สำหรับหนุ่ม ๆ ช่วงอายุ 25 ปีขึ้นไป จำนวนไม่น้อยต่างก็ต้องเคยได้ยินหนังชื่อว่า ‘โหด เลว ดี’ หนังฮ่องกงจากปี 1986 กันมาบ้าง บางคนอาจแค่เคยได้ยิน บางคนเคยดูแล้วก็เลือนหายจากความทรงจำไปตามกาลเวลา แต่เราเชื่อว่าต้องมีอย่างน้อยสักหนึ่งคนแน่ ๆ ที่จดจำเรื่องราวของ ‘อาเห่า’ ‘อาเฉีย’ และ ‘เสี่ยวหม่า’ ได้แม่นเหมือนเพิ่งนั่งดูโหด เลว ดี เมื่อวานนี้ คำบอกเล่าจากปากคนรุ่นก่อนที่เราได้ยินบ่อย ๆ การันตีความโด่งดังรวมถึงความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้ คงไม่ต้องพูดถึงคำวิจารณ์และรายได้ที่ใครต่างก็รู้ว่าอยู่ในระดับยอดเยี่ยม แต่ UNLOCKMEN ไม่ได้มาพูดถึงเบื้องหลังที่ใครเขาเคยพูดมาซ้ำ ๆ เราจะเล่าถึงการแต่งตัวที่ทำให้เกิดกระแส มองภาพรวมแฟชั่นของตัวละครในเรื่องโหด เลว ดี ว่าทำไมการแต่งตัวเห็นแล้วชวนเหงื่อแตกที่หลายคนมองว่าเชยในเรื่องถึงยังมีให้เห็นจนถึงปัจจุบัน ‘เสี่ยวหม่า’ แฟชั่นไอคอนของสุภาพบุรุษยุค 80 เรื่องราวของภาพยนตร์โหด เลว ดี เกิดขึ้นมาจากความคิดที่ต้องการนำเสนอมุมมองทางการเมืองผ่านหนังของผู้กำกับ จอห์น วู ที่บังเอิญเจอกับฉีเคอะจนกลายมาเป็นผู้อำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้ พวกเขามองว่าคนหนุ่มสาวในช่วงเวลานั้นต้องการศรัทธา พวกเขาสับสน เลยอยากเล่าเรื่องราวของ Gangster ให้กลายเป็นสัญลักษณ์ต่อต้านเผด็จการ ทั้งที่กฎเหล็กของพวกนักเลงในเวลาเดียวกันก็คล้ายกับเผด็จการ
ถ้าเอ่ยชื่อถึงเหล่าคนดังที่ขับเคลื่อนวงการบันเทิง ใครหลายคนคงจะคุ้นชื่อของผู้กำกับ Steven Spielberg (สตีเวน สปีลเบิร์ก) ชายที่ถูกเรียกว่า ‘พ่อมดฮอลลีวูด’ รู้จักชื่อของผู้กำกับฝีปากจัดแต่โคตรเก่งอย่าง Martin Scorsese (มาร์ติน สกอร์เซซี) หรือรู้จักชื่อของ George Lucas (จอร์จ ลูคัส) ชายผู้สร้างค่ายหนัง Lucusfilm ที่ทำเรามีหนังอวกาศเรื่อง Star Wars ดูตั้งแต่รุ่นพ่อจนถึงรุ่นลูก แล้วถ้าเป็นชื่อของ Kurosawa Akira (คุโรซาวะ อากิระ) หลายคนอาจไม่รู้จักชื่อของเขา UNLOCKMEN จึงอยากแบ่งปันให้ทุกคนได้รู้จักเรื่องราวและผลงานยิ่งใหญ่ที่ส่งผลต่อวงการบันเทิงโลก ทำไม Kurosawa ถึงเป็นชายที่ Spielberg ชื่นชมอยู่เสมอ ถูกอัจฉริยะอย่าง Scorsese ชมว่า ‘Kurosawa คืออัจฉริยะตั้งแต่เกิด’ และทำไมผลงานหนังซามูไรของเขาถึงได้เป็นแรงบันดาลใจให้ George Lucas สร้างหนัง Star Wars ออกมาเหมือนอย่างทุกวันนี้ ? ความฝันที่ล้มเหลวก่อนมาเป็นผู้กำกับหนังซามูไร Kurosawa Akira (คุโรซาวะ
ในวงการฮอลลีวูด คุณอาจเคยเห็นนักแสดงเจ๋ง ๆ หลายคนยอมลงทุนเปลี่ยนแปลงร่างกายตัวเองเพื่อให้เข้าถึงบทบาทของเขา ไม่ว่าจะเป็นลดน้ำหนักจนซูบผอม หรือเพิ่มน้ำหนักเป็นสิบ ๆ กิโลฯ ผู้หญิงบางคนยอมโกนหัว นักแสดงบางคนถึงยอมไว้หนวดเครารุงรังจนเราแทบจำไม่ได้ แต่เชื่อไหมครับว่าครั้งหนึ่งในยุค 1960 มีนักแสดงท่านหนึ่งโดนสั่งให้ทำอะไรที่โหดร้ายกว่านั้นมาก นั่นก็คือการส่งตัวไปหาหมอเพื่อหด ‘ความเป็นชาย’ ของตัวเองให้ลดลง! Burt Ward คืออดีตนักแสดงชาวอเมริกัน (ปัจจุบันอายุ 74 ปี) ผู้เคยรับบท ‘โรบิน’ สหายคู่ใจมนุษย์ค้างคาวใน Batman เวอร์ชันทีวีซีรีส์ที่ออกฉายช่วงปี 1966–1968 เมื่อไม่นานมานี้ เขาได้ออกมาเผยกับเว็บไซต์ Page Six ว่า ครั้งหนึ่งสถานีโทรทัศน์ ABC (The American Broadcasting Company) ถึงกับส่งตัวเขาไปหาหมอ เพื่อสั่งยา ‘หดขนาด’ เจ้าโลกของเขา ด้วยเหตุผลที่ว่าเป้าของเขามันดูตุงเกินไปสำหรับโทรทัศน์! “ผมทานยาไปได้ 3 วันก็เริ่มคิดว่าสิ่งนี้อาจจะทำให้ผมมีลูกไม่ได้ ผมตัดสินใจหยุดทาน ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ผ้าคลุมบังเอาไว้แทน” อีกทั้ง Burt Ward ยังเผยอีกว่า Adam West
ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าในช่วงเวลานี้ภาพยนตร์จากประเทศเกาหลีใต้เรื่อง Parasite (2019) ก่อให้เกิดการพูดถึงเป็นวงกว้างไม่ใช่แค่คนในวงการหนังเท่านั้น เพราะภาพยนตร์ที่กล้าเล่าความจริงในชีวิตประจำวัน เสียดสีสังคมแบบจัดเต็มทำให้คนส่วนใหญ่อินตามเรื่องราวในหนังได้ง่าย ๆ เพราะภาพยนตร์จากเกาหลีใต้ที่มาแรงมากในปีนี้ ทำให้ UNLOCKMEN เลือกภาพยนตร์เสียดสีสังคมเกาหลี 5 เรื่อง เนื้อเรื่องหนัก เครียด ชวนให้หดหู่และเล่าไว้ได้เจ็บแสบมาแบ่งปันกันให้ทุกคนรับรู้ว่า ความสังคมและผู้คนที่เราพบเจอกันอยู่ทุกวันมันอาจไม่สวยงามอย่างที่ตาเห็น แถมหนังทั้ง 5 เรื่อง ยังแสดงให้เห็นว่ากระแสจากสื่อบันเทิงมีส่วนขับเคลื่อนสังคมได้มากกว่าที่คิด Silenced (2011) Silenced (2011) อ้างอิงจากเหตุการณ์จริงสุดสะเทือนใจของเกาหลีใต้ เมื่อครูคนใหม่มาสอนในโรงเรียนสำหรับเด็กผู้บกพร่องทางการได้ยินอินฮวา (เด็กหูหนวก) เขาบังเอิญพบว่าเด็กเหล่านี้ถูกทำร้ายร่างกายและล่วงละเมิดทางเพศเป็นเวลานาน ครูคนใหม่ (รับบทโดย กงยู) จึงพยายามนำเรื่องราวน่าสะอิดสะเอียนที่ไม่มีใครรับรู้นี้ออกให้แจ้งสาธารณชนได้รับรู้โดยร่วมมือกับนักสิทธิมนุษยชน เมื่อภาพยนตร์เรื่อง Silenced (2011) ออกฉายในปี 2011 ทำให้โรงเรียนอินฮวาถูกสั่งปิดในอีกสองเดือนถัดมาพร้อมกับการตั้งคำถามของสังคมว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร เนื่องจากเรื่องน่าเศร้านี้กินเวลานานหลายปีตั้งแต่ปี 2005 ที่แก๊งครูผู้ก่อเหตุ 6 คน กับผู้อำนวยการโรงเรียนร่วมมือกันปกปิดเหตุการณ์ดังกล่าว แม้ถูกสืบสวนและตั้งข้อหาข่มขืนเด็กพิการอย่างน้อย 9 คน แต่เรื่องกลับเงียบหายไปเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ใส่ใจจะเอาคนผิดมาลงโทษ คนชั่วลอยนวล สื่อก็เพิกเฉย
เมื่อเข้าสู่ปี 2020 วงการภาพยนตร์ก็ยังคงคึกคักอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้มีหนังภาคต่อเข้าหลายเรื่อง มีหนังภาคแยกจากจักรวาลซูเปอร์ฮีโร่ที่ได้รับความนิยมจากผู้คน มีแอนิเมชันน่าจับตามองจากค่ายดัง และภาพยนตร์ดัดแปลงจากนวนิยายหรือหนังรีเมคนำของเก่ากลับมาเล่าใหม่ The Hollywood Reporter สำนักข่าวรายงานข่าวสารของวงการฮอลลีวูดก่อตั้งมานานกว่า 8 ทศวรรษ จึงไม่พลาดธรรมเนียมปฏิบัติที่ทำมายาวนาน โดยให้ผู้คนเข้ามาร่วมโหวตเพื่อจัดอันดับภาพยนตร์ที่เรารอคอยและอยากดูมากที่สุดในปี 2020 UNLOCKMEN ได้เลือกภาพยนตร์ที่ถูกโหวต 5 อันดับแรกมาให้ทุกท่านได้ชมกันพร้อมกับวิเคราะห์เพิ่มเติมว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้คนส่วนใหญ่อยากดู และหนังทั้ง 5 เรื่องจะใช่เรื่องเดียวกันกับที่คุณอยากดูหรือไม่ อันดับ 5 BLACK WIDOW หนังจากตัวละครของนาตาชา โรมานอฟ (Natasha Romanoff) ผู้ยอมสละชีวิตตัวเองในสงครามใหญ่อย่าง Avengers: End Game (2019) เธอกำลังจะมีหนังเดี่ยวเป็นของตัวเองสักที โดยเรื่องราวภายใน Black Widow เล่าถึงช่วงที่เธอหลบหนีจากการตามจับของรัฐบาล ถ้านับเหตุการณ์ตามไทม์ไลน์ของการฉายภาพยนตร์ในจักรวาล Marvel หนังเรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวของนาตาชาช่วง Captain America: Civil War (2016) – Avengers: Infinity War (2018)
ยากูซ่าถือเป็นสิ่งที่มีอยู่ในสังคมญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน ถ้าเกิดเดินอยู่ตามถนนหนทางแล้วเห็นผู้ชายหน้าตาไม่เป็นมิตร มีแผลเป็นบนหน้า หรือเห็นขาโจ๋มีรอยสักขนาดใหญ่ตามลำตัวหรือแขนขา ไม่ต้องถามให้มากความคนทั่วไปก็จะคิดก่อนแล้วว่าเขาจะต้องเป็นยากูซ่าอย่างแน่นอน ด้วยภาพลักษณ์กับองค์ประกอบหลายอย่างทำให้คนจดจำยากูซ่าได้ รวมถึงภาพยนตร์และมังงะก็ยังขยันสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับแก๊งอันธพาลครองเมืองออกมาอยู่เรื่อย ๆ และล่าสุดก็มาถึงมังงะเรื่อง Gokushufudo ที่เล่าเรื่องมาเฟียกลับใจล้างมือมาเป็นพ่อบ้านแสนดี Gokushufudo ถูกจัดให้เป็นมังงะหมวดคอมเมดี้ที่มีชื่อไทยว่า ‘วิถีพ่อบ้าน’ หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ‘พ่อบ้านสุดเก๋า’ ผลงานสร้างสรรค์จากปลายปากกาของอาจารย์ Oono Kousuke เพราะใคร ๆ ต่างก็เคยได้ยินการสร้างตำนานของยากูซ่ามาแล้วบ่อยครั้งจนเบื่อ แต่ Kousuke เลือกหยิบเรื่องยากูซ่ามาบิดให้แตกต่างน่าสนใจมากขึ้น ด้วยการเล่าถึงพระเอกของเรื่องถูกเรียกว่า ‘Immortal Tatsu’ หรือ ‘ทัตสึผู้เป็นอมตะ‘ ที่ทั้งเขาโหด โฉด เถื่อน และเป็นลูกผู้ชายตัวจริง ทัตสึเป็นชายหน้าตาหล่อเหลาแต่ก็ดูน่ากลัว เขามีรอยสักมังกรอยู่กลางหลัง รอบต้นแขน รวมถึงแผงอก มีแผลยาวที่เดาว่าโดนดาบซามูไรฟันเข้าที่ดวงตา ทัตสึสร้างตำนานของตัวเองขึ้นมาด้วยการบุกเดี่ยวไปถล่มรังแก๊งคู่อริจนกลายเป็นยากูซ่าที่คนในวงการเกรงขาม เมื่อเอ่ยชื่อของเขาใคร ๆ ก็ต้องรู้จัก มีประวัติอาชญากรรมยาวเป็นหางว่าว และคนที่รู้จักต่างก็คิดว่าคงไม่มีใครสามารถหยุดปีศาจคนนี้ได้ แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรเมื่ออยู่มาวันหนึ่ง เขาตัดสินใจหันหลังให้กับวงการมืดอย่างกะทันหัน ล้างมือจากการเป็นยากูซ่าออกมาแต่งงานกับดีไซเนอร์สาวผู้ขยันทำงาน จากทัตสึผู้เป็นอมตะกลายมาเป็นทัตจัง พ่อบ้านหนุ่มที่คอยจัดการงานบ้านให้กับภรรยาที่ต้องออกไปทำงาน เขาต้องเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันของตัวเองจากไล่กระทืบหันไปซื้อของเข้าบ้านที่ซูเปอร์มาร์เก็ต แย่งของลดราคากับเหล่าแม่บ้านคนอื่น ฝากตัวเขากับสมาคมแม่บ้านชุมชน ทำอาหารเช้าให้แฟนสาว กวาดบ้าน
ความผิดหวังที่เป็นเหมือนหมอกหนาปกคลุมความรู้สึก ทำให้เรามองไม่เห็นทางที่จะก้าวไปข้างหน้า จนเรายังคงยืนอยู่ตรงนั้น ตรงที่หมอกร้ายนั้นยังปกคลุมหนาแน่น ไม่มีท่าทีจะจางหายไป เพราะเราไม่อาจจมอยู่กับความผิดหวังนั้นไปได้ตลอด ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อปัดเป่าความผิดหวังนั้นออกไป หากยังไม่มีแรงลองเลือกสักเรื่องจาก 5 หนังที่เราอยากแนะนำ ในวันที่อยากเริ่มต้นใหม่ หันหลังให้กับทุกความผิดหวังที่ผ่านมา Begin Again (2013) Director : John Carney เพลง Lost Star ที่ฮิตทั่วบ้านทั่วเมืองในตอนนั้น มาจากเรื่องราวแสนปวดร้าวของ Gretta (Keira Knightley) กับแฟนหนุ่มที่เป็นศิลปินชื่อดังอย่าง Dave (Adam Levine) ที่ต้องเลิกรากันไปด้วยเรื่องมือที่สาม การพบกันในบาร์ของ Gretta และ Dan (Mark Ruffalo) ผู้บริหารค่ายเพลงที่อยากดึงตัวเธอมาร่วมงานและหวังให้เธอเป็นศิลปินที่จะมาช่วยกู้วิกฤตในอาชีพของเขา เปลี่ยนชีวิตของทั้งคู่ที่ต่างมีเรื่องราวเจ็บปวดที่ต้องการเยียวยา ทั้งคู่ต่างใช้บทเพลงเพื่อให้ตัวเองได้สมหวังกับเรื่องราวในชีวิต แต่ละตัวละครต่างมีปมที่ขมวดแน่น เฝ้ารอการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากปมเหล่านั้นที่รั้งเอาไว้มาตลอด ถือว่าดูง่ายกว่าเรื่อง Once เยอะอยู่เหมือนกัน เป็น Story และการถ่ายทอดที่เข้าถึงง่าย มีเพลงเพราะ ๆ ไม่แพ้กันได้ฟังตลอดทั้งเรื่อง แม้ฟังดูดราม่าจะเข้มข้น แต่พอได้ดูจริง ๆ มันจะ Flow ของมันไปเรื่อย ๆ แบบที่ไม่ชวนให้อึดอัดเลยแม้แต่น้อย (แถม
การเป็นศิลปินใช่จะสิ้นสุดอยู่ที่การทำเพลง ความอัจฉริยะของพวกเขาสามารถกลั่นกรองออกมาเป็นผลงานได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น นักแสดง พิธีกร ผู้กำกับ ไปจนถึงนักเขียน ตัวอย่างชัด ๆ ที่เราเห็นล่าสุดก็คือ Comic Book เรื่อง The Umbrella Academy ผลงานสร้างสรรค์โดย Gerard Way ฟรอนต์แมนวง The Chemical Romance ที่ถูก Netflix ซื้อลิขสิทธิ์ไปทำซีรีส์ และลงฉายทางสตรีมมิงไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ความเจ๋งของซีรีส์เรื่องนี้ทำให้ใครหลายคนที่ไม่แม้แต่จะสนใจเพลงของ My Chemical Romance มาก่อน ต้องหันมายอมรับนับถือในฝีมือด้านงานเขียนและมันสมองของ Gerard Way เลยทีเดียว อาจจะไม่ได้โด่งดังจนเป็นไวรัล แต่ก็จัดว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม จนทาง Netflix ประกาศทำภาคต่อแล้วเป็นที่เรียบร้อย สำหรับแฟนเพลง Slipknot คงพอจะทราบกันอยู่แล้วว่านักร้องนำของวงอย่าง Corey Taylor ก็เป็นศิลปินอีกท่านหนึ่งที่มีฝีไม้ลายมือด้านงานเขียนไม่แพ้ใคร เขาเคยออก Comic Book ชื่อเรื่อง House of Gold
ถ้าพูดถึงวงการทีวีซีรีส์ในช่วงเวลานี้ใคร ๆ ต่างก็ต้องพูดถึงสตรีมมิงของ Netflix ที่ขยันปล่อยซีรีส์น่าสนใจมาอยู่เรื่อย ๆ แม้ตอนนี้จะมีคู่แข่งหลายเจ้าเกิดขึ้นมากมายทั้ง Apple TV Plus ที่ปล่อยเรื่อง See ออกมาและได้รับคำชมอย่างล้นหลาม หรือจะเป็นทางฝั่งค่ายหนังยักษ์ใหญ่อย่าง Disney + ที่ส่งซีรีส์ภาคแยกจากมหากาพย์หนังสงครามของมวลมนุษยชาติเรื่อง Star Wars กับซีรีส์ The Mandalorian ลงสนามแย่งฐานผู้ชมกับค่ายระบบสตรีมมิงอื่น ๆ การเกิดขึ้นของระบบสตรีมมิงทำให้การรับชมทีวีซีรีส์ของผู้คนเปลี่ยนไป และในตอนนี้ Netflix ก็พร้อมประกาศสงครามกับค่ายหนังอื่น ๆ ด้วยการส่งซีรีส์ฟอร์มยักษ์ที่ใครหลายคนรอคอยกับเรื่อง The Witcher ลงสนามด้วยเช่นกัน จึงทำให้ UNLOCKMEN อยากพาทุกคนไปทำความรู้จักกับโลกของ The Witcher ให้มากขึ้นว่า เพราะอะไรผู้คนทั่วโลกถึงให้ความสนใจกับซีรีส์เรื่องนี้ ? THE WITCHER เวอร์ชันนิยายและเกม ก่อนมาเป็นซีรีส์ที่คนทั่วโลกจับตามองและให้ความสนใจ The Witcher คือนวนิยายชุดแฟนตาซีจากปลายปากกาของ Andrzej Sapkowski นักเขียนชาวโปแลนด์ร่างไว้ตั้งแต่ปี 1986 ด้วยเรื่องราวน่าตื่นเต้นของหนังสือทำให้ The
ถ้าพูดถึง ‘ยาเสพติด’ เราอาจจะจะคุ้นเคยจากการเรียนเรื่องโทษของมันในชั้นเรียน รู้จักเพราะมีคนใกล้ตัวใช้ หรือรู้จักจากภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่อง และด้วยความสงสัยใคร่รู้จนอยากลงลึกถึงรายละเอียดให้มากขึ้น UNLOCKMEN ได้พบกับสารคดีเรื่องหนึ่งที่จะพาทุกคนดำดิ่งสู่ด้านมืดของสังคมสุดอันตรายทุกย่างก้าว ภาพยนตร์ ซีรีส์ หรือสารคดีบางเรื่องมักนำเสมอมุมมองของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง บางเรื่องเจาะลึกเกี่ยวกับพ่อค้ายาชื่อดัง บางเรื่องตามติดทีมปราบปรามยาเสพติด บางเรื่องก็มึนเมาไปพร้อมกับคนเสพยา แต่ซีรีส์กึ่งสารคดีเรื่อง Dope ของ Netflix จะพาเราไปพบกับทุกมุมมองของผู้ขาย ผู้ซื้อ และตำรวจอย่างครบถ้วน ผงขาว ‘Dope’ หรือในชื่อภาษาไทยว่า ‘ผงขาว’ เป็นซีรีส์กึ่งสารคดีตีแผ่วงการยาเสพติด ถ่ายทำจากเหตุการณ์จริง นั่งสัมภาษณ์พ่อค้ายาในแต่ละย่านจริง ๆ และบางครั้งก็บุกจับคนร้ายไปพร้อมกับตำรวจ ถือว่าเป็นการทำภาพยนตร์ที่ต้องใจกล้าพอสมควรกับการลงไปใช้ชีวิต และเสี่ยงชีวิตนั่งพูดคุยกับพ่อค้ายาอาวุธครบมือ ซีรีส์เรื่อง Dope เริ่มออกอากาศมาตั้งแต่ปี 2017 ตอนนี้ได้ดำเนินมาถึงซีซั่น 3 แล้ว โดยในแต่ละตอนจะพาเราไปทำความรู้จักกับพ่อค้ายาสลับกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ รับรู้ถึงความคิดรวมถึงมุมมองของคนขายว่าทำไมเขาถึงกระโดดเข้าสู่วงการผงขาว บางคนเติบโตมากับสังคมที่ญาติพี่น้องเป็นคนขายยา สุดท้ายเมื่อโตขึ้นก็มาสานต่อกิจการที่บ้าน บางคนเข้าสู่วงการเพราะอยากมีรถหรูขับเนื่องจากการขายยาสามารถสร้างรายได้ให้เขา 20,000 ดอลลาร์ (ราวหกแสนบาท) ต่อสัปดาห์ และต้องติดตามกระแสอยู่ตลอดว่ายาชนิดไหนกำลังฮิต เมื่อดูไปเรื่อย ๆ ผู้ชมจะรับรู้ว่าแท้แล้วคนขายมืออาชีพที่อยู่ในวงการมานานมักไม่เสพยาเสพติดของตัวเองเพราะรู้ดีว่าเสพแล้วจะเป็นอย่างไร