“ความสมดุล” คำที่ฟังดูเรียบง่าย สะท้อนให้สัมผัสได้ถึงความสุขในการใช้ชีวิตทุกด้าน เมื่อพูดถึงสมดุลชีวิตหลายคนอาจคิดว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เฝ้าเพียรพยายามเสาะหาวิถีทางสร้างสมดุลจนเผลอมองข้ามไปว่าจริง ๆ แล้ว “คุณ” ทุกคนสามารถบาลานซ์ชีวิตได้โดยไม่ต้องขวนขวายหาเคล็ดลับ หรือเหนื่อยกับการมองหาคำตอบจากสิ่งที่อยู่ไกลตัว แต่คุณสามารถเลือก “สร้างสมดุลชีวิต” ให้กับตัวเองและครอบครัวโดยเริ่มต้นได้จากที่ ‘บ้าน’ “แล้วบ้านแบบไหนที่เอื้อต่อการสร้างชีวิตให้สมดุลกันล่ะ?” สำหรับคำถามนี้ เรามีคำตอบที่พร้อมภูมิใจนำเสนอให้เป็นทางเลือกที่ใช่ สำหรับเหล่า Urban Men ทั้งหลาย ซึ่งกำลังมองหาพื้นที่ชีวิตเพื่อตัวเอง และการสร้างครอบครัวใหม่ ที่เชื่อมต่อไลฟ์สไตล์ในเมืองใหญ่ เข้ากับความสงบผ่อนคลายได้อย่างลงตัว กับโครงการ DEMI SATHU 49 (เดมี สาธุ 49) จากแสนสิริ ดีลักซ์ ทาวน์โฮม แนวคิดใหม่ ที่พัฒนาขึ้นมาภายใต้คอนเซ็ปต์ BALANCE IS ABOUT… SERENITY IN URBAN LIFESTYLE “ชีวิตสมดุล” ระหว่าง “ชีวิตเมือง” และ “ความสงบผ่อนคลาย” ที่ต้องการผสานความสมดุลระหว่าง “Space of Home” และ “The Convenience
สีสันที่แตกต่าง นอกจากจะสามารถถ่ายทอดอารมณ์ที่หลากหลาย มันยังสามารถสะท้อนตัวตนของใครสักคนออกมาผ่านสีที่โดดเด่นได้เช่นกัน และสกู้ตเตอร์ที่เปี่ยมไปด้วยสีสันอย่าง VESPA ก็พร้อมที่จะบ่งบอกเรื่องราว รวมถึงสไตล์ของผู้ที่เป็นเจ้าของออกมาได้อย่างชัดเจนตั้งแต่แรกเห็น ซึ่งในวันนี้ UNLOCKMEN x VESPA จะพาทุกคนไปพบกับตัวตนของ ‘ปอง – อภิชา สุขสังข์’ ชายหนุ่มเจ้าของธุรกิจส่วนตัว ที่มีสไตล์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร โดยได้แรงบันดาลใจมาจากความชื่นชอบในเสียงเพลงแนว Ska, Punk Rock, Pop Punk รวมถึงการได้ดูภาพยนตร์ Quadrophenia ทำให้เริ่มนิยมชมชอบใน Culture Mods แล้วศึกษาต่อเนื่องไปถึงเรื่องราวของ Spirit Of 69 จนทำให้จิตวิญญาณขบถชัดเจนในตัวตนนั้นถูกหล่อหลอมเอาไว้ในตัวผู้ชายคนนี้ และหากจะให้แทนตัวเองด้วยสีสักหนึ่งสี เขาคนนี้ได้เลือกสีเหลือง YELLOW SOLE ของ VESPA PRIMAVERA S 150 i-Get ABS TOURING เป็นสิ่งแทนตัว เพราะนอกจากจะสื่อถึงความสดใสที่ไม่ยึดติดต่อกฎเกณฑ์ใด ๆ สีเหลืองในมุมมองของผู้ชายคนนี้ยังเปรียบเสมือนแสงอาทิตย์อ่อน ๆ ที่สาดส่องลงมาเพื่อให้ชีวิตมีพลังเดินหน้าต่อไป ส่วนความหลงใหลใน VESPA ของ ‘ปอง
ช่วงนี้ข่าวคราวในวงการฟุตบอลคงไม่มีอะไรร้อนแรงไปกว่าการย้ายมาร่วมทีม Manchester City ของ Erling Braut Haaland ที่เซ็นสัญญามาค้าแข้งในถิ่นเอติฮัด สเตเดียม นานถึง 5 ปี พร้อมด้วยค่าเหนื่อยที่คาดว่าน่าจะได้รับราว ๆ 5 แสนปอนด์/สัปดาห์ มากกว่า Cristiano Ronaldo และ Mohammed Salah ซะอีก การตัดสินใจของทีมเรือใบสีฟ้าในครั้งนี้ก็เพราะต้องการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนตำแหน่งกองหน้านับตั้งแต่ Kun Aguero ย้ายออกจากทีมไป (แต่ก็ยังอุตส่าคว้าแชมป์ได้) ดังนั้นการตัดสินใจทุ่มเงินกระชากตัว Erling Haaland กองหน้าชาวนอร์เวย์ วัย 21 ปี จากทีม Borussia Dortmund จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะสถิติการทำประตูของเขานั้นบอกได้เลยว่าโหดบรรลัย! ความเก่งกาจของ Erling Haaland มันไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน มันมาจากประสบการณ์ที่ถูกถ่ายทอดมาผ่านทางสายเลือดและความชอบฟุตบอลที่ฝัรากลึกลงถึงชั้น DNA สายเลือดนักกีฬา เขาเกิดมาในครอบครัวของนักกีฬาโดยแท้จริง เพราะนอกจากคุณพ่อของเขาแล้ว ยังมีคุณทวดนามว่า Gabriel Hoyland ก็เป็นฟุตบอลเช่นกัน รวมไปถึงคุณแม่ก็เป็นนักกีฬากรีฑาผสมอีกด้วย หลาย
ความเจ็บปวดและความโศกเศร้าเป็นสิ่งที่กระทบกับจิตใจเรา คงไม่มีใครอยากเผชิญหน้ากับมัน แต่สัจธรรมคือเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันไปไหนได้เพราะความทุกข์ย่อมมาคู่กับความสุขเสมอ แต่การสะสมความเจ็บปวดไว้ในตัวเรามากเกินไปสุดท้ายมันจะส่งผลกระทบไปสู่อาการอันไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ เช่น ความเครียด, นอนไม่หลับ, วิตกกังวล อาจจะเป็นต้นตอของการเกิดสภาวะซึมเศร้าได้เช่นกัน ทุกคนต้องเจอกับความเจ็บปวด สิ่งที่แตกต่างคือการรับมือกับมันของแต่ละคน หากเราพยายามจะหนีจากมัน ความเจ็บปวดจะยิ่งติดอยู่ในความทรงจำ เราจะไม่มีทางลืมหรือสลัดมันหลุดไปได้ แต่หากเราเลือกที่จะเผชิญหน้ากับมัน ร้องไห้ออกมา แล้วหาทางแก้ปัญหาไม่ให้เราต้องเจ็บปวดจากสาเหตุเดิม ๆ อีก เราจะเอาชนะและก้าวข้ามความเจ็บปวดนั้นไปได้อย่างถาวร เหมือนกับตอนเราเป็นเด็ก เราวิ่งหกล้มเป็นแผล เรารู้สึกเจ็บ แม้ผู้ใหญ่จะมาปลอบเราด้วยการบอกว่า ไม่เจ็บหรอกนะ เดี๋ยวก็หาย แต่เราก็รู้ดีว่ามันเจ็บ การพยายามหลอกความรู้สึกจึงเป็นเรื่องที่ไรประโยชน์ เราควรรีบไปล้างแผล ปฐมพยาบาล และพยายามไม่หกล้มแบบเดิมอีก การหลอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ไม่เจ็บ หรือการหาทางออกเช่นการดื่มเหล้า เล่นยา เพื่อให้ลืมความเจ็บปวดนั้นไป มีแต่จะยิ่งสร้างบาดแผลให้ตัวเองเจ็บปวดมากขึ้น ส่งผลให้เกิดผลกระทบในระยะยามตามมา ดังนั้นการเผชิญหน้าเพื่อรับมือและแปรเปลี่ยนความเจ็บปวดนั้นให้เป็นส่ิงที่มีประโยชน์ต่อตัวเราเองกันดีกว่า แปรรูปความเจ็บปวดด้วยงานศิลปะ หนึ่งในอาชีพที่สามารถเปลี่ยนความเจ็บปวดให้กลายเป็นงานศิลปะได้ดีที่สุดก็คือ “ศิลปิน” ไม่ว่าจะเป็นนักดนตรี, นักแต่งเพลง, นัดวาดภาพ, นักเขียนหนังสือบทกวี หรือแม้กระทั่งนักเขียนนวนิยาย พวกเขาสามารถแปรเปลี่ยนห้วงอารมณ์อันมืดมนจนกลายเป็นผลงานที่ช่วยบรรเทาจิตใจ ต่อยอดจนเกิดเป็นการสร้างรายได้ในที่สุด เรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่พูดกันลอย ๆ เพราะจากบทสัมภาษณ์ในหลาย ๆ
Sriracha Sauce อีกหนึ่งบทเรียนของคนไทยในเรื่องการจดสิทธิบัตร
นาทีนี้คงไม่มีผู้ชายไทยคนไหนเนื้อหอมไปกว่า เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยอีกแล้ว เนื่องจากจำนวน ส.ส. ประมาณ 50 ที่นั่ง (อย่างไม่เป็นทางการ) ที่พรรคภูมิใจไทยมีอยู่ในมือถือเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะตัดสินอนาคตประเทศไทยว่าจะไปในทิศทางไหน แต่ไม่ว่าเสี่ยหนูจะเลือกฝ่ายไหน ก็ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่าเขาและพรรคภูมิใจไทยจะได้จัดตั้งรัฐบาล ดังนั้นนโยบาย ‘กัญชาเสรี ปลูกได้บ้านละ 6 ต้น’ ที่ทุกคนรอคอยก็ใกล้ความจริงเข้าไปอีกขั้นแล้ว ว่าแต่กัญชามันปลูกยังไงล่ะ? เนื่องจากที่ผ่านมาในประเทศไทยกัญชาจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 มาโดยตลอด ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรชนิดนี้จึงไม่แพร่หลายนัก แต่ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่หนุ่ม ๆ สายเขียวจะกลายเป็นเกษตรกรไปด้วยกัน เลือกเมล็ดพันธุ์ สำหรับนักปลูกหน้าใหม่ชาวไทย การเลือกเมล็ดพันธุ์คือสิ่งสำคัญที่สุด เนื่องจากสภาพอากาศบ้านเราแตกต่างจากประเทศฝั่งตะวันตกที่ปลูกกัญชากันอย่างแพร่หลายอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเราเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ไม่เข้ากับสภาพอากาศมา ความพยายามในขั้นตอนต่อไปก็อาจจะสูญเปล่า สิ่งต่อมาที่ต้องพิจารณาคือความเหมาะสมของเมล็ดพันธุ์กับสถานที่ปลูก เพราะบางสายพันธุ์เติบโตได้ดีในที่ปิด บางสายพันธุ์เติบโตได้ดีในที่โล่ง นอกจากนั้นก็แล้วแต่รสนิยมของคุณแล้วว่าชอบการออกฤทธิ์ของสายพันธุ์ไหนและสายพันธุ์ไหนเข้ากับคุณที่สุด สภาพแวดล้อมพื้นฐาน น้ำ: เช่นเดียวกับพืชชนิดอื่น กัญชาต้องการน้ำเพื่อการเจริญเติบโต ในกรณีที่ปลูกกลางแจ้ง ถ้าพื้นที่ที่คุณปลูกมีปริมาณน้ำฝนเพียงพอ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องน้ำ แต่ถ้าปลูกในปริมาณมาก คุณก็จำเป็นต้องหาน้ำจากแหล่งอื่นมาเสริม น้ำคือสื่อที่นำพาสารอาหารล่อเลี้ยงต้นกัญชา นอกจากนั้นยังถูกใช้เพื่อล้างระบบไฮโดรโพนิก ค่า pH ของน้ำมีความสำคัญมาก เครื่องวัดค่า pH จึงเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้ปลูกกัญชา อุณหภูมิ: กัญชาเป็นพืชที่แข็งแรงมาก
มาดูชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่ลาออกจากมัธยมด้วยเหตุผลที่ว่า “ผมจะไปไล่ล่าความฝัน”
ว่ากันว่า ‘สีสัน’ คือสิ่งที่บ่งบอกตัวตน / ความหลงใหล / สไตล์ / รวมไปถึงบุคลิกของแต่ละคน และสกู้ตเตอร์ที่เปี่ยมไปด้วยสีสันอย่าง VESPA ก็พร้อมที่จะสะท้อนตัวตนและเรื่องราวในทุกแง่มุมของผู้เป็นเจ้าของเช่นกัน ซึ่งในวันนี้ UNLOCKMEN x VESPA จะพาทุกคนไปพบกับ ‘เต้ – ศรัณย์ ทับทิม’ ผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณา และผู้ก่อตั้ง Vespa Jersey Club ที่รวมเอารูปทรง สไตล์ สีสันอันเป็นเอกลักษณ์ของเสื้อบอล มาผสานกับความคลาสสิกของ VESPA แล้วสะท้อนออกมาผ่านกลุ่มเพื่อนที่ใส่เสื้อบอลขี่ VESPA ไปไหนไปกันได้อย่างสนุกสนานน่าติดตาม โดยจุดเริ่มต้นของการจับเอาเสื้อบอลมาใส่ขี่ VESPA นั้นมาจากสไตล์ส่วนตัวของผู้ชายคนนี้ ที่สนุกสนานไปกับการแต่งตัวที่มีสีสัน โดยไม่สนเซฟโซนว่าจะต้องคุมโทนด้วยสีขาว-ดำเสมอไป เพราะลึก ๆ รู้สึกว่าสีสันมันสามารถสะท้อนตัวตนที่แตกต่างของแต่ละคนได้ อีกทั้งยังเพลิดเพลินกับการนำเอาสไตล์วินเทจ / สตรีท และ สปอร์ต มา MIX & MATCH กัน ด้วยความเชื่อที่ว่าทุกอย่างสามารถผสมผสานกันได้หมด รวมถึงการตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมสไตล์ที่ชอบไม่ได้ถูกนำเสนอออกไปจนกลายมาเป็นแรงผลักดันในการตัดสินใจรวมกลุ่มเพื่อนมาใส่เสื้อบอลวินเทจ พร้อมออกท่องเที่ยวไปกับ
ความท้าทายของความรักว่ากันว่าไม่ใช่แค่ตอนคบกันใหม่ ๆ แต่มันเป็นช่วงที่ผ่านพ้นช่วงเวลาโปรโมชั่นไปต่างหาก เพราะมันจะเป็นระยะที่เราจะได้รู้จักตัวตนของกันและกัน เราจะได้เห็นข้อดีและข้อเสียแบบที่ไม่ต้องมานั่งสร้างภาพกันอีกต่อไป ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่คอยชี้วัดได้เลยว่าชีวิตคู่ของเราจะมีความสุขหรือความทุกข์ ในเคสที่คุณแฮปปี้มันก็ดีไป แต่ถ้าเจอในเคสที่แย่ คุณก็มีหน้าที่ที่ต้องแก้ไขปัญหาเพื่อทำให้ความสัมพันธ์เดินต่อไปได้ด้วยวิธีต่าง ๆ เหล่านี้ ทะเลาะต้องเคลียร์ การใช้ชีวิตคู่ย่อมต้องเจอเรื่องหงุดหงิดใจมากมายที่นำไปสู่การทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ และโดยมากมักจะคิดว่าสุดท้ายมันจะคลี่คลายผ่านพ้นไปได้ด้วยดี จึงปล่อยปัญหาเอาไว้แบบนั้นโดยไม่จัดการอะไร แต่จริง ๆ แล้วในบางครั้งมันกลับกลายเป็นความเครียดที่สะสมแอบซ่อนอยู่ข้างหลังเพราะคุณไม่ได้จัดการเคลียร์ความรู้สึกดังกล่าวให้มันชัดเจน คุณต้องลองกลับมามองเจาะลึกเข้าไปว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นที่เป็นปมอยู่ในใจมันทำให้เรารู้สึกห่างไกลความสัมพันธ์กับคู่รักของเราหรือไม่? คุณทนมันได้จริง ๆ หรือเปล่า? มันได้ดึงเอาความรู้สึกดี ๆ ของคุณออกไปด้วยหรือไม่? หากคุณคบกันผ่านไปหลายปี แต่มักจะมีการขุดเอาปัญหาดังกล่าววนเวียนกลับมาทะเลาะกัน และต่างคนต่างไม่มีใครเปลี่ยนตัวเองซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้น ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ เราแนะนำให้คุณลุกขึ้นมาแก้ไขปัญหาคาราคาซังที่เคยเป็นปมทะเลาะกันบ่อย ๆ อย่าปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทนที่เพราะมันจะช่วยอะไรไม่ได้แน่นอน สังเกตจากคำพูด สิ่งหนึ่งที่บ่งบอกความสัมพันธ์ที่ไม่โอเค บางครั้งมันก็ออกมาจากคำพูดโดยไม่รู้ตัว อย่างเช่น “เธอแม่งทำตัวเรื่องมากจนชินแล้วล่ะ” “เดี๋ยวครั้งหน้าเธอก็คงมาสายเหมือนเดิมอีกนั่นแหละ” “คนอื่นคบกันคงไม่มีปัญหานี้เหมือนกับเราหรอกมั้ง” หากมีชุดความคิดนี้หลุดปากเราออกมาบ่อย ๆ มันเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าคุณไม่ได้มีความสุขกับชีวิตคู่ เพราะมันแฝงไปด้วยความรู้สึกด้านลบที่กดทับความสุขของเราเอาไว้จนต้องระบายออกมาในบทสนทนาโดยไม่รู้ตัว หากเราเจอเหตุการณ์แบบนี้ควรรีบจัดการแก้ไขโดยทันทีก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ลง อารมณ์ร้อนไม่ใช่เรื่องดี จริงอยู่ที่การทะเลาะกันของคู่รัก จากเรื่องเล็ก ๆ
เคยใช่ไหม? ที่ต้องมานั่งรู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่ได้ยินหรือพบเห็นคำนินทา บางครั้งก็ทำให้เรามานั่งสงสัยว่าเราไปทำอะไรให้เจ็บแค้นเคืองโกรธขนาดนั้นเลยหรอ? บางครั้งมันก็ลุกลามทำให้เราเครียด จนสูญเสียความมั่นใจในการใช้ชีวิต เพราะต้องมาคอยนั่งระแวดระวังว่าจะถูกใครด่าใครนินทาบ้าง เล่นเอาเสียความเป็นของตัวเองไปเลย หากคุณกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เหล่านั้น และยังหาทางออกไม่ได้ ลองมาดูวิธีรับมือพวกปากหอยปากปูเพื่อกู้ความสุขเราให้คืนกลับมาจากทาง Unlockmen กันดีกว่าครับ ช่างแม่ง หลักการแรกพูดง่าย ๆ แต่ทำยากคือการ “ปล่อยวาง” หรือจะให้พูดแบบภาษาเข้าใจง่ายกว่านั้นคือ “ช่างแม่ง” เพราะชีวิตเรามันเรื่องปกติอยู่แล้วที่จะได้พบเจอคำนินทาต่าง ๆ นานา ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เหมือนกับชาวพุทธศาสนิกชนที่ชอบพูดกันว่า “แม้แต่พระพุทธเจ้า ยังโดนนินทา” ดังนั้นเราก็ไม่ควรไปให้ค่า ไม่ไปสนใจเสียงพวกนี้เลย คิดซะว่าเหมือนเสียงนกเสียงกาเสียงหมาเห่า พอเหนื่อยเดี๋ยวก็หยุดกันไปเอง หากเราสามารถใช้วิธีการปล่อยวางได้ จิตใจของเราก็จะแข็งแกร่งมากขึ้น แถมมีภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับเรื่องน่ารำคาญใจด้วยเช่นกัน ฟ้องร้อง เอาให้หนัก แม้เราจะสามารถปล่อยวางเป็น แต่เรื่องบางเรื่องเราก็ไม่ควรปล่อยผ่านเพราะถ้าหากคำนินทาหรือใส่ร้ายทำให้เราเสื่อมเสียเกียรติ ชื่อเสียง หรือมีผลกระทบกับองค์กรณ์ของเรา วิธีการฟ้องโดยใช้กฏหมายเล่นงานดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด หากเรามีหลักฐานชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นโพสต์ต่าง ๆ บนโซเชียลเนตเวิร์ก, ข้อความตามแชทส่วนบุคคล หรืออะไรก็แล้วแต่ที่สามารถอ้างอิงเป็นข้อมูลยืนยันได้ เราก็ดำเนินการแจ้งความฟ้องหมิ่นประมาทกับทางสถานีตำรวจ ก่อนจะส่งต่อให้ทนายช่วยดูแลเคสและตามมาด้วยเข้าสู่กระบวนการของศาลในที่สุด แม้อาจจะเป็นวิธีที่เสียเวลา แต่นี่คือการฟาดกลับอย่างถูกต้อง สะใจ แถมอาจจะได้ค่าเสียหายกลับมาใช้เล่น ๆ อีกด้วย อย่าลืมให้พรบ.คอมให้คุ้มค่า