ในโลกที่เต็มไปด้วยแรงกระตุ้น สิ่งเร้ารอบด้านที่คอยปั่นให้อารมณ์ขึ้นจนอยากตอบโต้ฟาดกลับให้สะใจ ไม่ว่าจะบน Social Media บนถนน หรือจากคนรอบตัว การตอบโต้กลับทันที กลายเป็นพฤติกรรมที่ถูกสังคมหล่อหลอมขึ้นมาจนเราลืมการควบคุมตัวเอง ทุกคนถูกฝึกให้อารมณ์ขึ้นง่าย ตอบโต้ไวแบบไม่มีใครยอมเสียเวลา ราวกับว่าการตอบโต้ก่อนคือผู้ชนะ แต่ยิ่งเราเร่งตอบโต้มากเท่าไร ก็ยิ่งเปิดช่องให้อารมณ์ชั่ววูบเข้ามาควบคุมสมองมากขึ้นเท่านั้น ทำให้เราอยากแนะนำทักษะที่ไม่มีใครพูดถึงกันเลย แต่จำเป็นสุด ๆ ในยุคนี้ นั่นคือ “ศิลปะของการไม่ตอบโต้ทันที” — The Art of Not Reacting ไม่ใช่เพราะเราอยากสอนให้ทุกคนเป็นพระ หรือให้กลืนเก็บกดความรู้สึกจนไม่เหลือความเป็นตัวเอง แต่เพราะการตอบโต้แบบไร้สติ อาจเป็นเหมือนการโยนระเบิดใส่ชีวิตตัวเองโดยไม่รู้ตัว เพราะมีหลายเคสที่การตอบสนองทันทีแบบไร้สติ กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว สร้างปัญหาชีวิตให้ลุกลามใหญ่โตโดยไม่จำเป็น ทำไมเราตอบโต้เร็วเกินไป? ย้อนกลับไปตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ สมองส่วน Amygdala กลไกเอาตัวรอดของมนุษย์ มันถูกออกแบบมาเพื่อสั่งให้เราหนีเมื่อเจอเสือ ตอบโต้เมื่อถูกคุกคาม หรือที่เราเรียกมันว่า Fight or Flight Response แต่ปัญหาคือ ยุคนี้เราไม่ได้ถูกไล่ล่าโดยสัตว์ป่าอีกต่อไป ทุกวันนี้สิ่งที่กระตุ้น Amygdala ของเรากลับกลายเป็น คอมเมนต์แดกดันในโซเชียล เสียงแตรเสียงด่าจากรถคันข้าง ๆ ข้อความแซะจากคนในออฟฟิศ หรือคำพูดประชดในวงสนทนา
ชีวิตในวัย 40 ไม่ได้ง่ายกว่าเดิมเสมอไป ในบางวันเรารู้สึกมั่นคงกว่าเมื่อก่อน แต่ในอีกหลายคืนเรากลับนอนอยู่กับความกลัวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน สำหรับบางคน อดีตไม่ได้หายไปไหน มันไม่ใช่แค่ “ความทรงจำ” แต่มันคือ “ความรู้สึก” ที่แผลยังสดเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เรื่องราวบางอย่างที่เราเคยทำผิด เคยหลงผิด เคยแสดงพฤติกรรมที่วันนี้ยังรู้สึกอาย ยังตามมาหลอกหลอนในแบบที่ไม่มีใครรู้ หลายครั้งมันโผล่ขึ้นมาเองโดยไม่ทันตั้งตัว เหมือนสมองเรากดปุ่ม replay อัตโนมัติแล้วโยนเรากลับไปอยู่กลางเหตุการณ์แบบเดิม เสียงหัวเราะเยาะ สายตาดูถูก การกระทำโง่ ๆ ที่อยากจะลบออกจากชีวิตให้หมด แต่ลบไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกที่จำแม่นยิ่งกว่าเรื่องดี ๆ ทั้งชีวิตเสียอีก นักจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า Emotional Flashback – ภาวะที่ความรู้สึกเจ็บจากอดีตย้อนกลับมารุนแรงเหมือนเกิดขึ้นตอนนี้ ทั้งที่เวลามันผ่านไปนานแล้ว คุณไม่ได้อยากจำ แต่มันก็ลืมไม่ได้ และเพราะมันยังเจ็บ… คุณเลยไม่กล้าใช้ชีวิตเต็มที่อีกต่อไป ในโลกที่เราแบกชื่อไว้กับธุรกิจ แบกความรับผิดชอบของหัวหน้าครอบครัว แบกภาพลักษณ์ที่สังคมคาดหวังไว้กับเรา การก้าวพลาดอีกครั้ง ไม่ได้แค่ทำให้เสียหน้า แต่มันอาจทำให้ทุกอย่างพัง และนั่นแหละคือจุดที่ผู้ชายหลายคนเริ่ม “แยกตัว” เพื่อป้องกันความล้มเหลวซ้ำสอง เพราะตอนนี้มันไม่ใช่แค่ความอาย แต่มันคือการเสียสิ่งที่รัก เสียชื่อ เสียสิ่งที่สร้างมาทั้งชีวิต เราพยายามควบคุมทุกอย่าง เลือกไม่เข้าสังคม ไม่ไว้ใจใคร ไม่เปิดเผยตัวตน
“ถ้าเราหายไป ทุกคนคงสบายขึ้น” “แค่ตัวเราอยู่ตรงนี้ ก็ทำให้คนรอบข้างไม่มีความสุข” นี่คือความรู้สึกขมขื่นและทุกข์ทรมาน ที่คนคิดแบบนี้มักจะไม่ปรึกษาใคร ด้วยอาการที่ทำให้รู้สึกว่า เราคือภาระของคนอื่น ทุกอย่างคงจะดีอยู่แล้ว ถ้าไม่มีเราอยู่ตรงนั้น ความรู้สึกแบบนี้เรียกว่า Perceived Burdensomeness Perceived Burdensomeness หนึ่งในทฤษฎีที่อธิบายโดย Thomas Joiner นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน บอกว่ามันคือความเชื่อฝังลึกว่าเราเป็นคนที่ทำให้ชีวิตคนอื่นแย่ลง ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ คนรัก เพื่อน หรือเพื่อนร่วมงาน มันไม่ใช่แค่ความคิดเล่น ๆ ว่า “ต้องให้เพื่อนเลี้ยงข้าวอีกแล้ว” แต่มันคือภาวะซึมเศร้าที่ฝังลึกในสมอง ที่สำคัญคือ “ต่อให้คนอื่นจะไม่คิดแบบนั้น เราก็จะเชื่อว่ามันจริงอยู่ดี มันจึงสร้างความเจ็บปวดให้เกิดขึ้นตลอดเวลา โดยที่ไม่สามารถปรึกษาใครได้ เพราะกลัวจะไปสร้างปัญหาให้คนอื่น สาเหตุที่บางคนมีความคิดแบบนี้มักจะมาจาก 3 ปัจจัยหลักครับ Internalized Shame : การโตมาโดยถูกบอกว่าเป็นตัวปัญหา ทำอะไรก็ผิด รู้สึกผิดที่ตัวเอง “เป็นตัวเอง” พอเจอคนใหม่ๆ ก็กลัวจะเป็นภาระอีก เลยเลือกหายหรือตัดความสัมพันธ์ไปก่อนจะถูกเกลียด Past Trauma หรือ Toxic Relationship : เคยอยู่ในความสัมพันธ์ที่โดนอีกฝ่ายตราหน้าว่า
“บ้านในฝันของคุณ มี Home Checklist ทั้งหมดกี่ข้อ ?” ต้องมาพร้อมกับ Prime Location ทำเลที่อยู่อาศัยใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกในทุก Circle ของชีวิต ไปจนถึงทั้ง Exterior และ Interior ดีไซน์แบบที่จำเป็นที่ต้องมีพื้นที่ใช้สอยตอบโจทย์กับทุกคนในบ้านใช่หรือเปล่า ? ถ้าหากว่าบ้านในฝันมีความหมายเท่ากับสิ่งที่ว่ามาทั้งหมด ที่ ASCARI ‘VIBHAVADI-PRACHACHEUN’ คือโครงการบ้านที่คุณกำลังฝันถึง ไม่เท่านั้น ASCARI ‘VIBHAVADI-PRACHACHEUN’ เป็นมากยิ่งกว่าที่อยู่อาศัยที่คนมองหาบ้านเดี่ยวจะฝันถึงซะอีก ด้วยการมีพื้นที่ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางของประชาชื่น และเป็นโปรเจกต์ที่เรียกได้ว่า เกิดขึ้นจาก ‘แพชชั่น’ ของคนรักรถแบบสุดตัว พร้อมกับอยากเปลี่ยนให้สิ่งที่รักได้กลายเป็นที่อยู่อาศัยของคนที่รักในสิ่งเดียวกัน และไม่ใช่แค่แพชชั่นเดียว ! แต่ผสานขึ้นจาก 3 แพชชั่นของ 3 นักธุรกิจรุ่นใหม่ จาก Monochrome Asset Co. ผู้พัฒนาโครงการ ที่ตอบโจทย์ทั้ง Life และแสดงออกถึง Style ของผู้อยู่อาศัย ‘Home For Supercar People’ บ้านที่ตอบโจทย์ผู้หลงใหลความเร็ว สะท้อนผ่าน
“เหมือนเปิดแท็บ browser ไว้ 40 อัน แล้วลืมว่ากำลังทำอะไรไว้แต่ละแท็บ…” – ถ้าประโยคนี้โดนใจคุณ… มีโอกาสสูงว่าคุณอาจมีสิ่งที่เรียกว่า Attention Deficit Hyperactivity Disorder อยู่ในตัว และมันไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างที่คนชอบเข้าใจผิด คนที่มี ADHD ส่วนใหญ่มักจะเจอปัญหาเช่น “โฟกัสไม่ได้” ไม่ใช่เพราะไม่ตั้งใจ แต่เพราะสมองรับสิ่งเร้าเยอะเกินไป และ “ความคิดล้น” สมองทำงานพร้อมกันหลาย tasks พร้อมคิดเรื่องอนาคต คิดย้อนอดีตโผล่ขึ้นมาอีก ซึ่งการที่สมองของเราทำงานหลายหน้าที่พร้อมกันมากกว่าคนอื่น ส่งผลให้เราเหนื่อยแบบไม่รู้ตัว เพราะแค่จะนั่งนิ่งๆ ทำงาน ก็ต้องฝ่าความฟุ้งในหัวให้ได้ก่อน ADHD ในหมู่คนทำงาน โดยเฉพาะคนทำอาชีพสายสร้างสรรค์ นักการตลาด เจ้าของธุรกิจ ฟรีแลนซ์ มักไม่ได้แสดงออกแบบ “อยู่ไม่สุข” เหมือนในเด็ก แต่จะกลายเป็น “ความคิดวุ่นวายระดับลึก” ที่จัดการยากกว่าที่คนทั่วไปเข้าใจ เริ่มเร็ว เบื่อง่าย เสพติดไอเดียใหม่ : ตื่นเต้นกับการเริ่มต้นโปรเจกต์ใหม่ๆ แต่พอผ่านไปไม่กี่วัน ความน่าเบื่อมาเยือน ก็อยากจะเริ่มอย่างอื่นต่อ โฟกัสหลุดง่าย ไม่ใช่เพราะขี้เกียจ แต่เพราะสมองไวเกินไป
เราถูกสอนให้เชื่อว่า ความสุขคือสิ่งที่ต้องวิ่งตามให้ทัน เราถูกหล่อหลอมด้วยภาพจำว่า ถ้าเรียนจบ ได้งานดี มีเงินเดือนดี ซื้อบ้าน ซื้อรถ มีแฟนดี ๆ เดี๋ยวเราก็จะมีความสุขเอง “ถ้าได้สิ่งนั้น ฉันจะมีความสุข” แต่พอได้ทุกอย่างแล้ว ทำไมมันยังรู้สึกว่างเปล่าอยู่ลึก ๆ เหมือนเราทุ่มทั้งชีวิตวิ่งไปข้างหน้าเพื่อไปเจออะไรบางอย่าง แล้วกลับพบว่า มันไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นเลย เหมือนพยายามจะเติมถังน้ำที่มีรูรั่วอยู่ข้างล่าง นักจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า Hedonic Treadmill มันคือวงจรที่เราจะตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ ๆ แค่ช่วงแรก แล้วความรู้สึกพิเศษนั้นจะหายไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็น “เรื่องปกติ” ภายในเวลาไม่นาน แล้วก็เริ่มวิ่งหาเป้าหมายใหม่อีกครั้ง ไม่มีวันพอใจในความสุขที่มีอยู่ในครอบครอง แต่ทำไมบางคนกลับมีความสุขได้ง่าย ๆ กับเรื่องเดิม ๆ ทำไมความสุขถึงแตกต่างกันในแต่ละคน? สาเหตุเพราะ ทุกคนมี “จุดสมดุลของความสุข” ของตัวเอง ซึ่งถูกกำหนดจากพันธุกรรม บุคลิก และประสบการณ์ชีวิต แต่ข่าวดีคือ เราสามารถ “รีเซ็ตลู่วิ่งของความสุข” ได้ ไม่ใช่ด้วยการหาของใหม่มาเติม แต่ด้วยการหันกลับมาเข้าใจความสุขแบบลึกซึ้งมากขึ้น งานวิจัยพบว่ามีวิธีที่ช่วยให้เราเข้าถึงความสุขได้ง่ายขึ้น การฝึกขอบคุณในสิ่งที่เรามีด้วยความตั้งใจทุกวัน การเขียน gratitude journal
“คุณเคยดูหนังโฆษณาน้ำมันเชื้อเพลิงมาแล้วกี่ชิ้น?” คำถามนี้คงยากจะให้คำตอบเป็นจำนวนที่แน่ชัด แต่เชื่อเหลือเกินว่าเมื่อพูดถึงโฆษณาน้ำมัน ภาพในหัวของใครหลายต่อหลายคน คงหนีไม่พ้นภาพจำซ้ำ ๆ เดิม ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพปั๊มน้ำมัน หรือภาพ CG กระบอกสูบ, เครื่องยนต์กำลังทำงาน ปิดท้ายด้วยภาพรถยนต์พุ่งทะยานไปบนท้องถนน แต่ ณ ขณะที่เรากำลังเขียนบทความนี้ น่าจะมีผู้คนจำนวนไม่น้อย ที่ได้รับชมหนังโฆษณาน้ำมันตัวใหม่ล่าสุดของ ‘บางจาก’ ที่ไม่ได้ใหม่แค่เพราะเพิ่งถูกเผยแพร่ แต่มันคือความใหม่ และแปลกตาในแง่ของงานภาพและเนื้อหา ที่น่าจะไม่เคยมีใครได้สัมผัสผ่านหนังโฆษณาน้ำมันมาก่อน ซึ่งความแปลกและแตกต่างที่เกิดขึ้น มีต้นทางมาจากแนวคิดของแบรนด์บางจากที่เชื่อมั่นในการ “สร้างสรรค์พลังไม่รู้จบ” กับเป้าหมายในการพัฒนาน้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองเทคโนโลยียานยนต์ที่พัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง สู่การพัฒนาน้ำมันเชื้อเพลิง Bangchak Hi Premium อย่าง Bangchak Hi Premium 97 และ Bangchak Hi Premium Diesel S ยืนหนึ่งในความเป็นพลังสะอาด ที่มาพร้อมความแรง และสามารถปกป้องเครื่องยนต์ได้ 100% ในทุกจังหวะที่เหยียบคันเร่ง การันตีประสิทธิภาพได้จากความเชื่อมั่นของ บริษัท AAS AUTO SERVICE ตัวแทนจำหน่าย PORSCHE, BENTLEY
ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสโซเชียลที่เชี่ยวกรากไปด้วยไวรัลต่าง ๆ ซึ่งผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาจับจองพื้นที่หัวข้อสนทนาของพวกเราในแต่ละมื้อแต่ละเดย์แบบไม่ให้ได้ว่างเว้น เราเชื่อว่าหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นต้องมี Bar B GON ‘Oh My GON’ Collection เซ็ตฟิกเกอร์จี๊ดใจจาก Bar B Q Plaza ปักหมุดอยู่ในพื้นที่ความสนใจของใครหลายคนอย่างแน่นอน ยืนยันการคาดคะเนนี้ได้จากกระแสตอบรับเข้าขั้นถล่มทลาย เลื่อนฟีดไปไหนเป็นต้องเจอ ‘คนอวดของ’ โชว์ภาพฟิกเกอร์ Bar B GON ที่ตามล่ามาได้ด้วยความอุตสาหะ หลายคนถึงกับต้องโดดงานไปจัดเซ็ตอาหาร Oh My Pork! และ Oh My Beef! เพื่อให้ได้ครอบครองฟิกเกอร์พี่ก้อนก่อนที่ของจะหมดเกลี้ยงสาขา วันนี้เราจึงอยากจะขอล้วงลึกเบื้องหลังความปังของแคมเปญนี้ จากปากของ ‘รัฐ ตระกูลไทย’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด ผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ด้านการตลาดของ Bar B Q Plaza ที่เคยปลุกปั้นโปรเจกต์เจ๋ง ๆ มาแล้วมากมายตลอด 10 ปี ที่ร่วมงานกับ บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด กับความสงสัยที่ว่า
สำหรับใครที่ติดตามผลงานของ ‘อเล็กซ์ เรนเดลล์’ Seiko Prospex Brand Friend ในช่วงหลัง ๆ คงรู้กันดีว่านอกจากเรื่องราวของงานแสดงแล้ว ดาราหนุ่ม และนักดำน้ำมากฝีมือคนนี้ ยังผันตัวจากงานในวงการ หันมาทุ่มเททำประโยชน์เพื่อสังคมในด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทั้งป่าเขา และผืนทะเล ด้วยอุดมการณ์อันแรงกล้าที่ต้องการปลูกฝังให้เยาวชนได้เข้าใจ และใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมเพื่อรักษาความสมดุลทางธรรมชาติอย่างยั่งยืน ต้องยอมรับว่าผู้ชายคนนี้สามารถถ่ายทอด DNA ของ Seiko Prospex ออกมาได้อย่างเด่นชัด ในฐานะอีกหนึ่งบุคคลต้นแบบ สะท้อนภาพคนที่กล้าก้าวข้ามออกจากขีดจำกัด พร้อมมุ่งมั่นยืนหยัดจนประสบความสำเร็จกับอีกเส้นทางที่เลือก และยังเดินหน้า Keep Going Forward ไม่หยุดค้นหาความท้าทายของชีวิตในด้านอื่น ๆ ต่อไป จากผลงานอื่นที่ตามมาเช่นการทำช่อง Youtube เพื่อทำรายการ เปลี่ยนบทบาทมาทำหน้าที่พิธีกรเพื่อพูดคุย และให้ความรู้เชิงธรรมชาติ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และต้องถือว่าเป็นครั้งแรก เมื่อแรงบันดาลใจที่พร้อมก้าวข้ามทุกขีดจำกัดของ ‘อเล็กซ์ เรนเดลล์’ เตรียมส่งต่อสู่กลุ่มคนที่มีจิตวิญญาณเดียวกัน ที่งาน Seiko Prospex Keep Going Forward 2024 กับการเปิดตัว “Team Prospex” รุ่นที่
คุณคิดว่า ‘ความหลงใหล’ ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะพาใครสักคนไปได้ไกลแค่ไหน? คำตอบของคำถามนี้อาจมีได้หลากหลาย และคงไม่มีอะไรเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด แต่สำหรับ ‘กอล์ฟ – อัษฎา อบรมทรัพย์’ หรือที่ชาวแลมรู้จักในชื่อ ‘กอล์ฟ 70 CLUB’ เขาได้พบกับคำตอบของปลายทางแห่งความหลงใหล ด้วยความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับสกู๊ตเตอร์ Lambretta ที่เขาหลงรัก และยังเป็นเหมือน “แลม… บันดาลใจ” ต่อยอดสู่อาชีพหล่อเลี้ยงชีวิต กับธุรกิจขายอะไหล่แลมวินเทจ ที่ยังคงสานต่อตำนานความเก๋ากว่า 77 ปี มาให้ได้สัมผัสในยุคปัจจุบัน เรื่องราวจุดเริ่มต้นเส้นทางที่มี Lambretta เคียงข้างจนเป็นกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ‘กอล์ฟ 70 CLUB’ ได้เล่าให้ฟังย้อนไปไกลสมัยที่ผู้ชายคนนี้เริ่มทำงานหาเงินได้ด้วยตัวเองใหม่ ๆ และตัดสินใจหาสกู๊ตเตอร์มาขี่สักคัน เพื่อเป็นการสานต่อความชอบในวัยมหาวิทยาลัยที่เคยมีสกู๊ตเตอร์คู่ใจขี่ไปไหนมาไหนโดยตลอด และการกลับเข้าสู่วงการสองล้อครั้งนี้ทำให้เขาได้รู้จักกับ Lambretta ที่ดีไซน์เท่สะดุดตา จนไม่ลังเลที่จะไปเสาะหามาเป็นของตัวเอง “สมัยนั้นก็หารถในเว็บ Thai Scooter แล้วไปถูกใจ Lambretta Series 2 Li 150 จำได้ว่าไปซื้อแถววังหิน ซื้อเสร็จก็ต้องขี่กลับบ้านแถวแคราย พอได้ขี่เท่านั้นแหละ รู้สึกเลยว่า เฮ้ย!!