Jake Gyllenhaal เป็นนักแสดงชายในฮอลลีวูดที่แจ้งเกิดจากหนังสูตรสำเร็จและก้าวเข้าสู่หนังอินดี้และหนังอื่น ๆ เพื่อท้าทายความสามารถทางด้านการแสดงของตัวเอง ก่อนที่จะหวนกลับเข้าสู่แวดวงภาพยนตร์ Blockbuster อีกครั้งกับภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่เรื่อง Spider Man: Far From Home (2019) กับบทบาท Mysterio ด้วยมาดเท่ ๆ กับดวงตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ รวมถึงฝีมือการแสดงที่มากความสามารถจนได้เข้าชิงรางวัลจากเวทีมากมายหาตัวจับยากนี้ ทำให้ UNLOCKMEN อยากจะชวนทุกคนไปย้อนดูหนัง 5 เรื่องที่เขาเคยฝากผลงานไว้ ลองมาดูไปพร้อมกันว่าภาพยนตร์เรื่องไหนของ Jake Gyllenhaal บ้างที่คุณไม่ควรพลาด SOURCE CODE (2011) เวลา 8 นาทีใช้ทำอะไรได้บ้าง ฟังเพลง เดินกลับบ้าน หรือเปลี่ยนโลกไปตลอดกาล ? ค้นหาคำตอบของเวลาไปกับ Jake Gyllenhaal ในภาพยนตร์แอกชัน-ไซไฟ ที่สอดแทรกความโรแมนติกไว้อย่างแยบยลกับเรื่อง Source Code (2011) เมื่อทหารนายหนึ่งตื่นขึ้นมาบนรถไฟพร้อมกับความมึนงงเพราะเขาตื่นขึ้นมาในร่างของคนอื่น เขาจะเริ่มนึกถึงตัวตนว่าเขาถูกส่งข้ามเวลามาด้วยเครื่องที่ชื่อว่า Source Code พร้อมกับภารกิจใหญ่เพื่อหยุดยั้งการระเบิดของรถไฟ โดยการย้อนเวลาแต่ละครั้งจะมีเวลาแค่ 8
ตั้งแต่ภาพยนตร์ Bohemian Rhapsody ปลุกกระแสวง Queen และเพลงร็อก 70 ให้กลับมาฟีเวอร์อีกครั้ง บรรดาหนัง Biopic ของศิลปินคนอื่น ๆ ก็ถูกประกาศสร้างตามกันมาเป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะ The Dirt หนังสารคดีวง Motley Crue ที่ลงฉายทาง Netflix, Rocketman หนังสารคดีชีวิต Elton John ล่าสุดก็เพิ่งมีการประกาศทำหนังสารคดี Elvis Presley ไปหมาด ๆ เรียกได้ว่าเป็นยุคที่อุดมหนังเพลงจริง ๆ แล้วแบบนี้จะขาดเรื่องราวของวงดนตรียิ่งใหญ่ตลอดกาล ผู้ไม่เคยถูกใครโค่นได้อย่าง ‘The Beatles’ ไปได้อย่างไร? อย่าเพิ่งเข้าใจผิด สี่เต่าทองยังไม่มีหนัง Biopic แต่หากคุณเป็นแฟนเพลงตัวยงของพวกเขา Yesterday อาจเป็นภาพยนตร์ดี ๆ อีกหนึ่งเรื่องที่คุณไม่ควรพลาด “เมื่อวานนี้ ทุกคนรู้จัก The Beatles แต่วันนี้ มีเพียงแจ็คเท่านั้นที่จำเพลงของพวกเขาได้” นี่คือภาพยนตร์แฟนตาซีที่นำบทเพลงและเรื่องราวของ The Beatles มาร้อยเรียงถ่ายทอด ผ่านพล็อตสดใหม่สุดแสนจะน่าสนใจ เรื่องราวของ
หลังจากภาพยนตร์สายลับที่มักปรากฏตัวพร้อมกับชุดสูทสุดเนี้ยบกับสาวข้างกายอย่าง James Bond ภาคล่าสุดถูกเลื่อนออกไปจากปี 2019 เป็นปี 2020 ตอนนี้มีข่าวลือสุดระทึกที่กำลังแพร่กระจายไปทั่วโลกและอาจสะเทือนใจแฟนคลับ 007 หลายคนมากที่สุด กับประเด็นที่ว่า “จะเป็นอย่างไรหากบอนด์คนเดิมไม่ใช่บอนด์ที่เป็นชายผิวขาวแต่กลายเป็นหญิงสาวผิวสี” ปัจจุบันโลกของเรามีนักแสดงชายที่รับบทเป็นเจมส์ บอนด์ มาแล้ว 6 คนด้วยกัน ทุกคนต่างเป็นชายหนุ่มผิวขาวทั้งหมด โดยคนล่าสุดที่รับบทเป็นสายลับรหัส 007 คือ Daniel Craig ที่รับบทเป็นบอนด์ครั้งแรกจาก Casino Royale (2006) ต่อด้วยภาค Quantum of Solace (2008) ถัดมาคือ Skyfall (2012) รวมถึง Spectre (2015) และภาคล่าสุด Bond 25 (ชื่ออย่างไม่เป็นทางการ) ซึ่งมีกำหนดการเข้าฉายเดือนเมษายนปี 2020 ซึ่งจะเป็นครั้งสุดท้ายของ Craig ในฐานะหนุ่มบอนด์ ทำให้คำถามที่ตามมาคือใครจะมารับไม้ต่อในครั้งนี้ ? จากเพื่อนของ CAPTAIN MARVEL สู่ว่าที่สายลับรหัส 007 ก่อนจะพูดถึง 007 คนต่อไป เราต้องขอข้ามจักรวาลของ
คอเพลงหรือคอหนังหลายคน อาจจะเคยเห็นว่าบรรดาศิลปินชื่อดัง มักได้โอกาสรับงานด้านการแสดงในภายหลัง ตัวอย่างที่คนส่วนมากรู้จักกันดีอยู่แล้ว ได้แก่ David Bowie, Lady Gaga, Madonna, Eminem หรือถ้ายุคใหม่หน่อยก็ Machine Gun Kelly ข้อดีคือศิลปินมักจะมีฐานแฟนคลับเหนียวแน่นอยู่แล้ว การนำพวกเขามารับงานแสดงจึงมีส่วนช่วยดึงดูดให้ผู้คนสนใจในตัวภาพยนตร์มากขึ้น ในทางกลับกัน นักแสดงที่ก้าวไปทำงานดนตรีบ้างกลับไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่ควร และใช่ว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จเรื่องนี้เหมือน Jared Leto ที่ถูกจดจำทั้งในฐานะนักแสดง และในฐานะฟรอนต์แมนจากวง Thirty Seconds to Mars นักแสดงบางคนเล่นหนังเรื่องไหนก็ดังเป็นพลุแตก แต่ก็ยังมีแฟนคลับอีกหลายคนที่ไม่รู้ว่าเขาคนนั้นมีวงดนตรีหรือมีงานเพลงเป็นของตัวเอง! วันนี้เราเลยจะมาพูดถึงนักแสดงชื่อดังที่ทำงานควบกับสายดนตรีเหล่านั้นกัน คนที่ยังไม่ทราบเชิญรับเพลงใหม่ ๆ ไปแบ่งกันฟัง ส่วนคนที่รู้อยู่แล้วก็คิดเสียว่าเข้ามาอ่านเพลิน ๆ ส่วนจะมีใครบ้างเรามาดูกันเลยดีกว่า Keanu Reeves ในฐานะมือเบสวง Dog Star ช่วงกลางยุค 90 Keanu Reeves เคยเป็นมือเบสให้วงร็อกชื่อ Dogstar แต่ภายหลังด้วยตารางงานแสดงที่เริ่มแน่น บวกกับกระแสตอบรับวงไม่ค่อยดีนัก เขาจึงยอมถอนตัวออกจากวง ถึงเขาจะเป็นพระเอกหนุ่มระดับโลก แต่ในฐานะศิลปิน Keanu Reeves
ถ้าพูดถึงแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งที่ได้รับความนิยมสูงสุดในตอนนี้ เชื่อว่าหนุ่ม ๆ ทุกคนคงนึกถึงชื่อของ ‘Netflix’ เป็นอันดับแรก เพราะไม่ว่าจะปล่อยภาพยนตร์หรือซีรีส์เรื่องใดออกมาก็โด่งดังเป็นพลุแตกทั้งนั้น ไหนจะ Kingdom, Umbrella Academy, Black Mirror, Dark หรือแม้แต่ซีรีส์กระตุกต่อมหลอนที่เขย่าขวัญคนทั้งโลกอย่าง The Haunting of Hill House ในเดือนกรกฎาคมที่เต็มไปด้วยเม็ดฝนจนไม่อยากจะออกไปไหน UNLOCKMEN เลยจะชวนหนุ่ม ๆ มาดู 4 ซีรีส์เรื่องใหม่ที่จะช่วยคลายความน่าเบื่อของพวกคุณที่มีต่อฤดูฝนอันเปียกปอนนี้ได้เป็นอย่างดี THE LAST CZARS ไม่ว่าคุณจะคุ้นเคยกับประวัติศาสตร์รัสเซียหรือเรื่องราวของราชวงศ์โรมานอฟมากแค่ไหนก็ตาม แต่ THE LAST CZARS จะพาคุณไปยืนตรงกึ่งกลางระหว่างข้อเท็จจริงและตำนานคร่ำครึ พร้อมขุดคุ้ยประวัติศาสตร์ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นช่วงที่รัสเซียกำลังประสบวิกฤตความวุ่นวาย แม้บ้านเมืองจะเต็มไปด้วยความไม่สงบและประชาชนลุกฮือเพื่อต่อต้านสังคม แต่ Rogue Czar Nicholas II ยังยืนหยัดจะต่อสู้กับฝูงชนที่เห็นต่าง จนเรื่องราวย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ และกลายเป็นชนวนที่ทำให้เกิดการปฏิวัติตลอดจนโค่นล้มราชวงศ์ของเขา เตรียมพบกับซีรีส์พีเรียดที่นำเสนออำนาจ ความรัก การต่อสู้ และความพังพินาศแห่งราชวงศ์รัสเซีย 3
การแสดงหลากหลายบทบาทถือเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น แต่จะมีนักแสดงชายอยู่คนหนึ่งที่เรามักจะเห็นหน้าเขาบ่อย ๆ โดยเฉพาะกับบทบาทของชายอัจฉริยะในด้านต่าง ๆ เพราะ Benedict Cumberbatch หนุ่มจากเมืองผู้ดีเป็นนักแสดงชายที่แทบจะไม่ได้รับบทเป็นคนธรรมดาเลย เขาต้องสวมบทเป็นสุดยอดอัจฉริยะอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นศัลยแพทย์ พ่อมด นักวิทยาศาสตร์ นักฟิสิกส์ นักสืบ ไปจนถึงประธานาธิบดีที่ต่อสู้เพื่อทาสผิวสี ด้วยบทบาทของชายสมองใสทำให้หลายคนกล่าวว่าเขาจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายเสมอหากผู้กำกับกำลังมองหาคนมารับบทเป็นชายซื่อบื้อ บุคลิกและหน้าตาแบบชาวอังกฤษจ๋าทำให้ Benedict Cumberbatch คว้าบทชายที่สุขุมและครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา UNLOCKMEN จึงอยากพาทุกคนไปดูภาพยนตร์ 5 เรื่อง กับการสวมบทบาทเป็นอัจฉริยะสุดฉลาดที่ทำให้เห็นว่าเขารับบทเป็นคนโง่ไม่ได้จริง ๆ The Imitation Game (2014) Benedict ต้องรับบทเป็นอัจฉริยะสมองใสใน The Imitation Game (2014) ภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ของชายหนุ่มที่ชื่อว่า Alan Turing นักคณิตศาสตร์ผู้เข้าร่วมโครงการลับของรัฐบาลอังกฤษเพื่อไขปริศนา Enigma ของกองทัพนาซีช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่นอกจากจะต้องรับบทเป็นสุดยอดนักคิดเขายังต้องแสดงอารมณ์ความทุกข์ของชายผู้มีรสนิยมชอบเพศเดียวกันซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนช่วงเวลานั้นไม่ยอมรับ และถึงแม้ว่าเขาจะเก่งแค่ไหนแต่เรื่องรสนิยมของเขาก็เข้ามาบดบัง ทำให้เขาต้องทุกข์ทรมานจากแรงกดดันทางสังคม ชนิดที่ต่อให้ทำดีแค่ไหนก็ไม่มีใครเห็น เมื่อหนังเข้าฉายด้วยการแสดงที่เข้าถึงบทบาทของนักแสดงและการกำกับหนังที่ยอดเยี่ยมของ Morten Tyldum ทำให้ The Imitation Game สามารถกวาดคำชมของเหล่านักวิจารณ์ไปอย่างท่วมท้น
หากเอ่ยถึง Ningen Shikaku หนุ่ม ๆ หลายคนอาจไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ถ้าบอกว่า สูญสิ้นความเป็นคน วรรณกรรมชิ้นเอกของนักเขียนชาวญี่ปุ่นชื่อดัง ดาไซ โอซามุ ก็คงต้องเคยได้ยินกันบ้างอย่างแน่นอน กับงานเขียนชิ้นเอกสะท้อนตัวตนอันแสนขมขื่นที่อัดแน่นไปด้วยความเศร้าบอกเล่าผ่าน โอบะ โยโซ ชายผู้วนเวียนอยู่กับการตั้งคำถาม สุรา นารี และใช้เวลาดำดิ่งไปยังความเศร้าที่ไม่สิ้นสุด ซึ่งตอนนี้สูญสิ้นความเป็นคนกำลังจะมีหนังที่ได้โครงเรื่องจากหนังสือมาให้เราได้ชมกันแล้ว ทั้งเรื่องราวในหนังสือและภาพยนตร์จะเล่าผ่านโอบะ โยโซ ชายหนุ่มที่เพียบพร้อมทั้งหน้าตา ความรู้ ฐานะ เติบโตมาในสังคมที่ดีแต่โยโซกลับมองโลกต่างออกไป เขาชอบตั้งคำถามและเก็บรายละเอียดของผู้คน พร้อมกับ “เป็น” ในสิ่งที่ทุกคนอยากให้เขาเป็น ทั้งหมดทำให้โยโซคิดว่าแท้จริงแล้วโลกโหดร้าย จิตใจของมนุษย์เป็นสิ่งอันตรายที่ยากจะหยั่งถึง ทุกคนต่างมีเบื้องหลังที่ทำให้ต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน ซึ่งมนุษย์ที่ว่าก็รวมถึงตัวเขาด้วยเช่นกัน ซ้ำยังมองว่าชีวิตตัวเองตกต่ำเกินกว่าที่จะเรียกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ ถึงแม้จะเศร้าโศกหรือดำดิ่งจนแทบสูญสิ้นความเป็นมนุษย์จนบางครั้งทำให้เขาอยากนำความเศร้าไปแบ่งให้กับคนอื่น แต่โยโซทำกลับตรงกันข้าม เปลือกนอกเขาเป็นชายอารมณ์ดีที่มากด้วยเสน่ห์ คารมดีแต่เป็นคนแปลก และพัวพันกับหญิงสาวมากหน้าหลายตา เหมือนกับระเบิดเวลาเมื่อเขายิ่งแสดงออกให้ทุกคนเห็นว่ามีความสุขมากแค่ไหน จิตใจของเขาก็ยิ่งบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อก้าวผ่านวัยหนุ่มที่ถูกจำกัดอยู่ในกรอบ โยโซวัยหนุ่มต้องเจอกับเรื่องราวมากมาย ทั้งเหล้า มอร์ฟีน ปัญหาเรื่องผู้หญิงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง รวมถึงการพยายามพาตัวเองไปถึงจุดสิ้นสุดของชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายสิ่งที่เขาเจอก็คือหน้ากากของผู้คนกับความทุกข์ที่ไม่เคยหายไป และกว่าเขาจะได้จากไปอย่างที่ตัวเองต้องการ เราก็อ่านหนังสือสูญสิ้นความเป็นคนมาถึงบรรทัดสุดท้ายเสียแล้ว ภายใต้ชีวิตที่ทุกข์ระทมของโยโซเกิดขึ้นจากการประพันธ์ของดาไซ โอซามุ ชายที่พยายามจบชีวิตของตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนเช่นเดียวกับตัวละครในงานเขียนของเขา ไม่ว่าจะพยายามกินยาเกินขนาด แขวนคอหรือกระโดดลงแม่น้ำ ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้สูญสิ้นความเป็นคนกลายเป็นหนังสือที่ควรอ่านและไม่ควรอ่านในเวลาเดียวกัน จากการรีวิวของเหล่านักอ่านหลายคนที่ไม่แนะนำว่าหากใครกำลังจมดิ่ง อ่อนไหวง่าย หรือเป็นโรคซึมเศร้าไม่ควรจะแตะหนังสือเล่มนี้ รวมถึงคำนำของทางสำนักพิมพ์ยังเขียนไว้ว่า ‘อ่านไปอาจจะได้อารมณ์อ่อนไหวระคนหลักแหลมหม่นหมองประคองอารมณ์
ย้อนไปในปี 1987 หนังสือการ์ตูน WATCHMEN ถูกตีพิมพ์ใน DC Comics และเล่าถึงเรื่องราวด้านมืดของเหล่าฮีโร่ทั้ง 6 ที่กลายเป็นเบี้ยในเกมหมากรุกของลัทธิฟาสซิสต์ ทั้งยังนำเสนอความเส็งเคร็งของประเทศเสรีในช่วงปี 1985 ที่โลกเต็มไปด้วยความเลวร้ายและรุนแรงจากสงคราม ยิ่งไปกว่านั้นความเหลวแหลกของสังคมก็ค่อย ๆ ซึบซับลงในจิตใจมนุษย์ ทำให้ผู้คนตกต่ำและเลวทรามลงเรื่อย ๆ ขนาดเหล่าฮีโร่ยังต้องเมินหน้าหนี ในปี 2009 WATCHMEN ก็เข้าฉายบนจอเงินและออกสู่สายตาสาธารณชนในรูปแบบภาพยนตร์เป็นครั้งแรก พล็อตเรื่องของหนังเรื่องนี้แทบไม่ต่างจากการ์ตูนที่เป็นต้นฉบับ หากผูกเรื่องด้วยปมการตายของฮีโร่วัยเกษียณที่ซ่อนเงื่อนงำและคาดว่ามีผู้อยู่เบื้องหลัง สิ่งที่ทำให้ WATCHMEN ต่างจากหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องอื่น ๆ เป็นเพราะหนังเรื่องนี้เผยให้เห็นอีกด้านของฮีโร่ที่รัก โลภ โกรธ และหลงได้ไม่ต่างจากมนุษย์ แถมยังเสนอมุมที่ฮีโร่ถูกมองว่าเป็นพวกนอกกฎหมาย ทำให้แฟนหนังซูเปอร์ฮีโร่มีทั้งที่ชอบและเกลียดภาพยนตร์เรื่องนี้ RORSCHACH ตัวละครตกอับผู้ถูกเหยียบย่ำ ในบรรดาเหล่าฮีโร่ทั้ง 6 ของ WATCHMEN บุคคลที่โดดเด่นและดูจะลึกลับที่สุดคือ RORSCHACH ชายที่มาพร้อมชุดสูท ผ้าพันคอ รองเท้าบูท ถุงมือ และหน้ากากเปื้อนหมึกอันเป็นเอกลักษณ์ เขาคือตัวละครที่น่าหลงใหลและได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์มากมาย และในปี 1988 ตัวละครนี้ก็ได้รับรางวัล Character Most Worthy
ถ้าพูดถึงภาพยนตร์แนว Sci-Fi ที่คนทั่วโลกจดจำได้มากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นเรื่อง The Matrix ที่เกิดขึ้นจากการเขียนบทและกำกับโดยสองพี่น้อง Wachowski กับพล็อตเรื่องสุดล้ำเกี่ยวกับการทำสงครามระหว่างมนุษย์กับหุ่นจักรกลจากโลกอนาคต ที่ตอนนี้มีแววว่าทาง Warner Bros. จะกลับมาสร้างหนังภาคต่อให้ได้ดูกันคลายคิดถึง The Matrix คือภาพยนตร์ที่ออกฉายครั้งแรกเมื่อปี 1999 ต่อด้วย The Matrix Reloaded (2003) และภาคสุดท้าย The Matrix Revolutions (2003) ด้วยเนื้อเรื่องที่แปลกใหม่ งานกำกับที่ยอดเยี่ยม ฉากแอ็กชันที่ไม่คุ้นตา รวมถึงนักแสดงที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ทำให้ The Matrix กลายเป็นหนังแห่งยุคไปอย่างง่ายดาย รับเสียงชมเชยและรายได้ทั่วโลกรวมทั้งสามถึง 1,633 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนเงินที่เยอะมากในช่วงเวลานั้น ไม่บ่อยนักที่หนังแอ็กชันจะกวาดรางวัลได้เยอะจากเวทีต่าง ๆ แต่ด้วยปรากฏการณ์แห่งยุคของ The Matrix ทำให้หนังเรื่องนี้สามารถกวาดรางวัลจากเวทีอันทรงเกียรติอย่างออสการ์ไปได้ถึง 4 สาขา ได้แก่ สาขาบันทึกเสียงยอดเยี่ยม เทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม ตัดต่อภาพยอดเยี่ยม และลำดับเสียงยอดเยี่ยม ด้วยการสร้างตำนานของหนังเรื่องดังกล่าวจึงทำให้เกิดข่าวลือมาตลอดว่าเรื่องราวของ The Matrix จะหวนกลับมาให้เรารับชมกันอีกครั้ง
ขณะที่ตอนนี้โลกมีเรื่องราวของซูเปอร์ฮีโร่เต็มไปหมด เรากลับไม่ค่อยเห็นเรื่องราวในมุมมองของวายร้ายเท่าไหร่นัก อาจเป็นเพราะความร้ายกาจ โรคจิต การก่ออาชญากรรมต่าง ๆ ที่ทำให้หลายคนไม่อยากตีแผ่ชีวิตของพวกตัวร้ายเพื่อให้คนดูนิยมชมชอบเหมือนตอนดูหนังฮีโร่ และสำหรับหนังเดี่ยวครั้งแรกของตัวร้ายตลอดกาลอย่าง Joker ที่จะฉายปีนี้ คงไม่ได้อยากให้ผู้ชมเปลี่ยนมาเห็นใจเขา แค่อยากเสนออีกมุมหนึ่งที่ผู้คนไม่เคยมองเห็นเท่านั้น ถ้าย้อนกลับไปดูภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ทุกซีรีส์มีเรื่องราวเกี่ยวกับ Batman และเมือง Gotham เราจะเห็นว่าโลกจอเงินมีนักแสดงที่เคยรับบทเป็น Joker มาแล้วทั้งหมด 4 คน ได้แก่ Cesar Romeo ที่ปรากฏตัวในเรื่อง Batman (1966) ต่อมาอีกครั้งกับ Jack Nicholson ใน Batman (1989) จากผลงานของผู้กำกับ Tim Burton จนมาถึง Batman: The Dark Knight (2008) จากผลงานผู้กำกับมือเทพ Christopher Nolan ที่พาหนังซูเปอร์ฮีโร่เข้าชิงรางวัลออสการ์มากถึง 8 สาขา ซึ่งครั้งนี้หลายคนลงความเห็นตรงกันว่า Heath Ledger สามารถพิสูจน์ตัวเองสวมบทบาทตัวตลกจิตคลั่งได้น่ากลัวที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา ทำให้เขาสามารถคว้ารางวัลออสการ์ครั้งที่ 81 สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมไปครอง ขณะที่ Joker ฉบับภาพยนตร์คนล่าสุดรับบทโดย Jared