เชื่อไหมครับว่าภาพยนตร์หลายพันเรื่องที่เคยผ่านตาเรา ล้วนสอดแทรกโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจเอาไว้ และถ้าคุณหลงใหลงานดีไซน์มากพอก็คงจะรับรู้ได้ เนื่องจากสถาปัตยกรรมเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สร้างขึ้นเพื่อมนุษย์ แถมยังครอบคลุมตั้งแต่การพักอาศัยไปจนถึงการใช้ชีวิต การออกแบบสถาปัตยกรรมจึงนับว่ามีบทบาทไม่น้อยต่อภาพยนตร์ นอกจากจะเป็นฉากหลังประกอบเนื้อเรื่องที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสายตาผู้ชมแล้ว สถาปัตยกรรมในแต่ละฉากตอนยังสะท้อนถึงสภาพสังคม วัฒนธรรม รวมถึงยุคสมัยที่ปรากฏในภาพยนตร์แต่ละเรื่องได้อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นรายละเอียดเล็ก ๆ ของงานสถาปัตยกรรมยังช่วยเสริมแนวคิดตลอดจนเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ให้เด่นชัดขึ้นในเวลาเดียวกัน แล้วนี่คือภาพยนตร์ 5 เรื่อง 5 รสชาติที่ซ่อนความพิเศษทางสถาปัตยกรรมบางอย่างที่เราอยากให้คุณได้รับชม! PARASITE, 2019 ภาพยนตร์สัญชาติเกาหลีของผู้กำกับ Bong Joon-ho ที่นอกจากจะคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและอีกหลายรางวัลใหญ่บนเวทีออสการ์ ยังซ่อนผลงานสถาปัตยกรรมสุดน่าทึ่งเอาไว้ด้วย เนื้อเรื่องของ Parasite เล่าถึงครอบครัวต่างฐานะของเกาหลีใต้ที่ฝั่งหนึ่งใช้ชีวิตสุขสบายในคฤหาสน์หรู แต่อีกฝั่งต้องกัดฟันสู้ชีวิตท่ามกลางสภาพสังคมที่เหลื่อมล้ำ ภาพยนตร์เรื่องนี้โดดเด่นด้วยการเสียดสีสังคมและเผยให้เห็นช่องโหว่ของคนรวยกับจนอย่างโจ๋งครึ่ม ซึ่งหนึ่งในองค์ประกอบหลักที่ช่วยให้ผู้ชมซึมซับความต่างระหว่างชนชั้นคือผลงานสถาปัตยกรรมในเรื่องนี้ ผนังหน้าบ้านของครอบครัวคนรวยดีไซน์ด้วยกำแพงสูงทึบตัน ที่ช่วยแบ่งกั้นระหว่างภายในกับภายนอกอย่างชัดเจน ทางเดินเข้าบ้านยกระดับให้สูงขึ้นสร้างความเป็นส่วนตัวให้กับผู้พักอาศัย และเหมือนบอกโดยนัยว่าไม่ต้องการให้ใครเข้าถึงง่าย ภายในยังสร้างบันไดไว้บริเวณจุดศูนย์กลางบ้านช่วยแบ่งพื้นที่ให้เป็นสัดส่วนมากขึ้น แม้จะใช้กระจกบานกว้างเพื่อเปิดรับแสงธรรมชาติและบ่งบอกถึงรสนิยมหรูหรา แต่กลับเลือกเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นที่ดูเรียบง่ายมาตกแต่ง บวกกับโทนสีในบ้านและเปลือกนอกอาคารที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ราวกับบอกว่าบ้านหลังนี้ซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้ BLACK PANTHER, 2018 แม้แต่ Black Panther ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ลำดับที่ 8 ในจักรวาลมาเวล ยังเต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อยของสถาปัตยกรรมผังเมืองฝีมือ Zaha Hadid สถาปนิกหญิงชื่อก้องโลกผู้คร่ำหวอดในแวดวงสถาปัตยกรรม
ถ้าพูดถึง ‘เมืองแห่งการออกแบบ’ เชื่อว่านิยามของแต่ละคนคงต่างกันอย่างสิ้นเชิง บางคนนึกถึงเบอร์ลิน เมืองหลวงของเยอรมนีที่เต็มไปด้วยสถาบันออกแบบชื่อก้องโลก บ้างว่ามอนทรีออลของแคนาดานี่แหละที่เป็นตัวเต็ง เพราะนอกจากจะพัฒนาเมืองด้านการออกแบบอย่างจริงจัง ยังมีผลงานเจ๋ง ๆ ซ่อนอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของเมืองนับไม่ถ้วน แต่ใครหลายคนอาจยังไม่รู้ว่า ‘เซินเจิ้น’ เมืองชาวประมงเก่าแก่ของประเทศแดนมังกร เปลี่ยนแปลงและพัฒนาข้ามขั้นจนได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งการออกแบบและนวัตกรรมที่ถูกยอมรับในระดับสากลไปเรียบร้อยแล้ว จากเมืองประมงริมชายฝั่งสู่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ย้อนไปในอดีตเซินเจิ้นเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเก่าที่อยู่ตรงข้ามกับฮ่องกงเท่านั้น แต่ในช่วงปี 1980 เมืองนี้กลับถูกเลือกให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรกของประเทศจีน จากนโยบายเปิดประเทศและปฏิรูปเศรษฐกิจในปี 1978 หลังจากนั้นเซินเจิ้นก็ถูกพัฒนาให้เจริญก้าวหน้า ทันสมัย และกลายเป็นแหล่งการค้าการลงทุนที่สำคัญของจีน นอกจากความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งแล้ว ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจก็มีอิทธิพลต่อการพัฒนาเมืองนี้ไม่แพ้กัน เมื่อ สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ประกาศมอบสถานะพิเศษให้เซินเจิ้นเป็นพื้นที่ทดลองปฏิรูปเศรษฐกิจและการบริหารจัดการด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม นับแต่นั้นเซินเจิ้นก็กลายเป็นหนึ่งในเมืองกลุ่ม Greater Bay Area อันเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไข่มุก เช่นเดียวกับ ฮ่องกง, มาเก๊า, กวางโจว, จูไห่ และอีกหลายเมืองสำคัญ รากฐานความสร้างสรรค์ของเจ้าแห่งการจำลอง ดูเผิน ๆ แล้วเซินเจิ้นแทบไม่มีรากฐานด้านศิลปะหรือการออกแบบเฉกเช่นปารีส มิลาน หรือฟลอเรนซ์ แต่เราเชื่อว่าเซินเจิ้นเองก็คงมีบางสิ่งเป็นเบ้าหลอมให้มุ่งมั่นพัฒนาเมืองไปในทิศทางการออกแบบอย่างแน่วแน่เช่นนี้ ถ้าเปรียบเทียบเรื่องราวของเซินเจิ้นให้เป็นเรื่องใกล้ตัวยิ่งขึ้น คงคล้ายกับเมืองโบราณในจังหวัดสมุทรปราการของบ้านเรา ที่รวบรวมสถานที่สำคัญต่าง
ญี่ปุ่นไม่ใช่แค่ประเทศที่มีวัฒนธรรมและประเพณีอันเป็นเอกลักษณ์ แต่ยังโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมสไตล์มินิมัลและนวัตกรรมแห่งโลกอนาคต ตั้งแต่หุ่นยนต์อาซิโมที่เติบโตมากับเราตั้งแต่เด็ก ๆ ไปจนถึงรถไฟหัวกระสุนความเร็วสูง ดูเหมือนว่าแดนอาทิตย์อุทัยแห่งนี้ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเมืองไปพร้อมกับเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด Toyota บริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น จับมือกับ BIG สตูดิโอสถาปัตยกรรมเดนมาร์ก เผยแผนการสร้าง ‘Toyota Woven City’ เมืองต้นแบบแห่งอนาคต (Prototype City of the Future) ที่เป็นมิตรต่อผู้คนและธรรมชาติ แผนการออกแบบ Toyota Woven City เปิดเผยในงาน Consumer Electronics Show (CES) ซึ่งจัดขึ้นที่นครลาสเวกัส และนำเสนอโครงสร้างเมืองต่อสายตาสาธารณชนผ่านภาพเคลื่อนไหวที่สร้างขึ้นโดย Squint/Opera สตูดิโอดิจิทัลในกรุงลอนดอน โรงงานผลิตรถยนต์ในเมืองซูโซโนะกำลังจะปิดตัวลงภายในปี 2020 และพื้นที่ขนาด 70 เฮกตาร์จะถูกเนรมิตให้กลาย Toyota Woven City ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างเฟสแรกในปี 2021 เมืองนี้จะสร้างขึ้นบริเวณเชิงภูเขาไฟฟูจิ เพื่อให้นักวิจัย วิศวกร และเหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ทดสอบระบบเทคโนโลยีต่าง ๆ ทั้งหุ่นยนต์, ปัญญาประดิษฐ์, สมาร์ตโฮม หรือแม้แต่ยานยนต์ไร้คนขับในสภาพแวดล้อมจริง
ระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตรจากวงกลมอาร์กติก (Arctic Circle) คุณจะพบกับเมือง Andenes ที่ตั้งอยู่เหนือสุดของเกาะ Andøya ในเขต Nordland ของประเทศนอร์เวย์ ที่นี่เป็นทางผ่านระหว่างการอพยพของสัตว์น้ำหลากหลายชนิด ทุกปีจะมีนักท่องเที่ยวกว่า 50,000 คน เดินทางมายัง Andenes เพื่อชมการย้ายถิ่นของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดยักษ์ที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทรแห่งนี้ เนื่องจากสภาพทางภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นตั้งแต่บนบกยันใต้น้ำ บวกกับอุณหภูมิหนาวเย็น ความมืดมิด และระดับน้ำทะเลลึกว่า 1,000 เมตร ทำให้ Andenes ไม่เพียงเป็นพิกัดชมแสงเหนือยอดนิยม หากยังเป็นแหล่งอาศัยของปลาหมึก และปลาหมึกก็เป็นอาหารอันโอชะของวาฬสเปิร์มหรือวาฬหัวทุยด้วย หลังจากที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันระดับนานาชาติ Dorte Mandrup สตูดิโอของสถาปนิกหญิงชาวเดนมาร์ก ก็ได้สิทธิ์ดีไซน์ ‘The Whale’ สถาปัตยกรรมสำหรับชมฝูงวาฬ ซึ่งตั้งอยู่ริมชายฝั่งของเมือง Andenes ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ชมวาฬที่ดีที่สุดในโลก นอกจากนักท่องเที่ยวจะได้เห็นวาฬอพยพอย่างใกล้ชิดแล้ว Dorte Mandrup ยังตั้งใจให้ The Whale กลายเป็นแลนด์มาร์กแห่งสำคัญของนอร์เวย์ ที่ช่วยกระตุ้นให้คนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลมากยิ่งขึ้น แม้มองเผิน ๆ รูปร่างของอาคารหลังนี้จะดูเหมือนก้อนหินขนาดยักษ์ แต่จริง ๆ แล้วตัวอาคารถูกดีไซน์ให้คล้ายกับหางปลาวาฬที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ
เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา หนุ่ม ๆ หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าเวียนนาเมืองหลวงของประเทศออสเตรียได้เฉือนเอาชนะแชมป์เก่า 7 ปีซ้อนอย่างเมืองเมลเบิร์นของประเทศออสเตรเลีย ขึ้นแท่นเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกจากการจัดอันดับของนิตยสาร Economist แต่ไม่ต้องเห็นผลการจัดอันดับก็พอทราบอยู่บ้างว่าเมืองเวียนนานั้นมีพื้นฐานการคมนาคมที่เป็นระบบ มีบรรยากาศอบอุ่นน่าอาศัย ทั้งยังมีเทคโนโลยีที่เอื้อประโยชน์ต่อชีวิตของชาวเมืองและนักท่องเที่ยว ยิ่งไปกว่านั้นเวียนนายังซ่อนกลิ่นอายทางสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่เป็นเอกลักษณ์และเสริมเสน่ห์ให้เมืองแห่งนี้ดูน่าหลงใหลยิ่งขึ้น OMA (Office for Metropolitan Architecture) สตูดิโอสถาปัตยกรรมที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1975 โดย Rem Koolhaas สถาปนิกชาวเนเธอร์แลนด์ ออกแบบสถาปัตยกรรมแห่งแรกในกรุงเวียนนาที่มีชื่อว่า ‘THE LINK’ ตั้งอยู่บนถนน Mariahilfe หนึ่งในถนนสายสำคัญใจกลางเมือง THE LINK เป็นทั้งห้างสรรพสินค้าและโรงแรมที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์เมือง และเชื่อมโยงเมืองเก่า ผู้คน สถาปัตยกรรม และวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน ด้านหน้าดีไซน์ให้เป็นห้างสรรพสินค้า แต่เมื่อเดินลอดผ่านซุ้มประตูขนาดใหญ่ที่เรียงรายด้วยต้นไม้และพื้นที่นั่งสาธารณะ จะสามารถเชื่อมไปยังโรงแรมต่าง ๆ ด้านหลังได้ นอกจากที่นี่จะอัดแน่นไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และโรงแรมมากมาย ยังมีสวนบริเวณชั้นดาดฟ้าที่ครอบคลุมตั้งแต่สวนผลไม้ไปจนถึงลานอาบแดด เพื่อสร้างสวนสาธารณะแห่งใหม่ให้ชาวเมืองและเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นทัศนียภาพโดยรอบเมืองได้อย่างแจ่มชัด การออกแบบภายนอกอาคารจะใช้สีขาวและครีมเป็นหลัก สอดแทรกโครงสร้างที่เป็นแพตเทิรน์เพื่อให้กลมกลืนกับเมืองเก่า พร้อมใช้กระจกใสสร้างความรู้สึกโปร่งโล่งสบายและไม่อึดอัด การออกแบบด้านหน้าอาคารจะสอดแทรกแนวคิดเวียนนาซีเซสชัน (Vienna Secession) ที่ได้อิทธิพลจากศิลปินระดับตำนานอย่าง
การออกแบบพื้นที่พักอาศัยนับเป็นอีกหนึ่งผลงานสถาปัตยกรรมที่มีความสำคัญไม่น้อย ไม่เพียงสร้างสเปซเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้พักอาศัยในแง่ฟังก์ชัน แต่ยังต้องสร้างสรรค์งานดีไซน์ที่มีเสน่ห์และเป็นเอกลักษณ์ เพื่อมอบประสบการณ์การพักอาศัยเหนือระดับและนำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้คน ในช่วงที่โลกกำลังเผชิญปัญหาโลกร้อน น้ำแข็งขั้วโลกหลอมละลาย และการเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อม เหล่าสถาปนิกและสตูดิโอสถาปัตยกรรมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด หากขบคิดและสร้างสรรค์ไอเดียการออกแบบโดยหยิบนำ ‘ธรรมชาติ’ มาผนวกเข้ากับงานดีไซน์ จนได้ออกมาเป็นผลงานสถาปัตยกรรมที่เล็งเห็นทั้งคุณค่าของชีวิตและคุณค่าของธรรมชาติ BIG สตูดิโอสถาปัตยกรรมเจ้าดังได้ดีไซน์ ‘KING TORONTO’ สถาปัตยกรรมเรือนกระจกกลางกรุงโตรอนโตที่ปกคลุมไปด้วยธรรมชาติสีเขียว ตั้งอยู่ในย่าน King West ที่ตรอกซอกซอยทะลุถึงกันได้หมด แถมยังเป็นย่านที่มีชีวิตชีวาที่สุดแห่งหนึ่งของแคนาดา ผลงานสถาปัตยกรรมชิ้นนี้ซ่อนกลิ่นอายบรูทัลลิสต์ เน้นหนักในการใช้แพตเทิร์นเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา โดยได้อิทธิพลมาจากผลงาน Habitat 67 ในกรุงมอนทรีออลที่ดีไซน์โครงสร้างให้เป็นสามมิติ แต่จะต่างตรงที่ KING TORONTO เลือกใช้บล็อกแก้วโปร่งใสแทนบล็อกคอนกรีต บล็อกแก้วโปร่งใสนั้นทำให้มองเห็นการตกแต่งภายในของตัวอาคารได้เป็นอย่างดี แถมยังนำต้นไม้น้อยใหญ่มาผสมผสานกับงานดีไซน์ มีการปลูกต้นไม้ตามระเบียง ปลูกพืชเกาะผนังตามฟาซาด และสอดแทรกพื้นที่สีเขียวไว้ตามจุดต่าง ๆ ของอาคาร ธรรมชาติสีเขียวถือเป็นอีกหัวใจของโครงการ KING TORONTO เพราะนอกจากจะมอบบรรยากาศร่มรื่นให้กับผู้พักอาศัยแล้ว ยังช่วยสร้างความเป็นส่วนตัวโดยไม่ปิดบังทัศนียภาพโดยรอบมากจนหนาทึบและน่าอึดอัด ด้านการตกแต่งภายในก็มีเสน่ห์ไม่แพ้ด้านนอกเลย ภายในอาคารได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากสถาปัตยกรรมสแกนดิเนเวียนสมัยใหม่ เน้นการใช้วัสดุเรียบง่ายอย่างพื้นไม้ ผนังสีขาว และหินสีขาว เพื่อสะท้อนความอบอุ่น ดูเรียบง่าย แต่ยังคงทันสมัยพร้อมก้าวไปในทุกยุค นอกจากนั้นเพนเฮาส์แห่งนี้ยังมีสระว่ายน้ำในร่ม
ถ้าพูดถึงสถาปัตยกรรมจีนโบราณ หนุ่ม ๆ หลายคนคงนึกภาพกำแพงเมืองจีนที่ใช้โครงสร้างอิฐก้อนใหญ่ถมทับด้วยดินเหลืองและเศษหินความยาว 21,196.18 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 15 มณฑลทั่วประเทศแดนมังกร และเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ในอดีตกำแพงอิฐที่ทอดยาวนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นป้อมปราการเพื่อป้องกันการรุกรานดินแดน แต่ปัจจุบันมันกลายเป็นสถาปัตยกรรมจีนโบราณอันล้ำค่า ที่เป็นรากฐานให้งานออกแบบชนิดอื่น ๆ นอกจากไม้ที่เป็นจุดเด่นของสถาปัตยกรรมจีน การออกแบบพื้นที่ให้กว้างขวางก็เป็นอีกเอกลักษณ์ที่สำคัญไม่แพ้กัน ทีมสถาปนิกของ Zaha Hadid Architects จึงหยิบโครงสร้างสถาปัตยกรรมจีนโบราณผนวกเข้ากับการออกแบบสมัยใหม่ จนออกมาเป็นท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง-ต้าซิง ที่ผสมผสานเทคโนโลยีกับกลิ่นอายทางวัฒนธรรมของจีนอย่างลงตัว แม้อาคารผู้โดยสารขนาด 700,000 ตารางเมตร จะดีไซน์ออกมาให้กะทัดรัด แต่ก็สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 72 ล้านคนต่อปี โครงสร้างของอาคารผู้โดยสารถูกล้อมด้วยหลังคากระจกที่เป็นเหมือนสกายไลต์ช่วยเปิดรับแสงจากธรรมชาติ พร้อมสร้างความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบาย ให้กับเหล่านักท่องเที่ยว ที่นี่ใช้พลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ ระบบดูดความร้อนจากชั้นพื้นดิน ทั้งยังออกแบบช่องทางลำเลียงน้ำฝนและมีระบบจัดการน้ำที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ การออกแบบภายในถอดแบบมาจากสถาปัตยกรรมจีนโบราณ ที่เน้นหนักในการจัดพื้นที่ให้เชื่อมต่อถึงกันได้แบบ open plan จากจุดศูนย์กลางของท่าอากาศยานผู้โดยสารสามารถเดินเชื่อมไปยังเครื่องบินโดยตรงผ่านประตูทั้ง 79 แห่ง เมื่อมองจากมุมสูงท่าอากาศยานแห่งนี้จะมีรูปทรงคล้าย ๆ ปลาดาว 5 แฉก ที่ไม่เพียงสวยงามแปลกตา
‘ภูมิสถาปัตยกรรม’ หรือ Landscape Architecture เป็นการนำหลักศิลปวิทยาที่ว่าด้วยการออกแบบและจัดสรรพื้นที่ภายนอกอาคารมาปรับแต่งภูมิทัศน์โดยรอบของเมือง เริ่มตั้งแต่สวนสาธารณะ จัตุรัสกลางเมือง หรือแม้แต่ถนนเส้นเล็กที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อวิถีชีวิตของผู้คนที่อยู่แวดล้อม จริงอยู่ที่โลกเรานั้นเจริญก้าวหน้าและไม่เคยหยุดอยู่กับที่ แต่อีกปัญหาที่หลากประเทศเป็นกังวล คือสังคมผู้สูงอายุซึ่งกำลังย่างกรายเข้ามาและเติบโตโดยสมบูรณ์แล้วในบางประเทศ ด้วยเหตุนี้สมาคมภูมิสถาปนิกแห่งอเมริกา (American Society of Landscape Architects) ที่รวมเหล่าสถาปนิกราว 15,000 คน จึงนำการดีไซน์แบบสากลมาประยุกต์ใช้กับถนนหนทางและพื้นที่สาธารณะ เพื่อให้เหล่าผู้สูงอายุตลอดจนคนธรรมดามีสถานที่พักผ่อนและคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม บางครั้งการออกแบบพื้นที่ไม่จำเป็นต้องสร้างขึ้นให้เลิศหรูอลังการ เพราะการแปลงโฉมและรังสรรค์สเปซด้วยความเรียบง่ายก็น่ายกย่องไม่แพ้กัน หากมันตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองได้จริง แล้วนี่คือ 3 ภูมิสถาปัตยกรรมที่มอบสิ่งปลูกสร้างธรรมดาเป็นพิเศษและพิชิตใจคนเมืองได้เต็มเปา Tongva Park, Santa Monica, California ชื่อ ‘Tongva Park’ ตั้งขึ้นจากการเฉลิมฉลองวัฒนธรรมประเพณีอันยาวนานของชาวตองกาพื้นเมือง ที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคแห่งนี้มานานนับ 1,000 ปี บนพื้นที่สาธารณะขนาด 6 เอเคอร์ ถูกจัดสรรให้เป็น 4 ส่วนหลักคือ Observation Hill, Discovery Hill, Garden Hill, และ Gathering Hill