ตรงที่แต่ละคนไม่มีใครไว้ใจใคร
หลายครั้งที่ปกอัลบั้มของศิลปินเป็นภาพที่คุ้นตา โด่งดังไปทั่วโลก จนเป็นเหมือนงานอาร์ตอีกชิ้นนึง ทำให้ปกอัลบั้มเป็นมากกว่าสิ่งพิมพ์หรือบรรจุภัณฑ์ของอัลบั้ม มันคือการสื่อความหมายของศิลปินผ่านปกอัลบั้ม วันนี้ UNLOCKMEN เอาเรื่องราวเบื้องหลัง ที่มาที่ไป ของปกอัลบั้มที่เราทุกคนต้องคุ้นตาจากศิลปินดังอย่าง Pink Floyd, Radiohead, Nirvana, Joy Division และ Coldplay มาบอกเล่าเอาไว้คุยกับเพื่อนแบบเท่ ๆ อย่างคนรู้จริง Nevermind จาก Nirvana ภาพสุดดังคุ้นตานี้เป็นภาพของเจ้าหนูน้อย Spencer Eldren ที่อายุเพียงสี่เดือนในตอนนั้นและเป็นการว่ายน้ำครั้งแรกของเขาด้วย โดยการถ่ายทำปกอัลบั้มนี้เกิดขึ้นที่ Pasadena public pool ที่มีเด็กที่เพิ่งโผล่ออกมาดูโลกได้ไม่นานมาออดิชั่นอีกหลายคน แต่ Kurt ประทับใจรูปของเด็กคนนี้มากที่สุด แต่ยังรู้สึกว่ามันใส่อะไรเข้าไปได้อีก เขาพูดติดตลกให้ใส่เบ็ดตกปลาลงไป ซึ่งนั่นทำให้ทีมงานต่อยอดไอเดียออกมาเป็นปกสุดเจ๋งที่เราเห็นกันในทุกวันนี้ แม้ว่า Kurt เองจะไม่ได้บอกถึงความหมายจริง ๆ ว่ามันหมายถึงอะไร แต่ดีไซเนอร์ของภาพนี้อย่าง Robert Fisher ได้สันนิษฐานไว้ว่า เด็กเป็นตัวแทนของความไร้เดียงสาของเขา ส่วนเบ็ดนั้นหมายถึงการเข้าสู่วงการเพลงของเขานั่นเอง A Rush of
เสียงเพลง ดนตรี ความหมาย สามารถช่วยชีวิตคนได้ นี่ไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใด เพราะเสียงเพลงสามารถส่งผลถึงอารมณ์ได้จริง เราเคยนำเสนอบทความเรื่อง “ฟังเพลงดี มีผลให้คนฟินได้ไม่ต่างจาก SEX” ไปแล้วก่อนหน้านี้ หลายเพลงมีความหมายสะกิดใจให้เราคิดบางอย่างได้ หลายเพลงก็ทำให้เรามีกำลังใจขึ้นแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว วันนี้ UNLOCKMEN ขอจัดเพลย์ลิสต์เพลงความหมายดี ๆ เอาไว้ให้กำลังใจตัวเองในวันที่หมดไฟ ไม่ให้ท้อถอยกับปัญหา ปล่อยวางมันไปกับเสียงเพลง ให้เราได้ผ่อนคลาย และอาจจะได้ทางออกจากเพลงสักเพลงในนี้ก็ได้ Paradise – Coldplay เพลงนี้เปรียบชีวิตเราหมือนกับสาวน้อยไร้เดียงสาคนนึง ที่ต้องเจอกับอุปสรรคมากมายในชีวิต แต่ชีวิตเราก็ยังต้องดำเนินต่อไป โดยที่มีสวรรค์เป็นตัวแทนที่พึ่งพิงทางจิตใจ จริง ๆ แล้วแต่ละคนก็อาจมีสิ่งอื่นที่คอยเติมกำลังใจให้ตัวเอง เหมือนกับเด็กน้อยในเพลงที่มีสรวงสวรรค์คอยให้เธอพักพิงนั่นเอง Iridescent – Linkin Park หลายคนอาจคุ้นหูกันบ้างกับเพลงนี้จาก Linkin Park เพราะเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Transformers: Dark of The Moon แต่ยังคงแฝงเต็มไปด้วยกลิ่นอายของวงได้แบบเนียน ๆ เนื้อเพลงพูดถึงความท้อแท้ ความผิดหวังในชีวิต ที่มันเป็นเรื่องปกติที่คุณจะต้องเจอ แต่ก็อยากให้ทุกคนลุกขึ้นสู้และปล่อยทุกความเศร้าหมองนั้นทิ้งไปซะ ฟังจบแล้วจะรู้สึกเหมือนกับว่าเราได้โยนทิ้งปัญหา
เช้านี้ลืมตาตื่นลุกขึ้นมาเปิดคอมพิวเตอร์ก็ได้เจอกับข่าวน่าใจหายกันอีกครั้ง กับการจากไปของ Iconic Frontwomen อย่าง ‘Dolores O’Riordan’ แห่งวง The Cranberries ด้วยวัยเพียง 46 ปี ถึงแม้ว่า การเสียชีวิตของ Dolores O’Riordan จะยังคงไม่ระบุสาเหตุแน่ชัด แต่เราเชื่อว่า มีชาว UNLOCKMEN จำนวนไม่น้อยที่กำลังโศกเศร้าเสียใจกับการจากไปของศิลปินที่เราเติบโตมาพร้อมกับน้ำเสียงของเธอ จากบทเพลงของวง The Cranberries ที่คุ้นเคย แม้ว่าสำหรับบางคนเมื่อพูดถึงวง The Cranberries หรือชื่อ Dolores O’Riordan อาจจะทำท่าเกาหัวงง ๆ แต่ถ้าหากพูดชื่อเพลง ‘Zombie’ ขึ้นมาล่ะก็ รับร้องว่าร้องอ๋อกันทั้งนั้น ในความเป็นจริงแล้ว เพลงของ The Cranberries นั้น มีเพลงเพราะ ๆ อยู่อีกหลายเพลงเลย อย่างเช่นเพลง “Ode To My Family” ที่โดยส่วนตัวแล้ว หากได้ฟังทีไรจะรู้สึก เหมือนโดนเสียงของ ‘Dolores O’Riordan’ สะกดจิตให้ร่างกายมันย้วยอ่อนระทวยไปทุกที น่าเสียดายที่ต่อจากนี้ พวกเราจะไม่ได้ยินเสียของเธอคนนี้อีกต่อไป