ความรักอาจเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต แต่ความสัมพันธ์ในรูปแบบคนรักเป็นอีกเรื่องหนึ่ง จริงอยู่ว่าการมีคนรักที่ดีและสุขสมหวังในความรัก รวมถึงการมีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นนั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนใฝ่ฝัน แต่ในความเป็นจริงสำหรับบางคนก็ถึงเวลาที่ต้องยอมรับว่า “วัความสัมพันธ์หอมหวานไม่ได้มีไว้สำหรับทุกคน” ประโยคนี้เป็นเรื่องจริงที่สุด วันนี้ UNLOCKMEN มีหนัง 5 เรื่องมาให้คุณได้รู้ซึ้งถึงความรักที่ไม่ได้หอมหวานหรือน่ารัก แต่ไม่ว่าจะมีความรักความสัมพันธ์แบบไหน เราก็ต้องมีชีวิตต่อไป The Lobster หนังตลกร้ายที่บอกเล่าผ่านความสัมพันธ์ผ่านพล็อตเรื่องโดดเด่น แปลกใหม่ แสบสันและจิกกัด มีฉากเป็นโลกกึ่งดิสโทเปียที่การไม่มีคู่ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย คนโสดไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรจะโดนส่งตัวไปที่โรงแรม The Hotel ผู้ที่ถูกส่งไปมีเวลา 45 วันในการหาคู่ให้สำเร็จ ประเด็นมันอยู่ตรงที่ถ้าใครยังหาคู่ไม่ได้ในเวลาที่กำหนดจะถูกทำให้กลายเป็นสัตว์ หนังเรื่องนี้ถูกตีความเป็นหนังนอกกระแส แต่ก็ดูได้เพลิน ๆ ถ้าพูดถึงความสนุกมันก็เป็นเรื่องของรสนิยมส่วนบุคคลของพวกคุณแล้วแหละ 500 Days of Summer เมื่อความรักเป็นเรื่องของพรหมลิขิต Tom (Joseph Gordon-Levitt) ชายหนุ่มที่เชื่อในเรื่องพรหมลิขิตและ Summer (Zooey Deschanel) หญิงสาวที่เชื่อว่าความรักเป็นเรื่องเพ้อฝัน 500 วันแห่งเรื่องความรักของเขาและเธอจะหวานขมปนเฝื่อนขนาดไหน? เรื่องราวในหนังอาจจะเตือนใจใครบางคนได้ว่าคนที่คิดแบบเดียวกับเรา หรือทำอะไรเหมือนเรา ไม่ได้แปลว่าเขาคนนั้นจะเป็นเนื้อคู่ของเรา เพราะความหวานชื่นตลอดไปอาจไม่มีอยู่จริง Equals equals หนังโรแมนติกไซไฟในโลกยูโทเปียในอนาคตที่ไร้อาชญากรรม พลเมืองทุกคนถูกตัดต่อพันธุกรรมสะกดต่อมอารมณ์เอาไว้ ทุกคนตัดขาดความสัมพันธ์ส่วนตัว
ตัวตนของผู้ชายไม่ได้มาจากลักษณะนิสัยและความคิดภายในเท่านั้น แต่การเลือกข้าวของเครื่องใช้สามารถนิยามตัวตนของเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะ “นาฬิกา” ที่อยู่บนข้อมือของเรา ไม่ว่าจะไปติดต่องานหรืองานเลี้ยงสังสรรค์ที่ไหนก็เป็นปราการด่านแรกที่ทุกคนมองเห็น การเลือกนาฬิกาที่เหมาะสมจึงไม่ได้เป็นเพียงการเลือกเครื่องบอกเวลาเท่านั้น แต่นาฬิกาสามารถบอกตัวตนของผู้สวมใส่ได้อีกด้วย จึงไม่แปลกที่ในภาพยนตร์แต่ละเรื่อง ตัวละครแต่ละตัวจะมีนาฬิกาคู่ใจเพื่อใช้บ่งบอกคาแรกเตอร์อันโดดเด่นที่ผู้กำกับหรือผู้สร้างต้องการสื่อให้ผู้ชมเห็น ดังนั้นนาฬิกาใดที่จะถูกนำมาใส่จึงต้องมีความสมจริงกับคาแรกเตอร์ในภาพยนตร์ และตัวนักแสดงต้องโอเคกับนาฬิกาเรือนนั้นด้วย ไม่ใช่แค่มีเงินแล้วจะเข้ามาปรากฎตัวในหนังระดับโลกได้ง่าย ๆ Hamilton จึงถือเป็นอีกแบรนด์นาฬิกาที่มีหลากรุ่น หลายซีรีส์ มีเรื่องราวและประวัติอันยาวนาน เดินทางผ่านหน้าประวัติศาสตร์มากว่า 127 ปี นับตั้งแต่การก่อตั้งแบรนด์ขึ้นที่เมืองแลงคาสเตอร์ รัฐเพนซิลวาเนีย ในปี 1892 ด้วยความคลาสสิกและเต็มไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Hamilton ทำให้ตั้งแต่ปี 1932 เป็นต้นมามีนาฬิกา Hamilton สารพัดรุ่นถูกนำไปปรากฏโฉมอยู่บนจอเงินในภาพยนตร์มากถึง 500 เรื่อง เพราะนอกจากการเป็นอุปกรณ์บอกเวลาแล้ว นาฬิกา Hamilton แต่ละรุ่นยังเป็นเครื่องบ่งบอกตัวตนของผู้สวมใส่อย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่ฟังก์ชันความเที่ยงตรง แต่ยังเต็มไปด้วยอารมณ์ร่วมและเรื่องราวมากมาย เสริมคาแรกเตอร์ตัวละครในภาพยนตร์แต่ละเรื่องให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ที่สำคัญแสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือของ Hamilton ที่ Hollywood อุตสาหกรรมความบันเทิงระดับโลกไว้วางใจ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือยังไง แต่ภาพยนตร์จำนวนมากที่มี Hamilton อยู่บนข้อมือตัวแสดง มักจะประสบความสำเร็จอย่างมากเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นระดับ Oscar Nominations หรือกระทั่งคว้ารางวัล Oscar
แฟนหนังที่ชื่นชอบเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ไม่ว่าจะเป็นทีม Marvel หรือ DC ต่างต้องเคยได้ยินเรื่องราวของชายที่ชื่อว่า Shazam กันมาบ้างไม่มากก็น้อย แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ตามจักรวาลซูเปอร์ฮีโร่อาจจะคิดว่า Shazam คือชื่อของแอปพลิเคชั่นช่วยค้นหาชื่อเพลง เพราะฮีโร่ Shazam ยังเป็นของใหม่สำหรับใครหลายคน ด้วยเหตุนี้เอง UNLOCKMEN จึงอยากพาไปทำความรู้จักกับฮีโร่สุดป่วนที่ได้รับพลังพิเศษจากเทพเจ้าให้มากขึ้น Shazam คือฉายาของฮีโร่ชุดแดงที่เป็นอีกร่างหนึ่งของเด็กชายวัย 14 ปี นามว่า Billy Batson เด็กกำพร้าที่ใช้ชีวิตทั่วไปแบบคนธรรมดา แต่แล้ววันหนึ่งเขาได้พบกับจอมขมังเวทย์ที่มอบ “พรจากพระเจ้า” ที่เปลี่ยนชีวิตของเด็กกำพร้าคนนี้ไปตลอดกาล พรที่ว่าคือความสามารถเหนือมนุษย์จากเทพเจ้าทั้ง 6 ได้แก่ Solomon เทพเจ้าแห่งปัญญา Hercules ชายผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งพละกำลัง Atlas ตัวแทนของความทรหดอดทน Zeus เทพเจ้าสูงสุดผู้อยู่เหนือเทพทั้งปวงที่มาพร้อมกับสายฟ้าฟาด Achiles เทพเจ้าผู้เต็มไปด้วยความกล้าหาญ และ Mercury เทพเจ้าแห่งความเร็ว เมื่อนำพยัญชนะแรกของเทพเจ้าทั้งหมดมารวมกันจะได้คำว่า “SHAZAM” เมื่อเด็กหนุ่มได้รับพรจากพระเจ้ามาแล้ว สิ่งต่อไปที่เขาต้องเรียนรู้คือการนำพลังพิเศษออกมาใช้ โดยการเรียกพลังในแต่ละครั้งนั้นแสนง่ายดายเพียงแค่พูดว่า “Shazam” ก็จะเกิดสายฟ้าฟาดใส่ตัวและทำให้บิลลี่กลายร่างเป็น Shazam ฮีโร่ผู้มาพร้อมกับความสามารถของเทพเจ้าทั้ง 6 คน สวมชุดที่สีแดงสดและสัญลักษณ์สายฟ้าฟาดสีเหลืองโดดเด่นตรงกลางอก และเมื่อต้องการกลับร่างเดิมก็ทำได้ง่าย ๆ
ในโลกมีผู้กำกับไม่กี่คนที่เราดูหนังเขาเพียงไม่กี่นาทีก็รู้ทันทีว่านี่คือฝีมือการกำกับของใคร เนื่องจากลายเซ็นและเอกลักษณ์อันชัดเจนที่แทรกอยู่ในทุกไดอะล็อก ทุกซีน หนึ่งในผู้กำกับตามนิยามที่ว่านั้นต้องมีชื่อของ Quentin Tarantino ผู้กำกับหนุ่มใหญ่วัย 56 จาก เทนเนสซี สหรัฐอเมริการวมอยู่ด้วยแน่นอน หนังบ้าอะไรวะเนี่ย แม่งพูดกันทั้งเรื่อง! ลายเซ็นที่ชัดเจนของหนัง Quentin คือการดำเนินเรื่องที่ฉับไว และบทสนทนาน้ำไหลไฟดับที่บางครั้งก็เลยเถิดไปไกลจนไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง สำหรับบางคนมันคือเสน่ห์ แต่อีกหลายคนก็รู้สึกรำคาญ ดังนั้นความเห็นต่อหนังของ Quentin เสียงจึงแตกเป็น 2 ฝ่าย ไม่รักหัวปักหัวปำ ก็เกลียดไปเลย Esquire ความรักที่แฟนหนังมีต่อ Quentin เห็นได้ชัดจาก Once Upon a Time in Hollywood ภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเขา หลังจากปล่อยภาพโปสเตอร์ รายชื่อนักแสดง เรื่องย่อ และ Trailer ออกมา ทั่วโลกก็ตกอยู่ในภาวะ Hype เกิดเป็นกระแสวงกว้างในโลกออนไลน์ ก็แน่ล่ะ Leonardo DiCaprio ประชันบทบาทกับ Brad Pitt เพิ่มความสดใสด้วย Margot Robbie กำกับโดย Quentin Tarantino มาในพล็อตจิกกัดวงการฮอลลีวูดยุค 60 ใครบ้างจะไม่อยากดู ปรากฏการณ์นี้เป็นสิ่งยืนยันได้อย่างดีว่าชื่อของ Quentin Tarantino ได้ก้าวสู่ทำเนียบผู้กำกับชั้นนำระดับโลกอย่างเต็มตัวแล้ว
กฎข้อแรกของแฟนหนังไฟต์คลับ คือ ต้องจำหนุ่มออฟฟิศหน้าตาซื่อบื้อได้ ชีวิตเฮงซวยกับหน้าตาเบื่อโลก ทำให้บทของเขาในเรื่องนี้เป็นที่จดจำ หรือจะเป็นพี่ชายตัวแสบหัวรุนแรงใน American History X กับคาแรกเตอร์ Neo-Nazi ที่แสนจะติดตา และอีกหลายเรื่องที่การแสดงของเขาโดดเด่นจนทำให้เราเชื่อว่าเขาเป็นตัวละครนั้นจริง ๆ แค่สองเรื่องที่พูดถึงมา คงไม่มีใครกังขาในความสามารถของเขา เราจะพามาสำรวจชีวิตเบื้องหลังจอเงิน อะไรที่ผลักดันให้เขาสวมบทบาทได้เหมือนสวมวิญญาณเข้าไปขนาดนี้ THE GREAT NORTON ปฐมบทของการแสดง เริ่มต้นจากภาพยนตร์เรื่อง Primal Fear (1996) ฝีมือการกำกับของ Gregory Hoblit ช่วงเริ่มโปรเจ็กต์ เขามองหานักแสดงวัยละอ่อนที่จะมาประกบคู่กับ Richard Gere ในตอนแรกบทนี้ถูกเสนอให้กับ Leonardo DiCaprio แต่เป็นอันล้มเลิกไป เลยเป็นอันต้องพักกอง รอจนกว่าจะเจอดวงดาวที่ใช่ จนกระทั่งมาพบกับ Edward ในรอบออดิชั่นที่เอาชนะคู่แข่งอีกนับพันคนไปได้แบบลอยตัว และความเจิดจรัสของเขาไม่หยุดอยู่แค่รอบออดิชั่น ฝีมือการแสดงส่งผลให้เขาได้เข้าชิงออสการ์สาขา Best Supporting Actor กันตั้งแต่ผลงานเรื่องแรก เพียงสองปีต่อมา Edward ได้แจ้งเกิดแบบพลุแตกกับบทบาท Neo-Nazi ตัวจี๊ดแห่ง American History
บทความนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของคนชอบดูหนังคนหนึ่งเท่านั้นและมีการสปอยตอนจบของภาพยนตร์หลายเรื่อง ครั้งก่อนเราเขียนถึงเพลงตอนจบภาพยนตร์สุดประทับใจ (ย้อนอ่านได้ที่ 7 เพลงตอนจบภาพยนตร์สุดประทับใจ) แต่ยังไม่หมดแค่นั้น ตอนจบภาพยนตร์คือสิ่งที่เราหลงใหล วันนี้เราจะพูดถึงตอนจบภาพยนตร์เพียว ๆ แบบไม่มีเพลงมาเกี่ยวข้อง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ประทับใจไม่รู้ลืม ตกผลึกอยู่ในความทรงจำไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน Gone with the Wind (1939) Director: Victor Fleming, George Cukor ‘Frankly, my dear, I don’t give a damn’ นี่คือประโยคสุดท้ายจากภาพยนตร์เรื่อง Gone with the Wind และเป็นประโยคอันดับ 1 ตลอดกาลจากการจัดอันดับของ American Film Institute ถ้าใครไม่เคยดู Gone with the Wind คงสงสัยว่าประโยคนี้มีอะไรพิเศษ ก็ดูเป็นประโยคตัดความสัมพันธ์ธรรมดา แต่สิ่งที่ทำให้มันพิเศษคือเรื่องราวภายใต้ประโยคนี้ ถ้าจะอธิบาย Gone with the Wind ให้เข้าใจโดยง่าย มันคือละครน้ำเน่าที่มาในรูปแบบภาพยนตร์ โศกนาฏกรรมความรักท่ามกลางบรรยากาศสงคราม ผู้พูดประโยคนี้คือตัวละคร Rhett Butler
นับถอยหลังอีกไม่กี่อึดใจผู้ชายอย่างเราก็จะได้เข้าคูหาเลือกตั้งหลังไม่ได้เลือกมานานแสนนานแล้ว ไม่ว่าพรรคที่อยู่ในใจคุณตอนนี้จะเป็นใคร เราก็อยากชวนมาดู 5 หนังเชือดเฉือน–การเมือง–เลือกตั้งเพื่อรู้เท่าทันการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงมากขึ้นอีกระดับ Frost/Nixon เชื่อว่าผู้ชายหลายคนมองไปทางไหนก็เห็นแต่เวทีดีเบต เวทีประชันความคิดของนักการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งหลาย ในแต่ละเวทีเราคงอดครุ่นคิดไม่ได้ว่านักข่าว พิธีกร หรือแม้แต่ประชาชนอย่างเรา ๆ มีอำนาจแค่ไหนในการตั้งคำถามเพื่อตรวจสอบ วิพากษ์ วิจารณ์นักการเมืองตรงหน้านี้ ? Frost/Nixon เล่าเรื่อง David Frost พิธีกรรายการ Talk Show ตกอับชาวอังกฤษที่ต้องสัมภาษณ์ Richard Nixon อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยในขณะนั้น Richard Nixon เพิ่งลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีเนื่องจากคดีอื้อฉาวครั้งใหญ่ ในสายตา Richard Nixon เขาคิดว่านี่คือโอกาสดีที่จะได้เรียกคะแนนสงสาร แถมมั่นใจในความเก๋าเกมของตัวเองว่ายังไงก็ไม่มีทางพ่ายให้กับพิธีกรตกอับอย่าง David Frost ฟาก David Frost เองก็ต้องทำการบ้านอย่างหนักวิ่งหาแหล่งทุนเพื่อทำรายการนี้และที่สำคัญเขาต้องการเอาชนะและตีแผ่ความจริงให้สาธารณชนได้รู้ Frost/Nixon จึงทำให้เห็นว่าอย่าประมาทพลังของคำถาม การตรวจสอบ การวิพากษ์วิจารณ์นักการเมือง อย่าคิดว่าเราตัวเล็กจะไปทำอะไรได้ เพราะการตั้งคำถามโดยเฉพาะในยุคที่อะไร ๆ ก็ออนไลน์มันคืออีกกระบวนการหนึ่งที่เราจะตีแผ่และล้วงลึกข้อเท็จจริงจากปากพวกเขาได้ Milk ในยุคที่รสนิยมทางเพศของมนุษย์ถูกชี้วัดตัดสินด้วยมาตรฐานศีลธรรมและกฎเกณฑ์สังคมบางอย่าง การเกิดมาเป็นผู้ชายที่ชื่นชอบผู้ชายด้วยกันจึงถูกมองเป็นเรื่องเลวร้ายสุดขีด หนังเรื่องนี้ เล่าเรื่องราวของ Harvey
บทความนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวจากคนชอบดูหนังคนหนึ่งเท่านั้นและมีการสปอยตอนจบของภาพยนตร์หลายเรื่อง ตลอดระยะเวลาชั่วโมงครึ่ง 2 ชั่วโมง หรืออาจมากกว่านั้นของภาพยนตร์หนึ่งเรื่อง ทุกช็อต ทุกซีน ทุกไดอะล็อก ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามซีนที่ทำให้ผู้ชมจดจำภาพยนตร์เรื่องนั้นได้ดีที่สุดและตราตรึงในใจไปอีกนานสำหรับเรามันคือซีนจบ เพราะมันคือการสรุปเรื่องราวทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นการปูทางให้เราได้รู้ชีวิตของตัวละครหลัง End Credit ที่เราจะไม่ได้เห็นแล้ว ภาพยนตร์ทุกเรื่องมีตอนจบในแบบของตัวเอง แต่สำหรับเราตอนจบจะสมบูรณ์ยิ่งขึ้นถ้าได้เพลงเพราะ ๆ เข้ากับเนื้อเรื่องบรรเลงขึ้นมา วันนี้เราจะมาพูดถึงเพลงเหล่านั้น เป็นการย้อนรำลึกความทรงจำ ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความประทับใจก็ไม่เคยเสื่อมคลาย Song: A Real Hero – College & Electric Youth Movie: Drive (2011) แค่ชื่อเพลง A Real Hero ก็อธิบายภาพยนตร์เรื่องนี้ได้หมดทุกอย่างแล้ว เพราะ Drive ผลงานการกำกับของ Nicolas Winding Refn เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักขับรถนิรนามอย่าง Driver ที่ในตอนกลางวันประกอบอาชีพสุจริตเป็นสตันท์แมนให้กับกองถ่ายภาพยนตร์ แต่ในตอนกลางคืนเขาอาศัยอยู่ในโลกมืด ทำหน้าที่ขับรถพาอาชญากรหลบหนี ชีวิตแต่ละวันของ Driver ผ่านไปอย่างไร้ความหมาย จนกระทั่งเขาได้เจอกับเพื่อนบ้านสาวอย่าง Irene ความสัมพันธ์ที่งดงามก็ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ แต่ทั้ง 2 ต่างก็รู้ดีว่ามันคือความรักที่เป็นไปไม่ได้
หากเราเปิดภาพยนตร์สักเรื่องดู แบบที่ไม่รู้มาก่อนว่านี่คือเรื่องอะไร สิ่งที่ทำให้เราเดาได้ว่านี่คือหนังของผู้กำกับคนไหน คงจะเป็น Signature ของภาพที่เราได้เห็นและเทคนิคการเล่าเรื่อง เหมือนกับเวลาเราคุ้นตากับลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ของนักวาดการ์ตูน คุ้นกับสำนวนสละสลวยของนักเขียน ผู้กำกับหลายคนก็มักจะมีเอกลักษณ์ของตัวเองจนเรารู้ได้ในทันทีว่านี่คือผลงานของเขา อย่างภาพยนตร์หม่นหมองของ Tim Burton สีฟ้าอมเขียวและภาพสโลวโมชั่นแบบไร้ที่มาของ Zack Snyder และทุกอย่างที่ดูสมมาตรไปหมดในมุมมองของ Wes Anderson หากใครได้ดูภาพยนตร์ของ Anderson มาบ้าง คงพอจะนึกภาพ Mood and tone ของเรื่องออก ว่าเรากำลังจะพูดถึงอะไร ไม่ว่าจะเป็นการจับคู่สีที่ชาญฉลาด ตัวละครเพี้ยน ๆ รวมทั้งมุมมองที่แสนจะสมมาตรมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนสิ่งเหล่านี้กลายเป็นเอกลักษณ์ของเขา ชนิดที่ว่าดูเรื่องไหนก็เจอมันเรื่องนั้นนั่นแหละ แฟน ๆ หลายคนเองก็ชื่นชอบภาพยนตร์ของเขาเพราะฟินกับความสมมาตรที่ได้ชม เคยสงสัยกันบ้างไหม ว่าทำไมรูปร่าง ภาพ มุมมองที่สมมาตร มันถึงทำให้เราฟินจนรู้สึกว่ามันคือสัดส่วนที่ใช่ของมวลมนุษยชาติ เราจะมาหาคำตอบนี้ไปพร้อมกัน สัดส่วนสุดพึงใจ ความลงตัวของสัดส่วนธรรมชาติ ความสมมาตรคือสัดส่วนที่เราคุ้นเคยกันดี เพราะมันคือสัดส่วนที่ธรรมชาติรังสรรค์ ไม่ต้องมองหาที่ไหนไกลเลย ลองมองที่ตัวเราเองนี่แหละ ตอนที่เราแบ่งเซลล์แล้วประกอบร่างมาเป็นตัวเราอย่างในทุกวันนี้ มันคือการประกบเข้าหากันแบบสมมาตร ลองสังเกตดูว่าร่างกายของเรา มันจะมีเส้นตรงกลางลำตัว ชัดเจนที่สุดคงเป็นเส้นตรงหน้าท้อง หากผ่าร่างกายเราในแนวแกน Y มันจะแบ่งครึ่งได้แบบสมมาตรพอดิบพอดี
เรื่องราวเร้นลับชวนขนหัวลุกสุดคลาสสิกจากทั้งวงการวรรณกรรมและภาพยนตร์ อย่าง Dracula ถูกนำมาสร้างในเวอร์ชั่นจอแก้วและจอเงินหลายต่อหลายครั้ง รวมทั้งหนังสือเองที่ได้รับการตีพิมพ์แบบนับไม่ถ้วน ด้วยเนื้อเรื่องสุดคลาสสิกที่ใคร ๆ ต่างรู้จักตำนานผีดูดเลือดแห่ง Transylvania จึงทำให้ทุกเวอร์ชั่นเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างง่ายดาย แต่สำหรับวงการภาพยนตร์ เรื่องราวผีดูดเลือดของท่าน Count Dracula จะให้นับว่าเวอร์ชั่นไหนที่เป็นตำนานที่สุด ทุกเสียงคงชี้ไปในทิศทางเดียวกันที่ Bram Stoker’s Dracula (1992) ฝีมือการกำกับของ Francis Ford Coppola ที่ได้รับกระแสตอบรับในแง่บวกอย่างล้นหลาม ไม่ใช่แค่ยุคนั้น แต่ยังคงขึ้นชื่อมาจนถึงทุกวันนี้ มาแกะรอยความคลาสสิกของที่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นตำนานของฝั่ง Horror ในวงการจอเงิน รวมทั้งอิทธิพลของเรื่องนี้ที่ส่งต่อมาถึงภาพยนตร์สยองขวัญรุ่นหลัง Dracula จากปลายปากกาของ Bram Stoker ชื่อของ Bram Stoker ที่ปรากฎอยู่บนชื่อภาพยนตร์อย่างเป็นทางการเนี่ย เป็นชื่อของนักเขียนชาวไอริช เจ้าของผลงานนวนิยายเรื่อง Dracula เรื่องราวของแวมไพร์ในปราสาทที่เรารู้จักในชื่อ Count Dracula ตัวละครเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก Vlad Țepeș ผู้ปกครองเมือง Transylvania ที่เป็นฉากหลังในเรื่องนั่นเอง ซึ่งเนื้อเรื่องก็เป็นอย่างในภาพยนตร์ที่เราได้ดูกันนั่นแหละ สรุปง่าย ๆ ก็คือ Francis Ford Coppola ทำภาพยนตร์สยองขวัญโดยการหยิบเอาเรื่องของท่าน Count Dracula จากต้นเนื้อเรื่องฉบับเวอร์ชั่นนิยายของ Bram Stoker มาถ่ายทอดสู่จอเงิน เนื่องจากใช้เนื้อเรื่องเดียวกันแทบทั้งหมด