แม้ในหนึ่งวันเราจะใช้เวลาอยู่ที่ทำงานมากกว่าที่ห้อง แต่เชื่อว่าเมื่อกลับห้องไปหนุ่ม ๆ ส่วนใหญ่คงทิ้งตัวนอนแหมะอยู่บนเตียงและแทบไม่อยากก้าวขาออกนอกเขตฟูกเลยแม้แต่น้อย ก็ทำไงได้ล่ะ เตียงมันทั้งนุ่ม สบาย และกว้างขวางมากเสียจนมีพื้นที่ให้เราเกลือกกลิ้งเรือนร่างกำยำ พลิกไปพลิกมา และเปลี่ยนแปลงอิริยาบถได้แทบทุกท่าตามใจนึก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ‘เตียง’ ถึงตอบโจทย์ผู้ชายเราตั้งแต่กิจกรรมทางเพศไปจนถึงกิจกรรมยามว่าง ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและพัฒนาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยก็ยิ่งช่วยยกระดับและรังสรรค์นวัตกรรมเตียงให้มีอะไรมากกว่าแค่เป็นพื้นที่นอนเพื่อฆ่าเวลาแก้เบื่อ Fabio Vinella ดีไซเนอร์หนุ่มร่วมมือกับทีมสถาปนิกชาวอิตาลีออกแบบเตียง HIBED ของแบรนด์ Hi-Interiors ซึ่งเป็นเตียงที่มีแอปพลิเคชันเป็นของตัวเอง ผนวกเฟอร์นิเจอร์ในบ้านและอุปกรณ์อัจฉริยะเข้ากับชีวิตประจำวันของผู้ชายเรา ตัวโครงสร้างเตียงใช้โครงเหล็กพร้อมพื้นผิวไม้ให้ความรู้สึกอบอุ่น ดีไซน์เตียงคล้าย ๆ กระโจมแต่ปราศจากผ้าม่านบดบัง ส่วนบริเวณปลายเท้าติดตั้งหน้าจอโพรเจกเตอร์ 4K และลำโพงขนาด 70 นิ้วที่พับเก็บได้แบบไม่เกะกะ นอกจากอรรถรสที่ได้รับชมภาพยนตร์และซีรีส์เรื่องโปรด เตียง HIBED ยังมีความสามารถในการวิเคราะห์และติดตามรูปแบบการนอนหลับ เพื่อให้หนุ่ม ๆ มีตารางการนอนที่เหมาะสม ซึ่งพวกคุณสามารถตรวจสอบคะแนนการนอนได้ทุกเช้าที่ตื่น เตียงมีระบบ Biometric Parameters ที่พร้อมรายงานคุณภาพอากาศและตรวจวัดอุณหภูมิภายในห้องนอน ทั้งยังวิเคราะห์ระดับเสียงรบกวนหรือแม้แต่น้ำหนักตัวของผู้ใช้ได้อีกด้วย บริเวณหัวเตียงและฐานเตียงสอดแทรกชุดไฟ built-in เพื่อสร้างแสงสว่างในยามค่ำคืนและเอื้อประโยชน์ต่อหนุ่มหนอนหนังสือให้ท่องโลกตัวอักษรได้อย่างสะดวกสบาย เพิ่มระบบการเตือนอัจฉริยะที่จะคอยแจ้งข่าวสารและสภาพอากาศประจำวันให้กับผู้ใช้ เรียกได้ว่าเป็นเตียงนอนที่ครบครัน ทันสมัย และมีฟังก์ชันเจ๋ง ๆ เหมาะกับผู้ชายยุคใหม่อย่างเราเป็นที่สุด ‘HIBED’ ถือเป็นตัวการันตีว่าอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่ง ในรอบหลายศตวรรษของประวัติศาสตร์โดยได้แรงหนุนจากเทคโนโลยีการเชื่อมต่อและนวัตกรรมล้ำสมัยที่ช่วยให้ชีวิตของผู้ชายเราสะดวกสบายขึ้นกว่าเดิม
ในยุคที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียกำลังไปได้สวย และการสร้างสรรค์คอนเทนต์วิดีโอบน Youtube มาแรงอย่างตอนนี้ คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้ใช้กล้องพกพาที่ละเอียดคมชัด มีช่วงไดนามิกกว้าง และโดดเด่นทั้งการแสดงแสงที่สว่างหรือแม้แต่เงาที่มืดที่สุด BLACKMAGIC DESIGN บริษัทชั้นนำที่รังสรรค์นวัตกรรมกล้องเพื่อการสร้างภาพยนตร์ได้เปิดตัวกล้องรุ่นใหม่ ‘BLACKMAGIC POCKET CINEMA 6K’ ที่ดูเผิน ๆ แล้วงานดีไซน์แทบไม่แตกต่างอะไรจาก 4K รุ่นก่อนมากนัก แต่ตัวกล้องถูกอัปเกรดให้เอื้อประโยชน์ต่อนักสร้างสรรค์ภาพยนตร์มากยิ่งขึ้น และมันกลายเป็นกล้องคอมแพกต์ขนาดพกพาที่เหมาะที่สุดสำหรับถ่ายภาพยนตร์ในตอนนี้ ‘BLACKMAGIC POCKET CINEMA 6K’ เพิ่มเซนเซอร์ภาพ Super 35 HDR ขนาด 6144 x 3456 มอบคุณภาพการบันทึกภาพและวิดีโอในระดับดีเยี่ยม ทั้งตัวเซนเซอร์ยังดีไซน์มาเพื่อลดเสียงรบกวนอันเนื่องมาจากทำงานของตัวเครื่อง คอมแพกต์ตัวนี้มาพร้อม Dynamic Range 13 stops และช่วง ISO สูงถึง 25,600 ที่มีสัญญาณรบกวนต่ำในทุกสภาพแสง ทำให้กล้องสามารถถ่ายภาพและวิดีโอได้ดีแม้จะเจอสภาพแสงที่ท้าทาย แถมยังเก็บรายละเอียดบริเวณที่สว่างและมืดที่สุดของภาพได้อย่างมืออาชีพ กล้องยังรองรับการถ่ายภาพทั้งมุมกว้างและภาพระยะใกล้ มีเลนส์เมาท์ EF ที่เข้ากันได้กับเลนส์ของ Canon, Zeiss, Sigma และเลนส์ยอดนิยมจากค่ายอื่น
ร้อยทั้งร้อย คนทำงานต้องเคยกดซ่อนจอเวลางานตอนเจ้านายเดินผ่านสักครั้งในชีวิต ไม่ว่าด้วยเหตุผลร้อยแปด เช่น พักสายตา ติดซีรีส์ เปิดเฟซบุ๊ก แชทหญิง เล่นเกม ไปจนถึงดูหนังโป๊ แต่ส่วนใหญ่พอเข้าจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็มกำลังเพลินเรามักจะสลับจอไม่ทัน โดนจับได้ โดนบ่นให้เสียเส้นตลอด ระหว่างที่เราพยายามหาวิธีเอาชนะเรื่องนี้แบบเอาเป็นเอาตาย ฝึกคีย์ลัดกับตั้งสติสุด ๆ ให้ทุกประสาทสัมผัสเปิดรับความเคลื่อนไหวเจ้านายเสมอ จะได้กดเปลี่ยนจอทันเวลาเจ้านายเดินผ่าน เราก็ดันไปเจอของเจ๋ง ๆ ชิ้นนี้ที่ชื่อว่า “Daytripper” เข้า บอกจริง ๆ ว่าขอบคุณสวรรค์ ถึงจะมาช้าแต่ก็มาทันเวลาพอดี หน้าตาเขียว ๆ เหมือนแผงวงจรจิ๋ว ๆ อย่าประมาทความสามารถที่ซ่อนอยู่เป็นอันขาด เพราะเจ้า Daytripper มันคือเซนเซอร์ที่เกิดมาเพื่อพวกเราชาว Urban Men ทุกคนที่อยากใช้เวลา Private ระหว่างเวลางานโดยไม่ให้เจ้านายจับได้ จากส่วนประกอบและฟังก์ชันเหล่านี้ Daytripper ประกอบด้วยอุปกรณ์ 2 ชิ้นด้านใน คือเครื่องส่งสัญญาณ (TX) และเครื่องรับสัญญาณเซนเซอร์ (RX) วิธีการใช้ไม่ยากแค่เอา TX ไปวางจับสัญญาณความเคลื่อนไหวตรงจุดอันตรายที่เราคิดว่าเจ้านายกำลังจะเดินมาเพื่อเตือนเราล่วงหน้า ส่วนเจ้า RX เราเสียบไว้กับ
เห็นนวัตกรรมชิ้นนี้ปุ๊บ สิ่งแรกที่วิ่งเข้ามาในหัวเราทันทีคือโฆษณาฮอลคูลไปของลูกอมฮอลปี 2010 ที่ยังเป็นมีมมาจนถึงวันนี้ แต่เปลี่ยนจาก ‘ฮอลคูล’ ไปเป็น “ส่ง-ปลา-กู-ไป” แทน ใครที่เกิดไม่ทันให้หรือสงสัยว่ามันเกี่ยวกันยังไง ลองไปดูโฆษณาตัวนี้ก่อน เอาฮา ก่อนจะไปดูของจริงว่าอะไรที่ทำให้เราคิดถึงนวัตกรรมตัวนี้ ส่วนนี่คือพระเอกของเรา เจ้า Whooshh ปืนใหญ่ส่งปลาผ่านท่อ ชนิดที่ถึงปลายทางแล้วยังดิ้นดิ๊ก ๆ ลงไปว่ายน้ำต่อสบาย ๆ เหมือนยิงจรวด พรึ่บ! ไปถึงปลายทาง ดูจบเชื่อว่าเพลินมาก แต่ไอ้ที่มาพร้อมความเพลินแบบนี้คือความสงสัยว่า เฮ้ย! ทำไมคนเราถึงจะต้องทำ Hyperloop ไว้ส่งปลาแซลมอนบินผ่านหัว ทุ่มทุนสร้างขนาดนั้น มันคุ้มกันไหมเนี่ย ดังนั้น เราเลยเจาะไปถึงจุดตั้งต้นเลยว่า ไอ้นวัตกรรมชิ้นนี้เขามีไว้ทำไม จะขายได้ไหม แล้วดีแค่ไหนกันแน่ มาดูความเจ๋งของมันไปพร้อมกัน ไอเดียส่งปลา เริ่มต้นจากสวนส้ม ถึงจะดูประมงจ๋าขนาดไหน แต่ความจริงจุดเริ่มต้นของ Whooshh ได้ไอเดียตั้งต้นมาจากภาคเกษตรกรรมของรัฐวอชิงตัน เมื่อ 8 ปีที่แล้วระหว่างการทดสอบเก็บเกี่ยวผลผลิตภาคสนาม Vincent Bryan III ซีอีโอของ Whooshh สังเกตเห็นการขนปลาแซลมอนข้ามเขื่อนด้วยการนำมันใส่ถังขนาดใหญ่ด้วยเฮลิคอปเตอร์บนท้องฟ้า
สำหรับไลฟ์สไตล์เร่งรีบ โลดโผน และแฝงไปด้วยอันตรายของผู้ชายเรา บางครั้งก็ต้องเลือกใช้เครื่องมือ EDC ที่มีศักยภาพสูงและตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันด้วย วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากพาหนุ่ม ๆ ไปรู้จักกับมีดพก SEAL XR ของ SOG ที่ทั้งหล่อ เท่ ง่ายต่อการพกพา และเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพจากวัสดุสุดแกร่ง ตัวมีดดีไซน์เป็นสีดำเทาให้ความรู้สึกเท่ แต่ก็ซ่อนความก้าวร้าวรุนแรงจากบอดี้ผิวขรุขระ ด้ามจับ GRN ทำจากวัสดุไนลอนเสริมใยแก้วจึงทนทานเป็นพิเศษ แถมออกแบบช่องนิ้วมาเพื่อให้รับกันกับขนาดมือผู้ชาย แม้มีดพก SOG SEAL XR จะถูกดีไซน์มาให้กะทัดรัด แต่ก็ไม่เล็กจนจิ๋วเกินไป เพราะผ่านการทดสอบและปรับปรุงรูปร่างให้เหมาะสมกับผู้ใช้มืออาชีพ เพื่อให้หนุ่ม ๆ ถือครองและใช้งานได้อย่างถนัดมือ เสริมความคมอีกขั้นด้วยใบมีดเหล็กกล้า CPM-S35VN ที่ผลิตจากอเมริกาขนาด 3.9 นิ้ว ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ามีด EDC รุ่นดั้งเดิม ความยาวโดยรวมของมีดอยู่ที่ 9.2 นิ้ว และน้ำหนัก 8.2 ออนซ์ ช่วยให้มีดเล่มนี้สะดวกสบายต่อการพกพาเป็นที่สุด นอกจากมีดจะต้านทานต่อการกัดกร่อนในระดับสูงและเกิดสนิมได้ยากแล้ว เพื่อให้แน่ใจว่ามีดเล่มนี้จะใช้งานได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวและทันต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน จึงเพิ่มกลไก flipper
ผู้ชายทุกคนล้วนมี Golden Moments หรือช่วงเวลาสุดยิ่งใหญ่ที่น่าจดจำและมีความหมายต่อหัวใจของเรา แต่ถ้าต้องพูดถึง Golden Moments แห่งมวลมนุษยชาติที่หวนรำลึกกลับไปครั้งใดก็สัมผัสได้ถึงประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ เราทุกคนล้วนนึกถึง “ภารกิจพิชิตดวงจันทร์” จาก Golden Moments ของวันนั้นสู่วันนี้ ครบรอบ 50 ปีแล้วตั้งแต่นักบินอวกาศประทับรอยเท้าแรกลงบนดวงจันทร์จนพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์อย่างสิ้นเชิง ในช่วงเวลาครบรอบเหตุการณ์สำคัญที่สุดของมวลมนุษยชาติ โอเมก้า (OMEGA) สุดยอดแบรนด์นาฬิกาหรูระดับโลกสัญชาติสวิสจึงฉลองด้วยจักรกลเวลา โอเมก้า สปีดมาสเตอร์ (OMEGA Speedmaster) รุ่นใหม่ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของนักบินอวกาศ ภารกิจอพอลโล 11 (Apollo 11) และ Golden Moments แห่งประวัติศาสตร์สุดพิเศษได้อย่างสมบูรณ์แบบ หากย้อนกลับไปยังเดือนพฤศจิกายนปี 1969 นับเป็นเวลา 4 เดือนหลังจากที่ Apollo 11 ลงจอดบนดวงจันทร์ เรือนเวลา OMEGA Speedmaster รุ่นพิเศษก็ออกวางจำหน่ายเพื่อร่วมเฉลิมฉลองความสำเร็จของภารกิจพิชิตดวงจันทร์โดยเป็น Speedmaster รุ่นแรกของแบรนด์ซึ่งผลิตระหว่างปี 1969 – 1973 Speedmaster รุ่นแรกของแบรนด์นี้มีเพียงแค่ 1,014 เรือนเท่านั้น แต่ละเรือนยังมีหมายเลขประจำเรือนอีกด้วย โดยนาฬิกาหมายเลข 3 –
ดูเหมือนว่าศึกกล้องคอมแพกต์ระหว่าง SONY และ CANON จะไม่จบลงง่าย ๆ เมื่อ CANON ปล่อย POWERSHOT G7 X MARK III ลงสนามคอมแพกต์ ฝั่ง SONY ก็ขอท้าชนด้วย ‘SONY RX100 VII’ ที่สเปกใกล้เคียงกัน แต่มาพร้อมเลนส์กว้างและ auto focus ระดับเทพ แถมถอดแบบความเจ๋งมาจากกล้อง A9 ในตำนานจากค่าย SONY อีกด้วย SONY RX100 VII ใช้เลนส์ซูม ZEISS Vario-Sonnar T* กำลังขยาย 24-200 มิลลิเมตร และรูรับแสง F/2.8-4.5 บวกกับ Auto Focus ที่ตรวจจับระนาบโฟกัสได้มากถึง 357 จุด และตรวจจับคอนทราสต์สูงสุด 425 จุด ครอบคลุมพื้นที่ 68% ของเฟรม
แม้จะทราบดีว่าพระอาทิตย์เป็นต้นตอของการเกิดแสง และ ‘แสงแดด’ นั้นจำเป็นไม่น้อยต่อมวลมนุษย์ แต่บ่อยครั้งก็อดโกรธเคืองพระอาทิตย์ไม่ได้ เพราะพี่แกเล่นสาดแสงแรงจ้าพุ่งทะยานมายังพื้นโลกแบบไม่เกรงใจใคร แล้วเมื่อใดที่ความร้อนดุจนรกที่ว่าส่องมากลางกระบาลผู้ชาย บวกกับอัตราการเผาผลาญที่ล้ำนำผู้หญิง พานเอาเรารุ่มร้อนตั้งแต่กายไปยันหัว และรู้สึกหงุดหงิดโคตร ๆ กับสภาพอากาศที่ไม่เคยปรานีมนุษย์ตาดำ ๆ อย่างเราเลย แม้กระนั้นก็ยังต้องหอบสังขารไปทำงานและเบียดเสียดกับผู้คนบนรถไฟฟ้าท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้ทุกวัน เมื่อดูท่าว่าโลกจะไม่หยุดร้อนลงง่าย ๆ SONY จึงเปิดตัว ‘REON POCKET’ นวัตกรรมเครื่องปรับอากาศแบบพกพาที่ช่วยทุเลาความร้อนและทำให้หนุ่ม ๆ รู้สึกเย็นสบายขึ้นมาทันควัน ตัวเครื่องค่อนข้างกะทัดรัดและมีรูปลักษณ์คล้าย ๆ กับ apple mouse แต่มีน้ำหนักเพียง 3 ออนซ์ หรือ 85 กรัมเท่านั้น อุปกรณ์ปรับอากาศ REON POCKET มาพร้อมเสื้อกล้ามแบบพิเศษที่คัตติ้งช่องเล็ก ๆ บริเวณฐานคอเสื้อ เพื่อให้ผู้ใช้ใส่เครื่องปรับอากาศจิ๋วลงในนั้น เครื่องจะเปิดระบบระบายความร้อนด้วยเทอร์โมอิเล็กทริกและ Peltier Effect สร้างความแตกต่างทางอุณหภูมิโดยการถ่ายโอนความร้อนของวัตถุสองชนิดด้วยกระแสไฟฟ้า ซึ่งกระแสไฟฟ้าขนาดเล็กที่ซ่อนอยู่ภายในจะดูดซับหรือปล่อยความร้อนออกมา ไม่เพียงแต่ลดอุณหภูมิด้านในของเสื้อ หากยังกลายเป็นฮีตเตอร์ที่เพิ่มความอบอุ่นได้อีกด้วย REON POCKET จะทำให้อุณหภูมิร่างกายของผู้ใช้เย็นลงได้มากถึง 13 องศาเซลเซียส หรือประมาณ
เราเคยขอบคุณที่โลกให้กำเนิด Air Pod ขึ้นมา เพราะรู้ดีว่าตอนม้วนเก็บสายหูฟังแล้วพันกัน หรือตอนใช้งานแล้วลุกไปไหนโดยไม่ได้หยิบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต้นทางไปด้วย สายที่เกี่ยวดึงเราไว้ มันน่าหงุดหงิดขนาดไหน ทว่าเอาเข้าจริงพอมาใช้งาน Air Pod ก็ดันมาเจอปัญหาอีกอย่างคือเรื่องแพ็กเกจที่หน้าตาเหมือนที่เก็บไหมขัดฟัน เพราะนอกจากมันจะไม่เท่แล้ว ยังเทอะทะเวลาหยิบเข้า-ออก แต่จะไม่ใช้ก็ไม่ได้เพราะมันเป็นทั้งที่ชาร์จและที่เก็บเพื่อกัน Air Pod ข้างใดข้างหนึ่งหล่นหาย ปัญหานี้ Apple ไม่ได้แก้! แต่มี AXS บริษัทเทคโนโลยีจากบรุกลินลุกมาพัฒนา “Power1” เคสแบตเตอรี่อัจฉริยะดีไซน์สวยงามที่เก็บ Air Pod ได้อย่างประหยัดพื้นที่ น่าใช้ และที่สำคัญฟังก์ชันการชาร์จก็ยังอยู่ครบครัน เลือกชาร์จได้ระหว่างหูฟังกับสมาร์ทโฟน หรือชาร์จพร้อมกันก็ได้! ด้วยคุณสมบัติที่ไม่ไก่กาเลยจริง ๆ ดังต่อไปนี้ ดีไซน์ ที่เก็บ Air pod ตามปกติจะแยกชิ้นกับมือถือชัดเจน โอกาสที่จะทำหายจึงสูง แถมค่อนข้างเกะกะ ใช้งานจริงไม่สะดวก แต่เคสชิ้นนี้สร้างที่เก็บสำหรับเสียบไว้ที่มุมเคสทำให้ไม่สะดุดเวลาหยิบใช้งาน ที่สำคัญยังมีระบบแม่เหล็กและที่ปิดล็อกใส จึงมองเห็นได้ทันทีจากด้านนอก ไม่มีลืม ไม่มีหล่น ซึ่งช่องที่เราใช้เก็บ Air Pod นี้ยังทำหน้าที่แท่นชาร์จหูฟังให้เราได้อีกด้วย แบตเตอรี่
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ชายอย่างเรา ๆ จะมีพื้นที่ส่วนตัวอย่าง Man Cave เอาไว้ผ่อนคลายจากภารกิจทั้งหลายที่ต้องรับมือในแต่ละวัน ซึ่ง Man Cave นั้นสามารถเป็นได้ทั้งห้องสำหรับนั่งอ่านหนังสือชิลล์ ๆ หรือเป็นได้แม้กระทั่ง Private Club รองรับปาร์ตี้ขนาดย่อม รวมถึงการเป็น Entertainment Room ที่ยกโขยงเอาทุกความบันเทิงมากองไว้พร้อมสรรพ ด้วยเหตุนี้ภาพไอเท็มคุ้นตาที่มองหาได้จาก Man Cave ส่วนใหญ่ คงหนีไม่พ้นโซฟาดูดวิญญาณ, เก้าอี้อ่านหนังสือ, ทีวีจอใหญ่, เกมคอนโซล, โต๊ะพูล, ตู้แช่เครื่องดื่ม, กระดานปาเป้า ฯลฯ ซึ่งอาจจะแตกต่างไปบ้างสุดแล้วแต่พื้นที่ที่รองรับ และ ไลฟ์สไตล์ที่ต่างกันของแต่ละคน แต่คงต้องยกเว้นไว้หนึ่งไอเท็มที่จะขาดไปไม่ได้ นั่นคือเครื่องเสียงดี ๆ สักชุด เพราะไม่ว่าจะเล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง หรือเข้าโหมดปาร์ตี้ แน่นอนว่าเครื่องเสียงดี ๆ จะช่วยยกระดับประสบการณ์ความบันเทิงที่เรากำลังเสพให้ถึงอารมณ์สมจริงยิ่งขึ้น ถือเป็นสิ่งเติมเต็มที่ Man Cave Must Have อย่างแท้ทรู และ TOYS for BOYS