Canon เปิดตัวกล้องรุ่นใหม่ล่าสุดในชื่อ EOS R5 C กล้อง Full-frame ตัวแรกของค่ายที่สามารถถ่ายวีดีโอได้ถึงระดับ 8K, 60fps RAW กล้องสำหรับมืออาชีพที่สเปกจัดเต็ม ราคาก็จัดเต็มไม่แพ้กัน Canon EOS R5 C เป็นกล้องที่ถูกออกแบบมาสำหรับตากล้องและ filmmakers มืออาชีพ หรือมือสมัครเล่นที่มีกำลังทรัพย์และต้องการอุปกรณ์ที่ดีที่สุด เฉพาะบอดี้อย่างเดียวราคาในต่างประเทศเริ่มต้นที่ $4,500 USD (ราว 150,000 บาท) ราคารวมเลนส์ 24-105mm อยู่ที่ $5,600 USD (ราว 185,000 บาท) แม้ราคาจะแรง แต่คุณสมบัติก็เรียกว่าแพงไม่แพ้กัน จัดเต็มให้แบบคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ จุดเด่นเริ่มจาก full-frame sensor ความละเอียด 45-megapixel พร้อม DIGIC X processor ให้ภาพวีดีโอที่ละเอียดถึงระดับ 8K RAW ที่ 60 frames per second
บางครั้งโลกภายนอกมันก็ช่างวุ่นวาย จนบางครั้งก็อยากจะย้ายตัวเองเข้าไปสู่โลกส่วนตัว ซึ่งแน่นอนว่าเราสามารถเดินทางไปยังโลกใบนั้นได้ง่าย ๆ ได้โดยการใช้ “หูฟัง” ใช่แล้วครับเรื่องง่าย ๆ ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีกับการเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนหรือ iPod แค่นี้เราก็สามารถมูฟเข้าไปอยู่ในโซนส่วนตัวของเราได้แล้ว เราสามารถดำดิ่งไปกับเพลงที่ชอบ, พอดคาสต์ที่โปรดปราน, ดูซีรีส์หรือภาพยนตร์เรื่องเด็ด สุดแล้วแต่ความชอบของแต่ละคน และหากคุณตรงกับสิ่งที่เราเกริ่นมา เราขอแนะนำให้รู้จักกับหูฟังไร้สาย “Beats Fit Pro” เจ้าหูฟังไร้สายตัวใหม่ของ Beats เป็นแบบ In-Ears ถูกผลิตมาเพื่อเอาใจคนโลกส่วนตัวสูงโดยเฉพาะ เพราะมันถูกติดตั้งด้วยเทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนแบบแอคทีฟ (ANC) ที่ทำงานแบบเรียลไทม์ มันจะคอยสกัดกั้นเสียงภายนอกอันไม่พึงประสงค์ออกไปจากโสตประสาทของเรา แต่ถ้าคุณมีความกังวลว่าจะไม่ได้ยินเสียงทักทายหรือเสียงเตือนอะไรบางอย่างจากภายนอก คุณก็แค่เลือกเปลี่ยนไปใช้โหมด “ฟังเสียง” เพื่อตอบสนองจังหวะการฟังได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ส่วนเรื่องคุณภาพเสียงของ Beats Fit Pro ก็ไว้ใจได้ เพราะตัว “ไดรเวอร์ไดอะแฟรม” แบบแยกชั้นมันจะคอยจัดการแยกเสียงให้ฟังแบบสเตอริโอ ให้คุณได้ฟังเสียงได้อย่างชัดเจน พร้อมด้วยโปรเซสเซอร์ดิจิตัลสุดเหนือชั้นที่คอยช่วยปรับสมดุลความดังและความชัดให้มีความลงตัว ความน่าสนใจของ Beats Fit Pro อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือระบบรองรับเสียงตามการเคลื่อนไหวของศีรษะแบบไดนามิกที่ใช้ Gyroscope มาเป็นตัวช่วย เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่หลากหลายในการฟัง ในเรื่องการสวมใส่ก็ตอบโจทย์ความสบายของหู เริ่มตั้งแต่ที่เกี่ยวมีลักษณะโค้งมนรองรับกับสรีสระของใบหูแบบพอดิบพอดี
หากพูดถึง Playstation ของค่าย Sony แน่นอนว่าหลาย ๆ คนคงคิดถึงความสนุกและความเอนจอยกับเกมที่โปรดปราน ที่มอบความสุขให้กับเราตั้งแต่วัยเด็กจนมาถึงปัจจุบัน ไล่ตั้งแต่ Playstation 1 ในยุค 90’s จนล่าสุดมันได้พัฒนาเทคโนโลยีมาเป็น Playstation 5 เป็นที่เรียบร้อย แต่ความสนุกทั้งหมดทั้งมวลมันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากปราศจาก “จอยควบคุม” ที่เปรียบดั่งไม้กายสิทธิ์ทำให้เราสามารถควบคุมความบันเทิงได้ด้วยมือของเราเอง และมันก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่อยู่คู่กับเครื่อง Playstation แบบที่แยกออกจากกันไม่ได้ ความหลงใหลในเครื่องเล่นเกมตัวนี้มันได้กระจายไปทั่วโลก เข้าซึมแทรกทุกวัยและทุกอาชีพ ไม่เว้นแม้แต่ Daniel Arsham ซึ่งเป็น Contemporary Visual Artist (ศิลปินทัศนศิลป์ร่วมสมัย) ชาวอเมริกัน ผู้ฝากผลงานประติมากรรมเอาไว้มากมาย โดยเฉพาะการใช้คริสตัลมารังสรรค์ผลงานศิลปะให้ออกมาเป็นกล้อง, หมวก หรือแม้กระทั่งเกมบอย และล่าสุดเขาก็ได้ทำให้เหล่าเกมเมอร์ต้องร้องว้าว กับงานปั้นจอยเกม Playstation ในแบบคริสตัลที่ทั้งสวยงามและดูทรงคุณค่า ผลงานชิ้นนี้มีชื่อเรียกว่า “Crystal Relic 004″ ที่ถูกหล่อขึ้นมาจากเรซิ่นให้ลักษณะโปร่งแสงแบบคริสตัล มีขนาดเท่าของจริงแบบไม่ผิดเพี้ยน มีความสูง 55 มม. กว้าง 95 มม. และหนัก
Leica แบรนด์กล้องระดับโลก ตำนานการบันทึกความทรงจำดุจมีชีวิต สร้างปรากฏการณ์ตั้งต้นปี ส่งกล้องรุ่นใหม่ล่าสุดในตระกูล Leica M อย่าง “Leica M11” (ไลก้า เอ็ม 11) มาปลุกเร้าเหล่าผู้รักการถ่ายภาพ ด้วยสเปกกล้องสุดล้ำ เติมเต็มศักยภาพความคมชัด สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับการถ่ายภาพดิจิทัล ในราคาเฉพาะบอดี้ 303,800 บาท Leica M11 โดดเด่นด้วยเซ็นเซอร์ BSI CMOS แบบฟูลเฟรมที่มาพร้อมเทคโนโลยี Triple Resolution ทำให้กล้องรุ่นนี้สามารถบันทึกไฟล์ภาพในรูปแบบ DNG และ JPEG ได้ที่ความละเอียด 60, 36 หรือ 18 ล้านพิกเซล โดยใช้เซ็นเซอร์เต็มพื้นที่ตลอดเวลา ตัวเลือกความละเอียดที่ 60 ล้านพิกเซลให้คุณภาพของภาพในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน และเก็บบันทึกรายละเอียดได้อย่างครบถ้วนโดยใช้ประโยชน์สูงสุดจากระบบออปติกของเลนส์ APO ล่าสุดจาก Leica สำหรับ M-System และหากเลือกความละเอียดที่ต่ำลงมา กล้องจะสามารถทำงานได้เร็วขึ้น ถ่ายภาพรัวต่อเนื่องได้นานขึ้น และทำให้ไฟล์มีขนาดเล็กลง ช่วงความไวแสงตั้งแต่ ISO 64
คุณยังจำวัยเด็กได้ไหม เมื่อไหร่ที่ถึงวันคริสต์มาสทุกคนต่างต้องตั้งหน้าตั้งตาคอยที่จะได้เจอลุงหนวดใจดีนามว่า “ซานต้าคลอส” ที่จะขี่กวางเรนเดียร์มาแจกของขวัญ แต่จนแล้วจนรอดจนเติบโตมาก็ยังไม่เคยได้เจอลุงซานต้าซักทียกเว้นในภาพยนตร์ ก็แหงแหละครับเพราะเรื่องราวมันคือนิยายที่ถูกแต่งขึ้นมา แต่ความรู้สึกที่สูญเสียไปอาจจะพอทดแทนและเติมเต็มจินตนาการได้พอสมควรกับ “Flying Santa Drone” โดรนรุ่นนี้ถูกส่งมาเพื่อเกาะกระแสเทศกาลคริสต์มาสโดยเฉพาะ มันมาพร้อมกับดีไซน์หุ่นซานตาคลอสเสื้อสีแดงสดใสกับกวางเรนเดียร์คู่ใจ 4 ตัว ที่พร้อมควบทะยานโบยบินจากภาคพื้นดินขึ้นสู่อากาศด้วยใบพัดแบบเฮลิคอปเตอร์ 3 ใบ ที่แบ่งการวางไว้กราบซ้ายและกราบขวาอย่างละ 1 ใบ และบริเวณด้านหน้าอีก 1 ใบ แถมยังเพิ่มความพิเศษด้วยการติดตั้งกันชนที่จะช่วยลดความเสียหายจากการเชี่ยวชนได้ไม่น้อย และถึงแม้ใบพัดจะพังก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะมีใบพัดสำรองแถมมาให้เผื่อต้องเปลี่ยนอีกด้วย ในส่วนของตัวรีโมตควบคุมบอกเลยว่าอีซี่มาก ๆ เพราะมันก็คล้าย ๆ กับรีโมตที่มีตามท้องตลาดทั่ว ๆ ไป สำหรับคนที่เล่นโดรนอยู่แล้วก็ไม่ต้องไปเสียเวลาทำความเข้าใจอะไรมาก และมันก็ไม่ได้ใช้งานยากจนเกินไปสำหรับมือใหม่หัดบิน นอกจากนั้นแล้ว “Flying Santa Drone” ยังเติมพลังด้วยถ่าน AAA จำนวน 3 ก้อนที่หาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่ว ๆ ไป อย่างไรก็ตามอย่าคาดหวังความเหนือชั้นของ Flying Santa Drone เพราะมันไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งาน ปราศจากฟังก์ชั่นการถ่ายรูปหรือถ่ายวิดีโออย่างที่เราคุ้นเคย ให้เข้าใจว่ามันคือของเล่นที่จะช่วยสร้างความสุขเติมเต็มความสนุกในปาร์ตี้วันคริสต์มาสของคุณให้มีสีสันกว่าที่เคยเป็น ส่วนใครที่คิดจะเอาโดรนซานตามาแจกของขวัญ แนะนำให้ว่าอย่าดีกว่าลืมเสียดีกว่า เพราะมันอาจจะทำให้เจ้าซานตาและเหล่ากวางเรนเดียร์ล่วงลงกระแทกพื้นจนเกิดความเสียหายได้
เด็กผู้ชายส่วนใหญ่คงเติบโตมาด้วยของเล่นหุ่นยนต์อย่างน้อยหนึ่งตัวหรือมากกว่านั้น จากจินตนาการในวัยเยาว์หุ่นยนต์เหล่านี้มีหน้าที่เป็นมิตรแท้ เป็นผู้คอยปกป้องปราบปรามศัตรูร้าย หรือเพื่อนที่นอนในอ้อมแขนยามเราหลับไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน ภาพจำเหล่านี้ยังคงมีพลังบวกและสามารถสร้างรอยยิ้มให้เราได้ทุกครั้งยามนึกถึง ตั้งแต่อดีต นาฬิกาส่วนใหญ่ถูกออกแบบในแนวทางอนุรักษ์นิยม ด้วยรูปลักษณ์ในแบบฉบับที่ค่อนข้างจำเจ และน่าเบื่อไปหน่อย(สำหรับบางคน) ด้วยหัวคิดที่ขบถและความหลงใหลส่วนตัว Azimuth เลือกที่จะนำภาพจำในอดีตมาถ่ายทอดและส่งต่อผ่านทางนาฬิกาข้อมือ และประถมบทของความคิดนี้ก็ถูกประเดิมด้วย Azimuth Mr.Roboto R1, 2008 ที่สวนกระแสตลาดอย่างคาดไม่ถึง เปลี่ยนแปลงความหรูหราที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือบ่งบอกฐานะทางสังคม ให้กลายเป็นความสุขในอดีตที่อยู่บนข้อมือ ทำให้นาฬิกาใบหน้าหุ่นยนต์เรือนนี้เป็นกระแสและได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีมาตลอดแปดปี จนมาถึงเวอร์ชั่นถัดไป Azimuth Mr.Roboto R2 ที่แฟนซีมากขึ้น ขนาดใหญ่ขึ้น ฝาหลังแซฟไฟร์โชว์กลไก เพิ่มรายละเอียดอีกหลายอย่างเรียกได้ว่าฟูลออปชั่น แต่ความแฟนซีและฟูลออปชั่นแบบนี้ใช่ว่าจะเป็นที่รักของทุกคน แฟนบอยและนักสะสมมากมายกลับถวิลหาความเรียบง่ายแต่มีอะไรซ่อนอยู่แบบ Mr.Roboto R1 ทำให้เกิดการแสวงหามากมายจนทำให้ราคาในตลาดมือสองขยับขึ้นไป 2-3 เท่า จากราคาเดิม ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่ได้พบเจอบ่อย ๆ กับแบรนด์ indie และ newbie แบบนี้ ด้วยการตอบรับและการเรียกร้องจากลูกค้าที่อยากได้รุ่นพิเศษบ้าง Azimuth จึงตัดสินใจเข็น Mr. Roboto Bronzo ออกมา สิ่งที่พิเศษคือการนำ Bronze คุณภาพสูงจาก Germany
“เธอกลับมา…เพื่อหมุนเข็มนาฬิกาให้เดินกลับหลัง” เนื้อเพลงจากเพลงดังในอดีตที่ไม่แน่ใจว่าได้ฟังครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่บทเพลงนี้จะดังก้องในหัวทุกครั้งที่ได้เห็น Azimuth Back In Time นาฬิกาจากแบรนด์ Azimuth รุ่น Back In Time หรือเรียกได้อย่างสั้นๆว่า BIT เป็นเรือนเวลาที่มีกลไกอันซับซ้อนและเรียกร้องความสนใจจากผู้พบเห็นได้ดีเหลือเกิน ทำไมนะเหรอ? ก็เพราะนาฬิการุ่นนี้เธอเดินถอยหลังนั่นเอง (anti clockwise) และไม่ได้มีแค่กลไกบอกเวลาแบบทวนเข็มนาฬิกาเท่านั้น ตำแหน่งของตัวเลขบอกเวลาก็ยังถูกวางในรูปแบบทวนเข็มนาฬิกาและกลับตาลปัตรจากจารีตเดิม ๆ เช่นกัน Azimuth BIT ได้รับการเปิดตัวครั้งแรกในปีค.ศ. 2009 มีทั้งเวอร์ชันเข็มเดี่ยวและสองเข็ม ด้วยรูปทรงไพลอตและหน้าตาอันแสนจะเรียบง่าย สีหน้าปัดและเข็มบอกเวลาที่ได้รับการคุมโทนมาอย่างตั้งใจ ไม่มีสิ่งใดโดดเด่นเกินเลยหรือแปลกแยกผิดแผกไปจากกัน หากมองทะลุความเรียบง่ายเหล่านี้ไปและพินิจพิจารณาไปที่กลไกบอกเวลา จะรับรู้ได้อย่างไม่ยากเลยว่าผู้ผลิตไม่ได้ปฏิวัติแค่ความคิด แต่ต้องปฏิวัติเทคนิคในการสร้างกลไกสำหรับบอกเวลาด้วยเช่นกัน เพราะทุกอย่างถูกตั้งอยู่บนความขบถ ผู้ผลิตจึงต้องออกแบบและสร้างชุดเกียร์พิเศษขึ้นมาใหม่ นำไปติดตั้งคั่นกลางระหว่างชุดขับเคลื่อนและเข็มบอกเวลาจึงจะทำให้การเดินถอยหลังนั้นเกิดขึ้นได้จริงและสมบูรณ์แบบที่สุด ตลอดระยะร่วมทศวรรษที่ Azimuth Back In Time ได้รับการพัฒนาและนำเสนอซีรี่ย์ใหม่ ๆ เรื่อยมา แม้จะมีคำวิพากษ์วิจารณ์ว่าใช้งานได้ยาก ดูเวลาได้ไม่สะดวก ใครจะต้องการนาฬิกาเดินถอยหลังกันไปเพื่ออะไร แต่ BIT ก็ยังคงได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในไอคอนของแบรนด์ จนได้รับการสั่งผลิตรุ่นลิมิเต็ดและถูกผูกโยงไปกับหน้าบันทึกของประวัติศาสตร์โลกอย่างเนือง ๆ ซึ่งหาได้ยากจากนาฬิกาทั่วไป
Xbox ฉลองครบรอบ 20 ปีอย่างมีสไตล์จนชาว PS5 ต้องอิจฉาแน่นอน หลังจับมือกับ adidas เปิดตัวรองเท้า adidas Forum Mid “Xbox 360” limited edition ไปก่อนหน้านี้ ล่าสุดเป็นสุดยอดไอเดีย ด้วยการจับมือกับ Gucci เปิดตัว console ดีไซน์สุดพิเศษที่มีการใช้เลเซอร์สลักโลโก้ GG monogram ของ Gucci ลงไปบนตัวเครื่อง พร้อม Xbox Wireless Controllers ที่มีแถบสีแดงฟ้าคาดกลางเพิ่มความเท่ และที่พิเศษสุดน่าจะเป็นกระเป๋า Gucci Hard Carry case ที่สวยงามมาก ภายนอกเป็นลาย monogram สุดคลาสสิค หุ้มด้วยหนังสีเหลืองบริเวณหูหิ้วและขอบกระเป๋า ภายในเป็นช่องใส่อุปกรณ์ของ Xbox ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ จึงใส่ได้พอดีพร้อมเดินทางโดยไม่ต้องกลัว console ได้รับความเสียหาย มีข้อความ XBOX และ GOOD GAME สกรีนบนแต่ละด้านของกระเป๋า
A Split Second Can Change Everything มีคำพูดเกี่ยวกับความสำคัญของเวลากล่าวไว้ว่า “To realize the value of ONE MILLISECOND, ask the person who won a silver medal in the Olympics.” ความสำคัญของเศษเสี้ยววินาที มีผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต่อโลกใบนี้อย่างประเมินค่าไม่ได้ โดยเฉพาะในการแข่งขันกีฬา ที่เพียงเศษเสี้ยววินาที ก็สำคัญถึงขั้นตัดสินแพ้ชนะหรือแม้แต่สร้างสถิติใหม่ที่โลกต้องจารึกชื่อเอาไว้ และที่สำคัญไม่แพ้กัน ก็คือเทคโนโลยีที่การจับเวลาที่มีความแม่นยำสูงสุด ซึ่งในอดีต อุปกรณ์จับเวลาไม่ละเอียดอ่อนมากพอที่จะบันทึกเศษเสี้ยววินาทีได้ ภายใต้การนำของ Shoji Hattori, president of K. Hattori (ชื่อแบรนด์ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น Seiko) จึงได้ระดมทีมเพื่อพัฒนานาฬิกาจับเวลาแบบกลไก ‘Heart-shaped Cam’ เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดแห่งยุคซึ่งทั่วโลกต่างให้การยอมรับ นับเป็นการประกาศตัวบนเวทีโลกในด้านความแม่นยำ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการปลดล็อคขีดจำกัดในโลกแห่งเสี้ยววินาทีในที่สุด ในปี 1969 เป็นปีสำคัญที่โลกได้รู้จักกับ Seiko Speedtimer (ไซโก
โลกแห่งการถ่ายทำจากบนฟ้า ได้พัฒนาไปอีกขั้นกับ DJI ผู้นำแห่งโดรนด้วยสองรุ่นใหม่ล่าสุด Marvic 3 และ Marvic 3 Cine DJI Marvic 3 และ Marvic 3 Cine แชร์คุณสมบัติกล้อง dual-camera system จาก Hasselblad ซึ่ง DJI เข้าไปซื้อหุ้นตั้งแต่ปี 2017 เลนส์ 24mm และ hybrid zoom แบบ digital ไกลสุด 28x เทียบเท่าระยะ 162mm f/4.4 พร้อม 4/3 CMOS sensor โดยในรุ่น Marvic 3 สามารถถ่ายวีดีโอแบบ 4K @120fps และภาพนิ่งความละเอียดสูงสุด 20 megapixel โดรนทั้งสองรุ่นมาพร้อมแบตเตอรี่บินได้ต่อเนื่อง 46 นาที ซึ่งอัพเกรดความจุจากรุ่นก่อนที่บินได้