เราเกิด เติบโต ใช้ชีวิตจนมีความคิดแบบหนึ่ง ความเชื่อแบบหนึ่ง ความรู้สึกแบบหนึ่ง แล้ววันหนึ่ง “บางสิ่งบางอย่าง” เข้ามากระแทกชีวิตเรา สั่นสะเทือนทุกสิ่งที่เราเคยเชื่อ เคยคิด เคยเป็น เคยรู้สึก จากนั้นชีวิตของเราก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะ “บางสิ่งบางอย่าง” ทำให้เราเห็นโลกในมุมอื่นที่เราไม่เคยเห็น ทำให้เราได้คิดแบบใหม่อย่างที่เราไม่เคยคิด หรือทำให้เรามีความรู้สึกบางแบบที่เราไม่เคยรู้สึกมาก่อน บางสิ่งบางอย่างที่ว่าอาจเป็นใครสักคน เหตุการณ์สักเหตุการณ์ หนังสือสักเล่ม เพลงสักเพลง และใช่ อาจเป็นหนังสักเรื่องที่เปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาล แต่ละคนจึงมี “หนังเปลี่ยนชีวิต” เป็นของตัวเอง UNLOCKMEN ชวนมาดูหนังเปลี่ยนชีวิตของพวกเรา เผื่อมันจะตรงกับหนังเปลี่ยนชีวิตของคุณ ทำให้คุณนึกถึงหนังเปลี่ยนชีวิตของตัวเองขึ้นมา หรือทำให้คุณจำได้ว่าชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังจากดูหนังเรื่องนั้นมันมีรายละเอียดชวนนึกถึงเพียงใด The Fault in Our Stars – KAENG (CONTENT CREATOR) เราทุกคนมีเงื่อนไขในชีวิตไม่เหมือนกัน The Fault in Our Stars เล่าเรื่องราวของหนึ่งหนุ่มหนึ่งสาวที่มีเงื่อนไขในชีวิตเป็นความเจ็บป่วยทางร่างกาย หนังไม่ได้พาเราไปฟูมฟายเศร้าสร้อยกับสาวน้อยเป็นโรค แต่หนังทำให้เห็นชีวิต เห็นความหวัง และพาคุณไปพบบทเรียนบางอย่างที่เราเชื่อว่าคุณจะต้องฉุกคิดถึงชีวิตตัวเองแน่นอน KAENG’S OPINION: “ชอบที่หนังสื่อเป็นนัยว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอน
ในโลกของวงการฮอลลีวูดทำให้เราได้เห็นภาพยนตร์และซีรีส์มากมายที่สร้างขึ้นจากชีวิตจริงของฆาตรโหด เช่น Mindhunter จาก Netflix หรือภาพยนตร์เรื่อง Once Upon a Time in Hollywood ที่ถือเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้ใครหลายคนจับตามองตั้งแต่เห็นรายชื่อนักแสดงและผู้กำกับ Quentin Tarantino กับการเล่าเรื่องราวสะเทือนขวัญของวงการฮอลลีวูดช่วงปี 1969 แต่ในวันนี้ UNLOCKMEN ไม่ได้มาพูดถึงตัวหนังและซีรีส์มากนักแต่จะเจาะลึกไปยังลัทธิประหลาดที่เกิดขึ้นจริงอย่าง Manson Family ที่สั่นประสาทไปทั่วลอสแองเจลิส จุดเริ่มต้นของ Manson Family “ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองปกติ และไม่เคยพยายามจะเป็นปกติ” เรื่องราวที่น่าเศร้าครั้งหนึ่งของวงการฮอลลีวูดเริ่มต้นขึ้นจากชายคนหนึ่งนามว่าชาร์ลส์ แมนสัน (Charles Milles Manson) เขาเป็นคนที่มีประวัติแย่ตั้งแต่วัยรุ่นจากการก่ออาชญากรรมเล็ก ๆ อย่างขโมยรถ ปลอมแปลงเช็ก ทำให้เข้าออกคุกอยู่บ่อยครั้งและเมื่อโตขึ้นเขาก็เข้าสู่กลุ่มแก๊งที่เรียกตัวเองว่าเป็น “พวกฮิปปี้” เคยเป็นศิลปินที่มีผลงานในลอสแองเจลลิส ก่อนจะกลายเป็นศาสดาแห่งลัทธิประหลาดที่เขาตั้งขึ้นมาเอง แมนสันเป็นชายที่มีความคิดแตกต่างจากคนทั่วไป เขามองว่าสักวันหนึ่งโลกจะต้องเกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างชาวผิวขาวและชาวผิวสี แถมยังคิดไปไกลอีกว่าหลังจากสงครามสิ้นสุดลงผู้ชนะคือพวกผิวสี แต่เพราะความโง่ของคนดำ (แมนสันว่ามาแบบนี้) ที่ทั้งเขลาและไร้ความสามารถจะทำให้ปกครองกันไม่ได้ เขาและกลุ่มคนในครอบครัวจึงจะขึ้นมาเป็นผู้นำพร้อมปกครองโลกให้น่าอยู่ไปตลอดกาล เมื่ออ่านแล้วหลายคนคงรู้สึกไม่ต่างกันว่าคนเพ้อเจ้อแบบแมนสันคงเป็นพวกเพี้ยน ๆ มีความคิดหัวรุนแรงและเสพยามากจนเกินไป แต่กลายเป็นว่ามีคนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าสิ่งที่แมนสันคิดอาจเป็นเรื่องจริงเข้าสักวันหนึ่ง และเมื่อคนที่คิดเหมือนกันได้มาพบเจอพวกเขาจึงรวมกลุ่มกันเป็นลัทธิโดยมีชาร์ลส์เป็นหัวหน้าพร้อมใช้ชื่อว่า Manson Family แมนสันเป็นชายถือว่ามีพรสวรรค์ด้านวาทศิลป์ไม่น้อย
ต้นปี 2019 ถือว่าเป็นช่วงที่ภาพยนตร์กลับมาคึกคักอีกครั้ง และมีหนังน่าสนใจมากมายทยอยออกมาให้ได้ชมกันอย่างต่อเนื่อง และตอนนี้ก็เดินทางมาถึงครึ่งปีแล้ว UNLOCKMEN จึงนำหนังที่ฉายช่วงครึ่งแรกของปี 2019 จำนวน 5 เรื่อง ซึ่งถูกจัดอยู่ในกลุ่มภาพยนตร์ยอดเยี่ยมช่วงครึ่งปีแรกมาให้ได้ดูกันว่ามีหนังเรื่องอะไรบ้างที่เราพลาดไป หรือว่าหนังเรื่องโปรดของเราจะติดอันดับหนังดีที่ควรดูหรือไม่ The Last Black Man in San Francisco The Last Black Man in San Francisco กับพล็อตหนังที่แสนเรียบง่ายตามแบบฉบับของหนังค่าย A24 เช่นเดียวกับเรื่อง High Life (2019) แต่กลับกวาดคำวิจารณ์ด้านบวกไปอย่างท่วมท้น กับเรื่องราวของหนุ่มผิวสีนามว่า Jimmy และเพื่อนสนิทที่ต้องต่อสู้กับเกี่ยวกับสิทธิที่เขาควรจะได้รับ เมื่อเขาต้องการบ้านที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองซึ่งเป็นของปู่ที่เสียไป แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือปู่ของ Jimmy คือชายผิวสีคนแรกในเมืองซานฟรานซิสโก ที่จะสะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคมอเมริกาสมัยก่อน นอกจากจะเห็นมุมมองที่แตกต่างกับปัจจุบันและเรื่องราวที่เต็มไปด้วยปัญหาเรื่องการเหยียดสีผิว เรื่องนี้ยังได้ผู้กำกับของเรื่องอย่าง Joe Talbot ที่เพิ่งคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมในเทศกาลหนัง Sundance Film Festival 2019 มาหมาด ๆ มาถ่ายทำอีกด้วย แถมยังได้คะแนนรีวิวจาก
ข่าวลือเกี่ยวกับการสร้างหนังฮีโร่ในช่วงนี้เรียกได้ว่ามีมาไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ว่าจะข่าวเรื่องการสร้าง Avengers 5 หรือข่าวเรื่องการรีบูทภาพยนตร์เรื่อง Fantastic Four ใหม่อีกครั้ง ซึ่งข่าวเหล่านี้ก็สร้างความตื่นเต้นให้กับคนดูอย่างเราได้ตลอด และล่าสุดนี้ก็เพิ่งมีอัปเดตที่น่าสนใจเกี่ยวกับเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ X-Men ว่าอีกนานพอดูเลยทีเดียวที่เราอาจจะมีโอกาสได้เห็นพวกเขาอีกครั้ง เหล่าแฟนภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ไม่ว่าจะค่ายหรือสังกัดไหนก็คงพอจะทราบกันอยู่แล้วว่าเหล่าซูเปอร์ฮีโร่กลุ่มมิวแทนต์อย่าง X-Men มาจากจักรวาลเดียวกันกับ Marvel ฉบับคอมิก แต่ด้วยเรื่องลิขสิทธิ์ยิบย่อยเพราะทีม X-Men และ Fantastic Four อยู่กับ 20th Century Fox ส่วนเหล่า Avengers ที่เราคุ้นตากันดีก็อยู่กับ Marvel ที่สังกัดภายใต้ Walt Disney ทำให้เหล่ายอดมนุษย์ต้องแยกกันอยู่คนละจักรวาลอย่างช่วยไม่ได้ แต่หลังจากที่เหล่ายอดมนุษย์ต้องแยกบ้านกันอยู่นานเกือบสองทศวรรษ Walt Disney ตัดสินใจครั้งใหญ่ที่จะสั่นสะเทือนโลกภาพยนตร์ด้วยการซื้อลิขสิทธิ์ของ 20th Century Fox (สามารถอ่านเกี่ยวกับดีลครั้งใหญ่นี้ได้ใน ปิดดีลอย่างเป็นทางการ DISNEY อ้าแขนรับสมาชิกใหม่จาก FOX ในราคา 7 พันล้านเหรียญ) เท่ากับว่ากลุ่มยอดมนุษย์ที่แยกกันอาจมีหนทางกลับมาเจอกันอีกครั้ง แฟนหนังตั้งตารอโอกาสที่ฮีโร่จาก Fox จะได้มาเจอกับทีม Avengers แต่กลับกลายเป็นว่าฝันที่คาดหวังไว้อาจจะต้องรอกันนานกว่าที่คิดจากเหตุผลเหล่านี้ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
แฟนหนังและแฟนการ์ตูนของ DC Comics คงทราบกันดีว่าหลังจาก Ben Affleck รับบทเป็น Batman คนล่าสุดมานานหลายปี ได้ประกาศถอนตัวออกจากการรับบทดังกล่าว ทำให้สื่อทั่วโลกรวมถึงแฟน ๆ ต่างจับตาดูพร้อมลุ้นว่าใครจะก้าวเข้ามารับบทซูเปอร์ฮีโร่ที่ว่างอยู่นี้ และคำตอบของคำถามที่ใครต่างสงสัยก็ได้เฉลยออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การปรากฏตัวครั้งล่าสุดของ Batman คือภาพยนตร์เรื่อง Justice League (2017) รับบทโดย Ben Affleck แต่หลังจากนั้นเจ้าตัวยืนกรานชัดเจนว่าจะไม่เป็น Batman อีกต่อไปพร้อมถอนตัวออกจากโปรเจกต์หนัง จึงทำให้ตำแหน่งฮีโร่แห่งรัตติกาลว่างอยู่ และทางค่ายก็เตรียมเฟ้นหาคนที่เหมาะสมเพื่อมารับช่วงต่อ แต่ไม่นานมานี้ความว่างเปล่าไร้บัลลังก์กว่า 2 ปี กลับมาสร้างกระแสครึกโครมอีกครั้ง จากข่าวล่าสุดที่อัปเดตผ่านเว็บไซต์ Variety เรื่องการมาถึงของฮีโร่มนุษย์ค้างคาวคนใหม่ที่จะมารับบท Bruce Wayne ใน Batman: The Caped Crusader แทนที่ Ben Affleck ว่าน่าจะเป็นนักแสดงตระกูลเดียวกันกับค้างคาวอย่างหนุ่ม Robert Pattinson พระเอกหนุ่มที่ผู้คนติดตากับบทบาทแวมไพร์สุดโรแมนซ์จากหนังแฟรนไชส์ The Twilight Saga หลังจากที่เว็บ Variety ลงข่าวว่า Pattinson คือ Batman คนใหม่
เมื่อพลิกปฏิทินอำลาแสงแดดแห่งฤดูร้อน ก็เตรียมรับมือกับละอองน้ำและความเปียกปอนของฤดูฝนกันได้เลย ความพยายามที่จะสาดแสงลงกระทบพื้นโลกของพระอาทิตย์ดูเหมือนจะไร้ผล เพราะกลุ่มเมฆฝนดำครึ้มกำลังเข้ามาแทนที่ เราเชื่อว่าฤดูฝนคงมาพร้อมกับความรู้สึกนับไม่ถ้วนที่ซัดกระหน่ำเข้ากลางอกซ้ายของผู้ชายหลาย ๆ คน แม้ฝนจะเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์จากธรรมชาติ แต่มันก็เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับความรู้สึกของคนเราอย่างบอกไม่ถูก จึงไม่แปลกถ้าสายฝนจะทำให้บางคนสดชื่นและสบายใจทุกครั้งที่เห็น และก็ไม่แปลกที่ฝนจะทำให้คนซึมซาบความเปลี่ยวเหงาและเศร้ายิ่งกว่าเดิม ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำ 5 ภาพยนตร์รักฤดูฝนจากญี่ปุ่น ที่เมื่อวนกลับมายังฤดูนี้ทีไร ก็ต้องหยิบหนังพวกนี้มาดูใหม่ทุกที MY RAINY DAYS (Tenshi no Koi), 2009 ภาพยนตร์รักโรแมนติกที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายในมือถืออันโด่งดังของญี่ปุ่น MY RAINY DAYS บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของเด็กสาวสุดป๊อปวัย 17 ในโรงเรียนที่หน้าตาสวนทางกับการกระทำ เธอใช้ชีวิตไปอย่างไร้จุดหมาย ขายตัว เป็นแม่เล้า และหลอกใช้เพื่อนเพื่อผลประโยชน์ของตน แต่แล้วสายฝนและโชคชะตาก็พาเธอมาพบกับอาจารย์หนุ่มวัย 35 ความรักทำให้เด็กสาวเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เธอเลิกทำตัวไร้ค่าและเห็นเป้าหมายในชีวิตมากขึ้น พวกเขาทั้งคู่ได้ใช้เวลาแห่งความสุขร่วมกันและแน่นอนว่าตกหลุมรักกันไปโดยปริยาย ไม่นานนักอาจารย์หนุ่มก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย จนเด็กสาวมารู้ทีหลังว่าเขาป่วยเป็นโรคมะเร็งสมอง และต้องลาจากโลกนี้ไปหากไม่ได้รับการผ่าตัด เด็กสาวพยายามโน้มน้าวให้เขาเข้ารับการรักษา แม้หนทางรอดจะมีเพียงน้อยนิด และแม้ต้องแลกมากับการที่เขาจะสูญเสียความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับตัวเธอไป ความหวัง ความรัก และปาฏิหาริย์ จะทำให้อาจารย์หนุ่มรอดจากการผ่าตัดได้หรือไม่ BE WITH YOU (Ima, Ai Ni Yukimasu), 2004 “ถ้าฉันตายไป
วนกลับมาอีกครั้งสำหรับงานเทศกาลภาพยนตร์สุดยิ่งใหญ่อย่าง Cannes Film Festival 2019 ที่ในปีนี้ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 72 แล้ว งานนี้เป็นแหล่งชุมนุมสำหรับเหล่าผู้ทำหนังอย่างแท้จริง ตั้งแต่นักแสดง ผู้กำกับ นักวิจารณ์หนัง นักธุรกิจในวงการภาพยนตร์ทั่วทุกมุมโลก แถมยังมีการแบ่งประเภทการชิงรางวัลไว้หลากหลายประเภท จึงทำให้เทศกาลหนังเมืองคานส์เป็นงานใหญ่แห่งปีที่ถูกจับตามองของผู้คน เป็นธรรมเนียมทุกปีสำหรับงานคานส์ที่จะมีหนังน่าสนใจหลายเรื่องโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางหนังนับพันที่ส่งเข้ามา เช่นเดียวกับในปีนี้ UNLOCKMEN จึงขอหยิบหนัง 5 เรื่องที่เป็นตัวเต็ง จากหลากประเภทในปีนี้มาแบ่งปันกัน ไม่ว่าจะเป็นดราม่า สยองขวัญ แฟนตาซี ไปจนถึงหนังอาร์ตเท่ ๆ The Dead Don’t Die ภาพยนตร์ที่ได้รับเลือกให้เป็นหนังเปิดงานของ Cannes 2019 คือเรื่อง The Dead Don’t Die จากผลงานของผู้กำกับมือเก๋า Jim Jarmusch ที่มีผลงานรางวัลก่อนหน้านี้ในปี 2005 จากเรื่อง Broken Flowers The Dead Don’t Die หนังแนวซอมบี้ที่ไม่เศร้าและหดหู่เพราะแทรกเรื่องราวขำขันให้อมยิ้มกันตลอดทั้งเรื่องกับเหตุการณ์ประหลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้น ณ เมืองเซ็นเตอร์วิลล์ที่เงียบสงบแต่จู่ ๆ
หลายต่อหลายครั้งที่เรามักเห็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดหยิบเรื่องราวสุดเท่ของซามูไรมาเล่าเป็นหนัง ไม่ว่าจะเป็น The Last Samurai (2003) หรือ 47 Ronin (2013) รวมถึงหนังที่มีสไตล์การต่อสู้ด้วยดาบซามูไรอย่าง Kill Bill (2003) ซึ่งเรื่องราวของตัวละครหลักส่วนมากมักดำเนินด้วยชาวตะวันตก แต่ในตอนนี้ค่ายหนังใหญ่เตรียมหยิบเรื่องราวของซามูไรผิวสีมามาสร้างความแตกต่างให้หนังซามูไรแบบเดิม Metro-Goldwyn-Mayer (MGM) ไฟเขียวให้กับภาพยนตร์แอคชันอิงประวัติศาสตร์ที่ดึงเรื่องราวสุดเท่ของขุนศึกซามูไรผิวสีชาวแอฟริกันคนแรกและคนเดียวในประวัติศาสตร์ช่วงศตวรรษที่ 16 มาสร้างเป็นหนัง ด้วยเรื่องราวที่ต้องฝ่าฝันทั้งการฝึกฝนและการตั้งคำถามของคนในสังคมช่วงเวลานั้น เพราะการเป็นซามูไรไม่ใช่แค่เดินไปจับดาบ หมั่นฝึกฝนและสามารถเป็นได้ทันที แต่คนส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นมองว่าซามูไรถือเป็นฐานันดรที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แล้วยิ่งทาสผิวสีที่เป็นชาวต่างชาตินั้นยิ่งยากเข้าไปใหญ่ และด้วยประเด็นต่าง ๆ จึงทำให้เกิดโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ขึ้น จุดเริ่มต้นของซามูไรผิวสีคนเดียวในประวัติศาสตร์ ในปี 1579 ทาสผิวสีชาว Mozambique นามว่า Yasuke ติดตามรับใช้นักบวชเยซูอิต Alessandro Valignano เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมายังเกาะญี่ปุ่นที่ห่างไกลเพื่อเผยแผ่ศาสนา แต่เกาะญี่ปุ่นในช่วงเวลานั้นยังไม่ค่อยมีคนเชื้อชาติอื่นเดินทางเข้ามา Yasuke ผู้มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าคนเอเชียและสีผิวที่แตกต่างทำให้ชาวบ้านไม่คุ้นชินและหวาดกลัวเขา เคยมีคนพบบันทึกบรรยายเกี่ยวกับ Yasuke ว่าเขาเป็นชายร่างกายกำยำสูงถึง 2 เมตร แต่จริง ๆ แล้วตามบันทึกของคณะบาทหลวงเขียนไว้ว่าเขาสูงราว 6 ฟุต หรือประมาณ 182 เซนติเมตร ไม่ได้สูงสองเมตรอย่างที่คนลือกัน
เราไม่ได้เห็นกระแสความนิยมภาพยนตร์ที่คนทั้งโลกต้องรีบแห่กันไปดูเหมือนกับ Avengers: Endgame มานานมากแล้ว จากที่ถามเพื่อนฝูงมาพบว่าช่วง debut ที่ผ่านในบ้านเรา ทุกโรงคนเต็มระดับตีหนึ่งก็เต็ม เช้ามาก็เต็ม ต้องไปดูในโรงหนังเด็กก็ยอม และโรงหนังหลายโรงก็เลือกฉายแต่ Avengers: Endgame แบบทุกโรงทุกรอบ อาจจะเป็นเพราะเนื้อหาที่กำลังเดินทางมาถึงจุด Climax ของจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล (Marvel Cinematic Universe) ที่ต้องลุ้นว่าใครจะอยู่ ใครจะไป ซึ่งก็ไม่แน่ว่าภาคต่อไป marvel จะได้กระแสตอบรับดีขนาดนี้หรือไม่สำหรับเนื้อเรื่องปกติ แต่นั่นคือเรื่องของอนาคต อย่างน้อยวันนี้ Disney ก็คงยิ้มแก้มปริกับซูเปอร์รายได้ที่ Avegners: Endgame ทำลายตัวเลขเงินเกือบทั้งกระดาน โดยใช้ระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ จากการเข้าฉาย Avengers: Endgame ราว 5 วัน ได้มีการเปิดเผยตัวเลข Box Office Highest-grossing openings weekend ซึ่งเป็นตัวเลขจากระยะเวลาเดบิวสัปดาห์แรกที่ภาพยนต์เข้าฉายไปได้มากถึง $1.2 billion USD worldwide (ราวสามหมื่นเก้าพันล้านบาท) ตัวเลขนี้มากจากช่วงเวลาที่ภาพยนตร์เข้าฉายวันศุกร์สำหรับตลาด North America (USA,
บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์เรื่อง Before Sunrise, Before Sunset, และ Before Midnight Jesse: “Oh, wow! Notre Dame…man, check that out!” Celine: Oh, wow! ข่าวเพลิงไหม้ของมหาวิหาร Notre Dame ในกรุงปารีส ทำให้เราหวนนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง Before Sunset ที่เกือบจะหลงลืมไปแล้ว เราไม่มีความผูกพันกับมหาวิหารแห่งนี้เลย ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์และประสบการณ์ ภาพยนตร์เรื่องจึงเปรียบเสมือนความเกี่ยวดองเดียวที่เรามีต่อ Notre Dame Cathedral ข่าวนี้ทำให้เราระลึกขึ้นได้ว่าเราเคยชอบภาพยนตร์เรื่องนี้มาก และไม่ใช่แค่ Before Sunset เท่านั้น เราหลงรักทุกเรื่องใน Before Trilogy ( Before Sunrise Before Sunset และ Before Midnight) ภาพยนตร์ทั้ง 3 เรื่องนี้มีส่วนอย่างมากที่ทำให้เราเป็นเราเช่นในปัจจุบัน ทั้งในแง่ความคิด มุมมอง และทัศนคติต่าง ๆ ภาพยนตร์ 3 เรื่องที่ใช้เวลาเพาะบ่มนานกว่า 18 ปี ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวที่