“ทำไมมึงคิดแบบนี้วะ โคตรโง่ มันต้องคิดแบบกูถึงจะถูกโว้ย” ทุกคนน่าจะเคยสัมผัสกับ Mr. Know-it-all มาแล้ว ไม่ว่าจะคนรอบข้าง และที่สำคัญคือโลกออนไลน์ คนที่แสดงความคิดเห็นเหมือนรู้จริง รู้ทุกอย่าง ความคิดของเขาคือความถูกต้องที่สุด ใครเห็นด้วย เราคือเพื่อนกัน ใครเห็นต่างคือคนโง่เง่าไร้สมอง ซึ่งคนประเภทนี้สามารถเรียกได้อีกอย่างว่า “Opinionated People” การเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วของ Opinionated People มาจากโลก Social Media ที่ทุกคนแสดงความคิดได้อย่างอิสระและรวดเร็วแค่ปลายนิ้วพิมพ์ ไม่มีการจ้องตาเผชิญหน้า ทำให้เกิดระยะห่างที่รู้สึกปลอดภัย นำไปสู่การแสดงความคิดเห็นแบบไม่ต้องคิด วิเคราะห์ แยกแยะ แถมเป็นศูนย์รวมของคนแปลกหน้า จึงไม่ต้องกังวลถึงผลกระทบที่จะตามมา ทำให้ทุกวันนี้มีการแสดงความคิดเห็นที่นำไปสู่การโต้เถียงที่ไร้ประโยชน์ เพราะตัวของพวกเขานั้น ไม่รับฟังความคิด ไม่ได้เข้าใจที่มาที่ไปของแต่ละไอเดีย Mr. Know-it-all ชอบแสดงตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนั้น ๆ จากประสบการณ์ในโลกแคบ ๆ ที่เติบโตขึ้นมา โดยลืมไปอย่างสิ้นเชิงว่าโลกภายนอกยังมีความจริงในมุมอื่น ๆ อีกมากมาย แม้ตัวเขาจะไม่รู้จริง แต่ก็จะไม่พยายามทำความเข้าใจ เพราะการยอมรับว่าตัวเองผิดนั้น จะทำให้พวกเขาดูเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา และทำลายความมั่นใจในตัวเองที่พวกเขามีอยู่จดหมดสิ้น พวกเขาจึงเลือกที่จะหาเรื่อง เปลี่ยนเรื่อง หรือล้อเลียนเมื่อมีคนอธิบายข้อมูลอีกด้าน แทนที่จะเปิดใจรับฟัง
เคยตั้งคำถามกับตัวเองหรือไม่ว่า เราเกิดมาเพื่อจะเป็นแบบคนอื่นหรืออยากจะเป็นตัวของตัวเอง ถ้าคำตอบของคุณคือการเป็นตัวเอง สิ่งเหล่านั้นมันก็จะสะท้อนออกมาจากแนวคิด, การใช้ชีวิต แฟชั่น รวมไปถึงไลฟ์สไตล์ ไม่เว้นแม้แต่วงการรถจักรยานยนต์ มีอยู่หลาย ๆ คนเลือกที่จะนำรถคันโปรดไปผ่านการคอสตอมจนได้ดีไซน์ออกมาแตกต่างจากใคร ๆ บนท้องถนน และอาจจะมีแค่คนเดียวในโลกด้วยซ้ำ ซึ่งร้านที่ได้รับการยอมรับและได้รับความไว้วางใจในการปรุงแต่งเปลี่ยนโฉมในบ้านเราคงต้องยกให้กับ K-Speed คุณเอก หรือคุณธนดิษ สาระเวก คือเจ้าสำนัก K-Speed ที่ซึมซับความชื่นชอบรถจักรยานยนต์มาตั้งแต่วัยเด็ก คุณเอกได้เล่าให้ฟังถึงจุดกำเนิดแพชชั่นไว้ดังนี้ “ผมคลุกคลีกับรถบิ๊กไบค์มาตั้งแต่ช่วงเรียนมัธยม ตัวเองก็ขี่มอเตอร์ไซด์มาตั้งแต่ช่วง 14-15 แล้ว มีคุณพ่อทำธุรกิจนำเข้ารถเก่าของญี่ปุ่นเข้ามาขายในบ้านเราด้วย ทำให้เราได้ซึมซับความชื่นชอบมาเรื่อย ๆ คอยศึกษาดูการแต่งรถจากพวกหนังสือ จนได้มาเริ่มลองแต่งรถด้วยตัวเองตามหนังสือจากประเทศญี่ปุ่น แต่สุดท้ายเราก็ต้องมานั่งหาลายเซ็นของตัวเองจนทำมันออกมาได้สำเร็จครับ” K-SPEED สถานที่สำหรับชาว 2 ล้อ แต่กว่าที่คุณเอกจะกลายเป็นมือวางอันดับ 1 ในการ Custom รถจักรยายนต์ เริ่มแรกเลยร้าน K-Speed เปิดเป็นร้านจำหน่ายอะไหล่สำหรับตกแต่งมาก่อน ซึ่งดำเนินกิจการภายใต้แบรนด์ Diablo มาตั้งแต่ปี 2002 จนมาถึงปัจจุบัน และมีวางจำหน่ายกระจายไปทั่วโลก จนกระทั่งเมื่อช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมาจึงมาเริ่มงาน Custom
ถ้าย้อนเวลากลับไปเมื่อซัก 10 กว่าปีก่อน หากเราต้องการหาร้านสกรีนเสื้อก็คงต้องนีกถึงย่านหลังสนามศุภชลาสัย (สนามกีฬาแห่งชาติ) เป็นที่แรก แต่ภายหลังได้มีการพัฒนาที่ดินให้กลายเป็นลักษณะศูนย์การค้ามากยิ่งขึ้น ทำให้ร้านละแวกนี้หายไปหลายร้าน แต่ก็ยังคงมีบางส่วนที่ยังคงเปิดให้บริการ และร้าน Bluescreen T-Shirt คือหนึ่งนั้น โดยย้ายจากที่ตั้งเดิมมาอยู่บนถนนบรรทัดทอง ซี่งปัจจุบันร้านนี้ก็อยู่ยาวนานมาเกือบ 20 ปีแล้ว และที่สำคัญเป็นร้านสกรีนเสื้อที่ศิลปินระดับประเทศไว้ใจให้ผลิตลายลงบนเสื้อก่อนจะส่งตรงไปถึงมือของบรรดาแฟนเพลง คุณพง คือเจ้าของร้านของ Bluescreen T-Shirt จบการศึกษาสาขาออกแบบดีไซน์มาโดยตรง และเป็นคนที่มีความชื่นชอบเสื้อยืดเป็นพิเศษ ชอบที่จะศึกษาดีเทลต่าง ๆ ของมัน รวมไปถึงชอบศิลปะลวดลายที่ถูกสกรีนผ่านบล็อกลงบนเสื้อ จนออกไปสู่สายตาของคนทั่วไป ประกอบกับแนวคิดของตนเองว่า “เสื้อยืดคือของคู่กายกับทุกคน ทุกคนต้องใส่ทุกวันอยู่แล้ว เพราะมันใส่ง่าย ไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไรเยอะ ไม่ต้องรีดก็ยังใส่ได้เลยครับ” เมื่อประกายไฟจุดติด ความคิดและไอเดียต่อยอดในการสร้างธุรกิจจากสิ่งที่ชอบก็เกิดขึ้น คุณพงจึงตัดสินใจเริ่มต้นสร้างอาชีพด้วยการเปิดร้านสกรีนชื่อขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า Bluescreen T-Shirt โดยเริ่มต้นจากร้านเล็ก ๆ อยู่ในตึกแถวแบบห้องเดียว ในช่วงแรกลูกค้าต่าง ๆ ก็ยังไม่ได้มีเข้ามาเยอะแยะมากมาย ทำให้ต้องต่อสู้กับปัญหาอะไรหลาย ๆ อย่าง แต่วันหนึ่งคุณพงก็ได้ไปเจอลูกค้ากลุ่มใหม่ พวกเขาเหล่านั้นคือ “นักดนตรีอินดี้” “ตอนเปิดร้านช่วงแรก ๆ มีศิลปินอินดี้ที่จะเอาเสื้อไปขายงาน
มังงะญี่ปุ่น เป็นวัฒนธรรมที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ผู้ชายอย่างเราได้เรียนรู้ความเป็นลูกผู้ชายจากการ์ตูนสไตล์ High school delinquent manga หรือนักเรียนนักเลงสายต่อยตี แย่งชิงความเป็นที่หนึ่งในญี่ปุ่นมามากมายนับไม่ถ้วนตั้งแต่เด็กยันโต ภายใต้ความรุนแรงนั้น ก็มีเรื่องของศักดิ์ศรี ความเป็นผู้นำ ความรักพวกพ้อง ที่ล้วนแลกมาด้วยกำปั้น บาดแผล และน้ำตา สิ่งที่ปัจจุบันแถบจะหาในชีวิตจริงไม่ได้ วันนี้เราจึงขอหยิบตัวละครบางตัวที่เราชอบมากที่สุด มาตีแผ่ความเป็นลูกผู้ชายที่เราสามารถเรียนรู้และนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง จากมังงะนักเรียนนักเลงโคตรมันส์ระดับคลาสสิคที่หยิบมาเมื่อไหร่ก็อ่านได้ยาว ๆ ทุกครั้ง BOUYA HARUMICHI – CROWS “Crows” หรือชื่อภาษาไทยว่า “เรียกข้าว่าอีกา” มังงะแนวโชเน็นที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก จนถูกต่อยอดไปอีกภาค ไม่ว่าจะเป็น “Worst” เรื่องย่อยที่เจาะตัวละครอย่าง “Linda Man” รวมไปถึงต่อยอดเป็นภาพยนตร์ Live Action และซีรีส์ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้มังงะเลยแม้แต่น้อย “โบยะ ฮารุมิจิ” เด็กใหม่ที่ย้ายเข้ามาสู่โรงเรียนซูซูรันกลางคัน โรงเรียนอีกาที่ไม่เน้นเรื่องเรียน แต่พากเพียรเรื่องต่อยตี มันเปรียบเสมือนการเข้าสู่สมรภูมิแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของโบยะ เพราะเขาเริ่มปะทะเบา ๆ ตั้งแต่วันแรกที่เข้าโรงเรียนจนถูกพักการเรียน หลังจากนั้นสหะบาทาก็พุ่งเข้าหาอย่างไม่หยุดไม่หย่อน แต่ก็ไม่มีใครหยุดยั้งความเก่งกาจของโบยะลงได้ ทำให้เขาได้ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1
หลังจากที่สัปดาห์ที่แล้วเราได้พาทุกคนไปรู้จัก “Bosozoku Bike Siam” กลุ่มคนผู้นำการแต่งรถอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวญี่ปุ่นเข้ามาโลดแล่นในบ้านเรา และในวันนั้นเองทำให้เราได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่าในประเทศไทยก็มีอู่แต่งรถ Bosozoku เกิดขึ้นมาแล้วเช่นกัน ซึ่งเจ้าของอู่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ คุณแพท สมาชิกกลุ่ม Bosozoku Bike Siam ที่อยู่กับเราในบทความที่แล้วนั่นเอง ในปัจจุยังเป็นเจ้าของอู่แต่งรถที่ชื่อว่า “KU Garage” หรือ “กู การาจ” ตั้งอยู่ย่านคลอง 2 ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกรุงเทพ ที่นี่สามารถเนรมิตรถสไตล์ Bosozoku ได้ทุกรูปแบบตั้งแต่ต้นจนจบ สำหรับคนที่สนใจ เรามาเรียนรู้ขั้นตอนและวิธีการจากคุณแพทไปพร้อม ๆ กันได้เลยครับ จุดเริ่มต้นของ KU GARAGE จุดเริ่มต้นมาจากการทำ Custom รถชอปเปอร์ ซึ่งคุณแพทเองก็เคยขี่รถชอปเปอร์มาก่อนด้วยเช่นกัน เขาได้นำความรู้ที่สั่งสมประสบการณ์มาบรรจงสร้างรถจักรยานยนต์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมไปถึงการสร้างเฟรมและตัวถังขึ้นมาใหม่ด้วยตนเอง และด้วยการศึกษาหาความรู้อย่างไม่หยุดหย่อน ก็พาคุณแพทให้ได้มาเจอการแต่งรถสไตล์ Boso มันคือความแปลกใหม่ที่ปลุกความท้าทายในฐานะคนแต่งรถให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากนั้นคุณแพทก็เริ่มติตต่อไปทางคุณนนท์ ซึ่งเป็นคนไทยคนแรก ๆ ที่เอาจริงจังในวัฒนธรรม Bosozoku แถมยังมีประสบการณ์การไปเยือนแก๊งรถดังกล่าวถึงประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว จึงได้คำปรึกษาและคำแนะนำดี ๆ มามากมาย ได้รู้จักรุ่นพี่ที่ขี่รถสไตล์นี้
เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงมีชีวิตดี ทำธุรกิจอะไรก็ประสบความสำเร็จ ในขณะที่บางคนทำอะไรก็ให้ผลตอบแทนไม่งอกเงยเท่าที่ควร มีผลวิจัยทำสถิติระบุว่า เรื่องนี้อาจอยู่ที่พฤติกรรมการใช้ชีวิตและมุมมองวิธีคิดของแต่ละคน เช่นคนที่มักจะรายล้อมตัวเองด้วยคน Toxic หรือมองความท้าทายเป็นปัญหาที่ไม่กล้าจะก้าวเท้าออกไปเผชิญหน้ากับมัน วันนี้ UNLOCKMEN จึงอยากมาแนะนำพฤติกรรมที่ควรปรับเปลี่ยน เพื่อที่จะช่วยให้ทุกคนประสบความสำเร็จในชีวิตในการใช้ชีวิตได้มากขึ้น คบคนพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตพาไปหาผล ดูเหมือนว่าคนรอบตัวจะมีอิทธิพลต่อความสำเร็จมากกว่าที่เราคิด ถ้าเราอยู่ร่วมกับคนเก่ง เราจะกลายเป็นคนที่เก่งขึ้น ถ้าเราอยู่กับคนขี้แพ้ เราอาจกลายเป็นคนขี้แพ้ไปด้วย งานวิจัยที่ใช้เวลากว่า 25 ปีของ Dr. David McClelland อาจารย์และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า ปัจจัยนึงที่ส่งผลต่อความสำเร็จของเราได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ กลุ่มอ้างอิง (reference group) หรือกลุ่มคนที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วย พูดคุยด้วย หรือ ทำงานร่วมกันเป็นประจำ คนกลุ่มนี้ส่งผลต่อตัวเราทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนที่เราเลือกคบนั้นจะมีอิทธิพลต่อเราในทุกด้าน Warren Buffet เคยพูดว่าความสำเร็จเกิดขึ้นจากการใช้เวลาร่วมกับคนที่ดีกว่าตัวเอง เลือกเพื่อนที่มีพฤติกรรมดีกว่าเรา เราจะอยากผลักดันตัวเองให้มีพฤติกรรมที่ดีขึ้นไปด้วย ดังนั้น เราควรมีเพื่อนเก่ง ๆ อย่างน้อยสักหนึ่งคนที่สามารถขอคำแนะนำหรือคำปรึกษาในยามที่เกิดปัญหา ในขณะเดียวกัน ตัวเราเองก็ต้องมีความพร้อมในการมองเห็นและยอมรับปัญหาของตัวเอง เพื่อที่จะได้พัฒนาศักยภาพให้ดีขึ้นได้แบบ inside-out เรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ คนที่ประสบความสำเร็จมักจะหาความรู้ใส่ตัวตลอดเวลา เพราะเทคโนโลยีและความรู้ในโลกเปลี่ยนแปลงและพัฒนาเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อคุณหลงใหลและชื่นชอบอะไรบางอย่างมาก ๆ มันจะมีพลังที่จะทำให้คุณยอมทุ่มสุดตัวเพื่อแลกกับสิ่งเหล่านั้นให้ได้มาครอบครอง ประโยคนี้สามารถเห็นภาพได้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งกับกลุ่ม Bosozoku Bike Siam กลุ่มผู้นำวัฒนธรรมการขับขี่รถจักรยานยนต์ของประเทศญี่ปุ่นข้ามน้ำข้ามทะเลมาสู่ท้องถนนในประเทศไทย พวกเขามาพร้อมสไตล์การแต่งรถที่ถอดแบบจากแดนปลาดิบมาทุกตารางนิ้ว ทุกเอกลักษณ์ถูกถ่ายทอดมาจากความรักและแพชชั่นที่มีต่อ Bozosoku Bosozoku Bike Siam ได้ส่ง นนท์ (Kawasaki zephyr 400), โน (Kawasaki zephyr 750), จักร (Honda cb650 Custom) และแพท (Kawasaki zephyr 400) 4 ตัวแทนมาร่วมถ่ายทอดความสุดให้ชาว UNLOCKMEN ได้ทำความรู้จักพวกเขากับบทสัมภาษณ์ในครั้งนี้ครับ จุดเริ่มต้นความชื่นชอบ BOSOZOKU นนท์ : เริ่มแรกมาจากการอ่านการ์ตูน แล้วแบบเฮ้ยมันมีหรอวะ มันมีจริง ๆ หรือเปล่า พอโตขึ้นมาก็เลยศึกษาดู และเห็นรุ่นพี่ที่สุพรรณทำก็เลยติดต่อเขาไป เริ่มคุยกัน จนสุดท้ายได้ไปซื้อจากทางที่ญี่ปุ่นกลับมาทำที่ไทย โน: จุดเริ่มต้นแรกมาจากการบ้ามอเตอร์ไซค์ญี่ปุ่น เมื่อก่อนจะบ้ารถโกดัง รถสี่สูบเรียง, Superfour พอมาวันหนึ่งเราอ่านการ์ตูนมาก ๆ
เวลาขับเครื่องบิน นักบินอาจเจอกับปัญหาที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิดได้ เช่น เจอเครื่องบินอีกลำหนึ่งบินสวนมา หรือ อากาศแปรปวนกระทันหัน ถ้านักบินตัดสินใจแก้ปัญหาเหล่านี้ช้าเกินไป อาจทำให้เกิดการสูญเสียได้ พวกเขาจึงต้องมีสกิลในการตัดสินใจและแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากพอสมควร UNLOCKMEN อยากมาแนะนำเทคนิคที่ชื่อว่า OODA Loop ซึ่งเป็นเทคนิคที่ทหารอากาศใช้ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เจอตอนขับเครื่องบิน แต่เทคนิคนี้สามารถนำไปใช้กับเรื่องอื่นได้เช่นกันอย่างการแก้ปัญหาในที่ทำงาน OODA Loop เป็นเทคนิคในการตัดสินใจอย่างรวดเร็วของ John Boyd พันเอกประจำกองทัพอากาศสหรัฐในตำนานที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1927 – 1997 และได้ผลิตผลงานชิ้นโบว์แดงออกมามากมาย เช่น การสร้างทฤษฎี Energy-Maneuverability (EM) ที่เป็นต้นกำเนิดของเครื่องบินรบ F15 และ F16 หรือ การเขียนผลงาน Aerial Attack Study ที่นับว่าเป็น ไบเบิ้ลของการต่อสู้ทางอากาศที่ปฎิวัติวงการกองทัพอากาศทั่วโลก เป็นต้น เทคนิคนี้ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อรับมือกับ ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ของโลก เพราะมนุษย์ไร้ความสามารถในการเข้าใจข้อมูลทุกอย่างอย่างสมบูรณ์แบบ เราจึงต้องตัดสินใจในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน หรือ ตัดสินใจด้วยข้อมูลที่มีความกำกวมอยู่เสมอ OODA Loop จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือในการก้าวข้ามเรื่องเหล่านี้ ทุกวันนี้ OODA Loop ถูกนำไปใช้ในหลายด้าน
หากจะย้อนไปพูดถึงวงร็อกที่ได้รับความนิยมในช่วงยุค 2000’s ที่โดดเด่นมากมายหลายสิบวง หนึ่งในวงเหล่านั้นต้องยกให้ Ebola วงที่นำเสนอความหนักหน่วงที่ติดพ่วงมาตั้งแต่สมัยอันเดอร์กราวน์ ก่อนจะปรับเปลี่ยนซาวด์เพื่อการเติบโตในวงการดนตรีไทย และอีกสิ่งที่ทุกคนต่างพูดถึง ก็คือเสียงสำรอกสุดทรงพลังของชายที่ชื่อว่า “เอ๋ กิตติศักดิ์ บัวพันธุ์” หรือ “เอ๋ Ebola” ชายผู้ไล่ตามความฝันบนเส้นทางสุดเกรี้ยวกราดของดนตรีมาโดยตลอด ชายผู้ตัดสินใจไปทำงานร้านขายซีดีตามไอดอล และยังเป็นชายที่รวบรวมสมาชิกวงร็อกชื่อดังให้เกิดขึ้นมาจนโด่งดังไปทั่วประเทศ เรามาทำความรู้จักผู้ชายคนนี้ให้มากขึ้น กับมุมมองที่หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนกันครับ กลับสู่จุดเริ่มต้นกับชีวิตวัยเยาว์ “เท่าที่จำได้เป็นเด็กทั่ว ๆ ไป ครับ เรียนหนังสือใช้ชีวิตปกติ เราจะใช้ชีวิตเรียบง่าย คุณพ่อผมชอบร้องเพลงมาก เขาจะมีวงที่โรงพยาบาลของเขา ชอบซ้อมดนตรีกัน ผมก็ได้ไปกับพ่อบ่อย ๆ ก็อาจจะได้ซึมซับการเป็นนักร้องจากคุณพ่อมาก็ได้ แล้วคุณพ่อชอบเก็บแผ่นเสียง เช่นพวกวง The Beatles, Led Zeppelin วงสมัยก่อนที่เขาฟังกัน ส่วนวงไทยก็เยอะหน่อยพวกเทปคาสเซตเช่น บรั่นดี, คีรีบูน แต่คุณพ่อจะชอบร้องเสียงแบบ คุณลุงธานินทร์ อินทรเทพ มันก็อาจจะกลายเป็นความชอบติดตัวมาในความเป็นนักร้องครับ” “ส่วนช่วงเรียนที่ผมชอบที่สุดคือการเป็นนักฟุตบอล ผมชอบการ์ตูนเรื่องซึบาสะมาก อินจนแบบว่าทุกเช้าวันเสาร์อาทิตย์ผมกับน้องชาย (โอ๋ มือกีตาร์ Ebola)
แม้จะเป็นสัปดาห์แห่งวันหยุดแล้ว แต่หลายคนอาจกำลังอยู่หน้าจอคอมหรือมือถือตรวจสอบ Inbox จากอีเมล์ที่ทำงานอยู่ บางคนอาจกังวลว่าจะมีงานด่วนเข้ามารึเปล่า หรือ กลัวว่าจะพลาดการตอบอีเมล์สำคัญไป ส่งผลให้พวกเขาต้องหมั่นเช็คอีเมล์อยู่ตลอดเวลา อาการนี้มีชื่อเล่นว่า Email Anxiety และเป็นอาการที่ทำร้ายเราได้มากกว่าที่คิด มันจะทำให้เราเครียดแม้ในวันหยุด และขัดขวางการพักผ่อนของเรา UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำวิธีรับมือกับอาการนี้ให้อยู่หมัด Email Anxiety เกิดขึ้นได้อย่างไร ในช่วงที่เราต้องทำงานอยู่บ้าน เราอาจซัฟเฟอร์กับ Email Anxiety ได้ง่ายขึ้น เพราะการเปลี่ยนวิธีทำงาน มาทำงานที่บ้าน อาจทำให้หลายบริษัทเริ่มจู้จี้กับพนักงานมากขึ้น จนหลายคนเริ่มมีเวลาทำงานที่ไม่แน่นอน และสูญเสียความสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิต (work-life balance) ไป สุดท้ายสภาพจิตใจของพวกเขาก็ตกอยู่ในอันตราย เมื่อเราไม่รู้ว่าเวลาไหนควรหยุดดูอีเมล์จากที่ทำงาน เราจะไม่สามารถคลายความเครียดและความกังวลเรื่องงานไปได้ เพราะเราจะรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้สนใจเรื่องงานตลอดเวลา จนใกล้จะถึงเวลานอนแล้ว เราอาจกำลังดูอีเมล์อยู่ก็เป็นได้ นอกจากนี้ Email Anxiety สามารถเกิดขึ้นได้จากการทำงานของสมอง เช่น ความต้องการอยากทำงานให้สำเร็จ พอเราตรวจสอบอีเมล์จากที่ทำงานเสร็จ สมองจะหลั่งฮอร์โมนโดปามีนซึ่งทำให้เราเกิดความรู้สึกดี เราจึงอยากดูอีเมล์ตลอดเวลา แต่ในความเป็นจริง อีเมล์อาจไม่ได้เข้ามาในเวลางานเสมอไป หรือ บางวันอีเมล์งานอาจเยอะมากเกินเราจะเช็คหมดในวันเดียว เพราะฉะนั้น การไล่ตามอีเมล์ตลอดเวลา จึงมีแต่ทำให้เรารู้สึกเครียดกังวล