ถ้าเป็นนักดูหนังคลาสสิกตัวยง หรือหนุ่ม ๆ ที่หลงใหลแฟชั่นวินเทจสุดเท่คงต้องรู้จักนักแสดงชายมากเสน่ห์นามว่า James Dean กันอย่างแน่นอน เพราะเขาถือเป็นขวัญใจของวัยรุ่นจากยุค 50 สร้างชื่อจากบทสมทบในละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ รวมถึงละครเวทีทำให้เขาถูกพูดถึงเป็นวงกว้างอย่าง The Immoralist (1954) กับการรับบทเป็นเกย์หนุ่มเชื้อสายอาหรับ จนได้รับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง East of Eden (1955) เขาเป็นนักแสดงที่ผู้ชมต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเปล่งประกาย เต็มไปด้วยเสน่ห์ แต่น่าเศร้าเมื่อเขาจากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปี 1955 ด้วยวัย 24 ปี ถึงแม้จะมีชีวิตอยู่เพียงไม่นานแต่เขาก็เป็นชายที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูดและวงการแฟชั่นช่วงทศวรรษที่ 1950 ในฐานะของไอคอนทางวัฒนธรรมที่ผู้คนไม่เคยลืม เรื่องราวของ James Dean เหลือเพียงความทรงจำ ผลงานโทรทัศน์ และภาพถ่ายหลังการจากไปนานกว่า 64 ปี ได้รับการบอกเล่าซ้ำ ๆ ผ่านผลงานที่เขาทิ้งไว้ แต่ตอนนี้เราจะมีเรื่องราวใหม่ ๆ ของ Dean ให้พูดถึงมากขึ้นไปอีก เมื่อค่ายหนังเตรียมใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่นำชายหนุ่มจากยุค 50 กลับมาสู่โลกภาพยนตร์อีกครั้ง สำนักข่าวเจ้าประจำอย่าง The Hollywood Reporter รายงานว่าค่ายหนัง
ปี 2019 ถือเป็นปีทองของนักแสดงรุ่นเก๋าอย่างคีอานู รีฟส์ (Keanu Reeves) อีกครั้งหลังได้เคยรับความนิยมท่วมท้นภาพยนตร์เรื่อง The Matrix ได้คำชมล้นหลามจากภาพยนตร์แอกชันสุดดิบ John Wick ไปร่วมพากย์หนังในแอนิเมชันระดับตำนานอย่าง Toy Story 4 (2019) และเป็นตัวละครในเกม Cyberpunk 2077 จนตอนนี้ไม่ว่าใคร ๆ ต่างก็อยากจะร่วมงานกับพระเอกฮอลลีวูดคนนี้ด้วยกันทั้งนั้น หลากหลายค่ายสร้างหนังเอ่ยปากอยากได้คีอานู รีฟส์ มาแจมในภาพยนตร์ของตัวเอง ไม่ว่าจะประธานค่าย Marvel Studio ที่เอ่ยปากว่ารีฟส์เป็นนักแสดงชายที่มากด้วยเสน่ห์ และคงจะดีไม่น้อยถ้าได้เขามาร่วมแจมในจักรวาลซูเปอร์ฮีโร่ของตัวเอง แถมยังไม่เกี่ยงว่าจะต้องมาเล่นเรื่องไหน ขอแค่เป็นรีฟส์เขาก็พร้อมจะร่วมงานด้วย ชื่อเสียงของรีฟส์ยังกระโดดออกจากวงการภาพยนตร์ไปสู่วงการเกมด้วยเช่นกัน เมื่อเทพโคจิมะหรือ Hideo Kojima ผู้สร้างเกมชื่อดังก็เอ่ยปากชมรีฟส์อยู่บ่อย ๆ หลังจากพบกัน ว่าเขาเป็นชายที่สุภาพ อ่อนน้อม และเทพโคจิมะยังทิ้งท้ายอีกว่าถ้ามีโอกาสในอนาคต เขาก็ไม่พลาดร่วมงานกับคีอานู รีฟส์ แน่นอน กระทั่งล่าสุดทีมผู้สร้างภาพยนตร์แอกชันแฟรนไชส์ชื่อดังที่มีรถเป็นตัวหลักของเรื่องอย่าง Fast & Furious ซึ่งตอนนี้มีหนังออกมาถึง 8 ภาคแล้ว แถมภาคที่ 9
สำหรับคนที่ชื่นชอบการดูภาพยนตร์คงไม่มีใครไม่รู้จักหรือเคยได้ยินชื่อของ มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) ผู้กำกับหนังชื่อดังที่สร้างภาพยนตร์ สารคดี รายการโทรทัศน์มาแล้วกว่า 60 เรื่อง ใคร ๆ ก็ชื่นชมเขา ใคร ๆ ต่างก็นับถือเขา แต่ในตอนนี้เขากลับต้องเจอกับคำวิจารณ์ของสังคมครั้งใหญ่เพราะเขาบอกว่าหนังของ Marvel เป็นแค่สวนสนุก และทำให้เราต้องคิดตามว่า ‘แล้วหนังแบบไหนถึงจะเรียกว่าภาพยนตร์ที่แท้จริงได้บ้าง ?’ บางคนอาจยังสับสนว่า มาร์ติน สกอร์เซซี เป็นใคร เขามีผลงานโด่งดังอะไรบ้างที่ทำให้กลายเป็นตำนาน และทำไมมุมมองเกี่ยวกับภาพยนตร์ของเขาสามารถสร้างผลกระทบให้กับวงการภาพยนตร์ได้มากมายขนาดนี้ UNLOCKMEN จะพาไปทำความรู้จักกับผู้กำกับชื่อดังคนนี้ให้มากขึ้น เพราะการสร้างสรรค์ผลงานผ่านการกำกับและงานเขียนสามารถทำให้เรารู้ลึกถึงความคิดของคนคนหนึ่งได้ ความสำเร็จของ MARTIN SCORSESE ก่อนสกอร์เซซีจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำกับหนังที่มีอิทธิพลต่อวงการฮอลลีวูด เขาแจ้งเกิดจากภาพยนตร์เรื่อง Mean Streets (1973) บอกเล่าสังคมของผู้คนและกลุ่มผู้มีอิทธิพลในโลกใต้ดินเมืองนิวยอร์กผ่านเด็กเก็บค่าคุ้มครอง แม้มีงบทำหนังจำกัดมาก ๆ แต่สกอร์เซซีทำให้ผู้คนเห็นว่าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาหลักในการสร้างภาพยนตร์ที่ดี จากนั้นต่อด้วยเรื่อง Taxi Driver (1976) ชายผู้ผ่านสงครามเวียดนามที่เป็นโรคนอนไม่หลับเลยมาขับแท็กซี่ตอนกลางคืน แต่สุดท้ายจับพลัดจับผลูวางแผนฆ่าผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ด้วยการกำกับอันแยบคาย ดนตรีประกอบสไตล์แจ๊สที่ส่งผลต่อความรู้สึกของผู้ชมเพราะเป็นผลงานสุดท้ายของ Bernard Herrmann นักดนตรีประพันธ์ดนตรีประกอบชื่อดัง
ภาพยนตร์ระทึกขวัญสั่นประสาทถือเป็นหนังที่ครองใจคนหลายกลุ่มมาอย่างยาวนาน เพราะความตื่นเต้น ฉากนองเลือด ดนตรีประกอบชวนขนลุก ทั้งหมดเร้าอารมณ์ให้ลุ้นและสนุกสนานไปกับการเล่าเรื่องของผู้กำกับ แต่กว่าจะมีภาพยนตร์สยองขวัญที่หลากหลายมาให้เราเลือกดูได้อย่างทุกวันนี้ วงการหนังสยองขวัญก็ต้องผ่านช่วงเวลายากลำบากเพราะกฎข้อบังคับมากมายที่บั่นทอนความสยองขวัญให้ลดลงจนแทบหมดอารมณ์ UNLOCKMEN จะมาเล่าถึงภาพยนตร์สยองขวัญจากปี 1960 ที่แหกกฎของวงการฮอลลีวูด สร้างหนังที่จะปฏิวัติวงการภาพยนตร์ให้ทันสมัย กับการกล้าได้กล้าเสียของผู้กำกับจนทำให้ Phycho กลายเป็นหนังทริลเลอร์ในตำนานที่เหล่าผู้ชื่นชอบความระทึกจะต้องรู้จัก พล็อตหนังคลาสสิกที่โด่งดังด้วยการเล่าเรื่องแหวกทุกข้อห้าม ก่อนที่วงการฮอลลีวูดจะก้าวเข้าสู่ความทันสมัยเหมือนอย่างปัจจุบันนั้นใช้เวลายาวนานพอสมควร เพราะอุปสรรคทางเทคโนโลยี ปัญหาเรื่องความเหมาะสม และค่านิยมตามยุคสมัยเป็นตัวชี้วัดว่าหนังที่สร้างออกจากจะดำเนินไปทิศทางไหน วงการฮอลลีวูดช่วงยุค 40-50 เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยข้อห้ามมากมาย เช่น ห้ามมีฉากโป๊เปลือยเกินพอดี ห้ามสื่ออะไรที่ผิดศีลธรรม ห้ามโหดเลือดสาดชวนให้อาเจียนมากเกินไป ทุกอย่างที่ไม่เหมาะสมจะต้องถูกเซนเซอร์ และห้ามแม้กระทั่งไม่ควรมีโถส้วมอยู่ในภาพยนตร์ เหล่าคนทำหนังช่วงเวลานั้นต่างก็เข้าใจพร้อมทำตามกฎกันเป็นอย่างดี จนมาถึงวันที่ความแตกต่างมาถึง เมื่อภาพยนตร์ระทึกขวัญเรื่อง Psycho (1960) เข้าฉายครั้งแรกและเปลี่ยนค่านิยมของการทำหนังให้กับวงการฮอลลีวูดไปตลอดกาล Psycho (1960) เป็นภาพยนตร์สุดหลอนที่สร้างจากนวนิยายของ Robert Bloch เรื่องราวของ Marion Crane (Janet Leigh) เลขาสาวสวยที่ตัดสินใจขโมยเงิน 40,000 ดอลลาร์ (ถ้าเทียบกับปัจจุบันมีมูลค่าราว 330,000 ดอลลาร์ หรือกว่าสิบล้านบาทเลยทีเดียว) ของเจ้านายแล้วหนีไปยังเมืองอื่น ระหว่างทางเธอต้องเข้าพักในโมเตลเล็ก ๆ
เริ่มเข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ เชื่อว่าลมหนาวที่พัดมาเป็นระลอกคงทำให้ผู้ชายหลายคนงัวเงีย ขี้เกียจ และเหงาหงอยไปตาม ๆ กัน เมื่อก้อนเมฆกับสายลมเย็นเข้ามาบดบังและแทนที่ความร้อนแรงของแสงอาทิตย์ ทำให้บรรยากาศในช่วงนี้เย็นสบายและเหมาะแก่การนอนโง่ ๆ กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงเสียเหลือเกิน แต่คงจะดีไม่น้อยถ้าได้อรรถรสจากการรับชมภาพยนตร์และซีรีส์มันส์ ๆ ขณะที่กำลังขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มในช่วงหน้าหนาว เริ่มต้นเดือนพฤศจิกายนแบบนี้ UNLOCKMEN ก็ไม่พลาดที่จะพาหนุ่ม ๆ มาอัปเดตคอนเทนต์ใหม่สุดมันส์ในเน็ตฟลิกซ์ ต่อให้อากาศหนาวจะทำให้คุณเหงา แต่รับประกันว่า 3 คอนเทนต์นี้จะช่วยคลายเหงาในวันหนาว ๆ ของคุณได้แน่นอนครับ! The End of the F***ing World: Season 2 หลังจากสร้างกระแสไวรัลไปเมื่อปีก่อน เน็ตฟลิกซ์ก็ไม่รอช้าเตรียมปล่อยออริจินัลซีรีส์ ‘The End of the F***ing World: Season 2’ มาให้หนุ่ม ๆ คอซีรีส์ได้ลิ้มชิมรสชาติความห่วยแตกของโลกใบนี้ คาดว่าเนื้อเรื่องในซีซั่นนี้คงไม่ได้เล่าถึงการเดินทางแสนอลวนของ James และ Alyssa อีกต่อไป แต่เน้นเส้นทางชีวิตของ Alyssa หลังจากที่ James ถูกจับ
หลังจากที่ Netflix ประสบความสำเร็จในการสร้าง Original Content ของตัวเองมากมาย ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์ สารคดี การ์ตูน ไปจนถึงรายการโชว์ ส่วนของภาพยนตร์เองก็ไม่น้อยหน้า กำลังเติบโตและเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Roma, Bird Box, To All the Boys I’ve Loved Before, Set It Up และ Okja ล้วนได้รับความสนใจจากผู้ชมทั่วโลก ล่าสุดพวกเขากำลังจะปล่อยหนังเรื่องใหม่จัดเต็มโปรดักชั่นยิ่งใหญ่กว่าเดิมมาให้พวกเราได้ชมกันกับ ‘The King’ (เดอะ คิง) ภาพยนตร์แนวพีเรียดที่สร้างจากวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์ของ วิลเลียม เชกสเปียร์ เรื่องราวของกษัตริย์เฮนรีที่ 5 แห่งราชวงศ์อังกฤษ อดีตเจ้าชายหนุ่มผู้ไม่ปรารถนาจะสืบทอดราชบัลลังก์ แต่กลับต้องขึ้นเป็นกษัตริย์อย่างกะทันหันหลังพระราชบิดาผู้เหี้ยมโหดสิ้นพระชนม์ เรื่องย่อ เจ้าชายฮัล (รับบทโดย ทิโมธี ชาลาเมต์) ผู้ไม่เคยใส่ใจกับการรับช่วงต่อราชบัลลังก์ เขาจำต้องขึ้นครองราชย์เป็น ‘พระเจ้าเฮนรีที่ 5’ หลังการตายของพระบิดาอย่างไม่ทันตั้งตัว กษัตริย์หนุ่มจึงต้องหาทางรับมือกับการแก่งแย่งชิงดี เขาต้องต่อสู้กับภาระอันหนักอึ้งของมงกุฏ ในช่วงที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
โลกใบนี้ล้วนเต็มไปด้วยความลับ ไม่ว่าประเทศไหนต่างก็มีเรื่องราวที่ไม่อยากให้คนรู้และซุกมันไว้ใต้พรม ทำเหมือนกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น เช่นเดียวกับเหตุการณ์การเมืองสุดฉาวในปี 2003 ท่ามกลางความตึงเครียดของโลกที่เฝ้ามองความขัดแย้งระหว่างอิรักกับสหรัฐอเมริกา แดนเสรีชนที่มีพันธมิตรเหนียวแน่นอย่างอังกฤษ เมื่อข้อพิพาทของประเทศมหาอำนาจสามารถส่งผลกระทบใหญ่ไปทั่วทั้งโลก จึงก่อให้เกิด Official Secrets (2019) ภาพยนตร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงนี้ นำเสนอมุมมองอีกด้าน แฉกลโกงของประเทศมหาอำนาจที่สร้างความชอบทำเพื่อก่อสงคราม เรื่องอื้อฉาวที่ทำให้ทั่วโลกต้องจับตามองเกิดขึ้นเมื่อ Katharine Gun (รับบทโดย Keira Knightley) เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองอังกฤษได้รับอีเมลลับสุดยอดที่มีเนื้อหาเป็นภัยต่อสหราชอาณาจักร รวมถึงเธอสามารถดักฟังบทสนทนาทำให้ล่วงรู้ว่าสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ร่วมมือกับหน่วยข่าวกรองอังกฤษเพื่อสอดแนมประเทศที่เป็นสมาชิกสหประชาชาติ (UN) และตั้งใจบีบบังคับให้ประเทศทั้งหมดยอมลงนามให้สหรัฐฯ ทำสงครามกับอิรัก ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องเพราะมหาอำนาจโลกกำลังวางแผนกลโกงสร้างความชอบธรรมในการรุกรานประเทศอื่น Katharine เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ 100 คนที่ได้รับอีเมลลับสุดยอด อีเมลที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตว่าเธอจะนำคำโกหกของผู้นำไปเผยแพร่ให้โลกรู้หรือจะเลือกไม่รู้ไม่เห็น ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไป และสุดท้ายเธอก็เลือกทำในสิ่งที่ควรทำโดยการพิมพ์ข้อมูลลับสุดยอดฉบับนั้นส่งให้กับนักข่าวโดยไม่ระบุชื่อว่าตัวเองเป็นคนส่ง เมื่อสำนักพิมพ์ใหญ่ของอังกฤษ The Observer รับข้อมูลจาก Katharine พวกเขาเร่งตรวจสอบและตีพิมพ์ลงบนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ประจำวันที่ 2 มีนาคม 2003 กับพาดหัวข่าวเจ็บ ๆ ว่า ‘แผนการสกปรกของอเมริกาที่จะเอาชนะผลโหวตเพื่อสงครามอิรัก’ (US dirty tricks to win vote on
ช่วงสิ้นปีถือเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาสำคัญสำหรับวงการภาพยนตร์ ในปีนี้งานประกาศรางวัลที่คอหนังเฝ้ารอทั่วโลกอย่างออสการ์ก็กำลังอยู่ในช่วงสนุกสนานไม่แพ้กัน ค่ายหนังน้อยใหญ่ต่างส่งภาพยนตร์เรื่องเด่นของตัวเองเข้าช่วงชิงรางวัลสาขาต่าง ๆ กันอย่างคับคั่ง รวมถึงหลาย ๆ ประเทศที่เตรียมส่งหนังของตัวเองเข้าชิงรางวัลในสาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยม (Best International Feature Flim) วันนี้ UNLOCKMEN จะเอ่ยถึงภาพยนตร์เรื่อง Buoyancy (2019) ผลงานจากประเทศออสเตรเลียที่ส่งเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยม ซึ่งจุดน่าสนใจสำหรับเราคือภาพยนตร์เรื่องนี้คือเป็นหนังที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริง ใช้นักแสดงไทย พื้นหลังการดำเนินเรื่องก็เป็นอุตสาหกรรมการประมงไทย แถมในเรื่องยังพูดภาษาไทยอีกด้วย เรื่องราวที่เต็มไปด้วยคำถามใน Buoyancy (2019) จะถูกเล่าเรื่องโดยเด็กชายชาวเขมรอายุ 14 ปี ที่ต้องออกจากหมู่บ้านเดินทางมาทำงานยังประเทศไทย เด็กชายต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ต้องการเงินและหวังว่าอุตสาหกรรมประมงของประเทศไทยจะเติมเต็มสิ่งที่เขาต้องการได้ แต่ทุกอย่างไม่เป็นดั่งฝันเมื่อเขาต้องกลายเป็นทาสที่ถูกใช้ความรุนแรงบนเรือประมง ติดอยู่บนเรือไม่ต่างจากปลาที่อยู่ในอวน จากการเดินทางเพื่อทำตามความฝันมาสู่การดิ้นรนกลางทะเลและรักษาชีวิตตัวเองไว้ไม่ให้ตาย เขาไม่สามารถหนีไปไหนได้นอกจากต้องก้มหน้าทำตามคำสั่งของนายจ้างคนไทยอยู่บนเรือ ถ้าไม่ทำตามก็คงจะต้องกลายเป็นศพกลางทะเล ความกดดันและความเครียดจะถูกเล่าเรื่องไปพร้อมกับบรรยากาศเหงา ๆ ของเรือลำหนึ่งท่ามกลางมหาสมุทร “ภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้เราเห็นว่าความจนสามารถลดคุณค่าของความเป็นคน” – Graeme Mason Buoyancy (2019) เป็นผลงานกำกับครั้งแรกของ Rodd Rathjen แต่ถึงแม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นเรื่องแรกของเขาแต่ก็ถูกสมาพันธ์ภาพยนตร์ออสเตรเลียเลือกให้เป็นตัวแทนของประเทศช่วงชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยม และได้ออกฉายให้นักวิจารณ์ได้ชมกันไปแล้วในเทศกาลหนังเบอร์ลิน ส่วนประเทศไทยของเราก็ลงมติเป็นที่เรียบร้อยว่าจะส่งภาพยนตร์เรื่องแสงกระสือในสาขาดังกล่าวเช่นกัน ถือว่าสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมของงานออสการ์ครั้งที่ 92 ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 9
ถ้าพูดถึงภาพยนตร์แอกชันทุนต่ำแต่โด่งดังไปทั่วโลกในตอนนี้คงหนีไม่พ้นเรื่อง John Wick อย่างแน่นอน ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องราวของโลกของนักฆ่าอาชีพที่เต็มไปด้วยกฎระเบียบ โดยเล่าผ่านอดีตนักฆ่าหวนสู่วงการเพราะมีคนมายิงหมาและขโมยรถคู่ใจบทนี้ ที่ได้ Keanu Reeves มารับบทนำจะดังเป็นพลุแตกทำรายได้ถล่มทลายขนาดนี้ John Wick (2014) ภาคแรกใช้ทุนสร้าง 20 ล้านดอลลาร์เท่านั้น แต่สามารถทำกำไรเป็นกอบเป็นกำจนเกิดภาคต่ออย่าง John Wick: Chapter 2 (2017) และ John Wick: Chapter 3 Parabellum (2019) ทยอยออกมาให้แฟน ๆ ติดตามกันอย่างต่อเนื่อง ในตอนนี้แม้จะยังไม่มีภาค 4 แต่จักรวาลของเหล่ามือปืนจะขยายกว้างไกลขึ้นด้วยหนังภาคแยกของ John Wick หลังจากสำนักข่าวต่างประเทศลงข่าวลือกันมาพักใหญ่ว่า John Wick จะมีหนังภาคแยกในจักรวาลเดียวกันแต่จะไม่เล่าถึงตัวของนักฆ่าหวนวงการเพราะหมาตาย หันมาเล่าเรื่องนักฆ่าคนอื่นแทนบ้าง ไอเดียที่ตามมาคือทางผู้สร้างอยากใช้ “นักฆ่าสาว” เป็นตัวดำเนินเรื่องเพื่อให้ผู้คนรู้จักโลกของมือปืนมากยิ่งขึ้น ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์ John Wick จะทราบกันอยู่แล้วว่านอกจากเส้นเรื่องหลักอย่างการล้างแค้นเราจะได้เห็นระบบของเหล่ามือปืน พวกเขาจะมีค่าเงินเป็นของตัวเอง จ่ายเงินซื้อสินค้าต่าง ๆ ด้วยเหรียญทอง มีโทรศัพท์เฉพาะไว้อัปเดตข่าวหรือแม้กระทั่งอัปเดตค่าหัว นักฆ่าทำอาชีพหลากหลายเพื่อบังหน้า
หลังจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง Dunkirk ได้เข้ามาปลุกกระแสหนังสงครามให้ครึกครื้นในกระแสหลักไปเมื่อปี 2017 หนุ่ม ๆ ที่เป็นคอหนังแนวนี้ก็เตรียมผงาดกันได้เลย เพราะมกราคมปีหน้า ภาพยนตร์เรื่องใหม่ ‘1917‘ จะมาเขย่าวงการหนังสงครามกันอีกครั้ง! โดยเจ้าของผลงานครั้งนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผู้กำกับ Sam Mendes ชายผู้เคยแสดงฝีมือไว้ในหนังแฟรนไชส์ James Bond อย่าง Skyfall และ Spectre นั่นเอง อีกทั้งยังได้ Roger Deakins เจ้าของรางวัลออสการ์จาก Blade Runner 2049 มาช่วยกำกับภาพให้อีกด้วย โดยเรื่องราวของ 1917 นี้ จะเกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1917 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังระอุ เมื่อทหารอังกฤษสองนายต้องเสี่ยงชีวิตทำภารกิจเพื่อส่งสารยุติการโจมตีกับฝ่ายศัตรู หากพวกเขาทำพลาด กองทัพอาจสูญเสียกองกำลังกว่า 1,600 นาย และหนึ่งในนั้นคือพี่ชายของเขาเอง ฟังเผิน ๆ เหมือนจะไม่มีอะไรแปลกใหม่ไปจากหนังสงครามเรื่องอื่น แต่ผู้กำกับมือทองระดับ Sam Mendes จะมาแบบธรรมดาได้อย่างไร เพราะเขาจะถ่ายทอดการปฏิบัติภารกิจของ 2