การจบบทสนทนานับเป็นสกิลที่ผู้ชายทุกคนควรมี เพราะผู้ชายอย่างเราต้องเข้าสังคม และทักษะการจบบทสนทนาจะช่วยให้เราสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคนอื่นได้ แต่หลายคนคงพบว่าการจบบทสนทนาเป็นเรื่องยากมาก เพราะไม่รู้ว่าควรจะตัดจบยังไงให้ดูไม่น่าเกลียด UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำเทคนิคการจบบทสนทนาอย่างสมูท โดยไม่ทำให้อีกฝ่ายต้องเสียความรู้สึก มีเป้าหมายที่ชัดเจน เวลาจะไปพบใครก็ตาม เราควรจำไว้เสมอว่าเราไปพบกับเขาเพื่ออะไร เช่น ต้องการหาคู่ หรือ ต้องการเจรจาทางธุรกิจ การตั้งเป้าหมายจะช่วยให้เรารู้ว่าควรพูดคุยกับอีกฝ่ายประมาณไหน ป้องกันการพูดหรือฟังมากเกินไป จนจบบทสนทนาได้ยาก แถมยังช่วยให้เรากล้าตัดสินใจมากขึ้นด้วย ถ้าเราเจอกับสถานการณ์ที่ต้องทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รอจนบทสนทนาเริ่มสงบ รอสัญญาณจากอีกฝ่ายที่แสดงให้เห็นว่าบทสนทนากำลังจะจบลงแล้ว ซึ่งสัญญาณมักมาในรูปแบบของคำพูด เช่น “อืม” “โอเค” หรือ “เออ” เป็นต้น คำเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มหมดเรื่องที่จะพูดกับเราแล้ว และเราสามารถใช้โอกาสนี้ในการเปลี่ยนเรื่องคุย หรือ ตัดจบบทสนทนาที่กำลังเกิดขึ้นได้ จบด้วยเป้าหมายในการสนทนา เราควรยึดเป้าหมายในการสนทนาตั้งแต่ต้นจนจบบทสนทนา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าตอนแรกเราขอคำแนะนำจากเพื่อนเรื่องคลาสที่น่าเข้าเรียน เราอาจออกจากบทสนทนาโดยใช้ประโยคจบที่เชื่อมกับเป้าหมายในตอนแรก เช่น “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ เราจะลงเรียนวิชานี้ให้ทันในเทอมหน้า” เป็นต้น จบด้วยการขอบคุณ ไม่ว่าคุณจะสนทนากับใคร หากต้องการจบบทสนทนาอย่างสุภาพ ควรจบด้วยการขอบคุณเสมอ เช่น ขอบคุณที่อีกฝ่ายสละเวลามาคุยกับเรา หรือ บอกกับอีกฝ่ายว่าการพูดคุยในครั้งนั้นสนุกมากแค่ไหน เป็นต้น
เราสามารถคิดมากได้ทุกที่ทุกเวลา นอน ๆ อยู่ เราก็สามารถคิดถึงคนรักเก่าในอดีต หรือ กลัวเรื่องการทำงานพลาดขึ้่นมา ซึ่งความกังวลที่แสนจะไร้เหตุผล และดูไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนี้ เรามักเรียกกันว่าเป็น Free Floating Anxiety ซึ่งถ้ามันเกิดขึ้นบ่อย ก็อาจเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางการทำงานและการใช้ชีวิตของได้เหมือนกัน Free Floating Anxiety คือ ความไม่สบายใจที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว โดยความรู้สึกนี้อาจถูกกระตุ้นโดยสิ่งของหรือสถานการณ์บางอย่าง ยกตัวอย่างเช่น อยู่ดี ๆ เราก็เกิดกังวลเรื่องการ pitch งาน หรือ การสอบที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ขึ้นมา เป็นต้น อาการนี้มักเกิดขึ้นร่วมกับ อาการวิตกกังวลทั่วไป (Generalized Anxiety Disorder หรือ GAD) และทำให้เราเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ กังวล หรือ ตื่นตระหนก และใช้ชีวิตประจำวันได้ยากเย็นมากขึ้น ดังนั้น หากเกิดอาการนี้ถี่และบ่อยการพบจิตแพทย์ก็เป็นทางเลือกหนึ่ง คนที่เป็น Free Floating Anxiety มักวิตกกังวลมากจนขาดสมาธิในการใช้ชีวิตและการทำงาน มักรู้สึกกลัวเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและรู้สึกตื่นตระหนกอยู่ตลอดเวลา แถมยังรู้สึกว่าตัวเองเครียดจนนอนไม่หลับบ่อย และมีปัญหาเรื่องความเหนื่อยล้าอีกด้วย ปัญหานี้จึงแย่ต่อเรามากพอสมควร อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครอธิบายได้ว่า
ตอนนี้การลงทุนในทรัพย์สินดิจิทัล เช่น สกุลเงินคริปโต (Cryptocurrency) กำลังเป็นเทรนด์ยอดฮิตที่หลายคนให้ความสนใจ บางคนอาจซื้อเหรียญคริปโต เช่น Bitcoin หรือ Ethereum เก็บไว้รอเกร็งกำไรในอนาคต หรือ บางคนอาจลงทุนใน GameFi และใช้มันในการทำรายได้ให้ตัวเอง แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนดิจิทัลแบบไหนก็ควรระวังสิ่งที่เรียกว่า ‘เสพติดการลงทุนในสกุลเงินคริปโต’ (Cryptocurrency Addiction) ซึ่งเป็นอาการที่ทำให้ชีวิตของเราย่ำแย่ลงได้เหมือนกัน Cryptocurrency Addiction เกิดขึ้นได้อย่างไร เนื่องตลาดซื้อขายคริปโตไม่มีตัวกลาง (เช่น ธนาคาร) ที่ทำหน้าที่ดูแลการทำธุรกรรมของคนในตลาด การซื้อขายเงินสกุลนี้สามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ราคาของสกุลเงินคริปโตจึงผันผวนได้ง่ายกว่าการลงทุนประเภทอื่น กล่าวคือ ในเวลาเพียงแค่เสี้ยววินาที เราอาจได้รับเงินจำนวนมหาศาล และสูญเสียเงินจำนวนมหาศาลได้ นอกจากนี้เป็นตลาดที่เปลี่ยนแปลงง่ายแล้ว มันยังเป็นตลาดที่เปิดแบบไม่มีวันหยุด และเปิดตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้หลายคนเสพติดการลงทุนในคริปโตไม่ต่างจากการเสพติดการพนัน หากใครสงสัยว่าตัวเองเสพติด ลองเช็คดูว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่ ได้แก่ เสียเวลาไปกับการเทรดคริปโตมากเกินไป เช็คและกังวลเรืองราคาของหรียญตลอดเวลา จนลืมเรื่องงาน หรือ การทำกิจกรรมอื่นไป มีหนี้สิ้นสะสม หรือ เจอกับปัญหาด้านการเงิน เนื่องจากการเทรดคริปโต โกหกคนรอบตัวเรื่องพฤติกรรมการเทรดคริปโต อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย (mood swing)
เชื่อว่า ณ ช่วงเวลานี้ ในขณะที่หลายคนต่างมุ่งมั่นกับการฝ่าฟันเส้นทางชีวิตเพื่อไปให้ถึงฝั่งฝัน คงมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เผลอมองข้ามการให้เวลากับครอบครัวไปโดยไม่ได้ตั้งใจ และเนื่องในโอกาสวันพ่อ UNLOCKMEN x NISSAN TERRA จึงอยากหยิบยกเรื่องราวของ ‘เคนจิ-วันสว่าง’ หนุ่มนักธุรกิจมากไอเดีย ที่กำลังสนุกอยู่กับแบรนด์เสื้อผ้า RYLL & CO ที่เป็นพื้นที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคุณพ่อผ่านภาพถ่ายแฟชั่นเสื้อผ้าเซ็ตพ่อลูกสุดเฟี้ยวชนิดที่ไม่ต้องสืบว่าความเท่นี้ได้จากใครมา กับไอเดียเริ่มต้นที่มีเหตุผลง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน เพราะแค่อยากชวนคุณพ่อมาหาอะไรทำแก้เหงา และอยากทำลายขอบเขตเส้นแบ่งการใช้ชีวิตระหว่างการทำธุรกิจที่วุ่นวาย ไปพร้อม ๆ กับการได้ใช้เวลากับคุณพ่อให้มากที่สุดก็เท่านั้น ซึ่งแนวคิดของผู้ชายคนนี้เป็นอีกหนึ่งมุมมองดี ๆ ที่สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้ใครอีกหลายลุกขึ้นมาวางแผนจัดสรรตารางชีวิตใหม่เพื่อใช้เวลากับคนสำคัญข้างกายได้มากขึ้น ติดตามเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกสุดมันส์ ที่สะท้อนนิยามคำว่า LIKE FATHER, LIKE SON ออกมาได้อย่างเข้มข้นชัดเจนไปพร้อม ๆ กันได้เลย :: ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น :: “จริง ๆ แล้วตอนวัยรุ่นอายุ 20 กว่า ๆ เราก็ไม่ค่อยอยู่กับพ่อหรอก เราเที่ยวเยอะ ปาร์ตี้บ่อย แต่พอเริ่มเข้า 30 ก็ให้ความสำคัญกับครอบครัวมากขึ้น เพราะเราอยู่บ้านกับพ่อแค่ 2
ภาพจำของการฟังเทศน์ฟังธรรมในวัดโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นคงจะนึกถึงความน่าเบื่อชวนง่วง แลดูเป็นกิจกรรมของผู้สูงอายุ แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับการฟังธรรมะที่ผ่านออกมาจากความครีเอทีฟของพระมหาไพรวัลย์ การดึงศัพท์แปลกใหม่ในโลกของโซเชียล มีเดีย มาปรับใช้ให้เข้ากับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จนเกิดเป็นกระแสที่พูดถึงในวงกว้างโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่หันมาสนใจศาสนามากขึ้นอย่างน่าตื่นเต้น และได้เปลี่ยนจากการฟังเทศน์ที่ต้องเข้าวัดเป็นมาเป็นในแฟนเพจผ่านการ Live แทน อะไรที่ทำให้พระมหาไพรวัลย์ทำได้ขนาดนี้ UNLOCKMEN มีคำตอบมาให้แล้วครับ สภาพ! จุดเริ่มต้นของการห่มจีวร “จริง ๆ ต้องบอกว่าเริ่มต้นตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว ตอนนั้นจบจากประถม วิธีการแบบคนชนบทสมัยก่อน ถ้าเขาไม่มีเงินที่จะส่งลูกเรียนต่อในระดับมัธยมหรือระดับอุมศึกษา เขาก็จะให้ลูกบวช คนสมัยก่อนเขาจะเรียกว่า ‘บวชเรียน’ ก็เลยเข้าสู่การบรรพชาเป็นเณรตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงทุกวันนี้” “แล้วตอนแรกไม่ได้เคยคิดเลยว่าจะบวชมานานขนาดนี้ อาตมาคิดว่าปกติพระหรือเณร 100 รูป จะมีซัก 90 รูป ที่ไม่ได้คิดว่าจะบวชยาว พระเณรส่วนใหญ่บวชเพื่อศึกษาในช่วงหนึ่ง ตอนนี้มันมีโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญ มาบวชกันแล้วก็ได้เรียน เรียนจบก็สึกออกไปหางานทำกัน อาตมาก็เป็นหนึ่งในนั้น ไม่ได้คิดเลยว่าจะอยู่ยาวขนาดนี้ ก็คิดว่าเรียนไปเรื่อย ๆ ตอนเด็ก ๆ มันก็เรียนไปไม่ได้คิดอะไร แม่บอกให้มาบวชเราก็บวช แม่ก็กำชับมาว่าให้ตั้งใจเรียน เราก็เรียน หน้าที่มีแค่นั้นเอง หลักสูตรคณะสงฆ์มันตั้ง 8 ปี เรียนนักธรรม-บาลี
หลายคน พอยิ่งโต อาจยิ่งควบคุมอารมณ์ได้เก่งขึ้น แต่ก็มีบางคนเหมือนกันที่ถูกมองว่าเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา เพราะพวกเขาชอบทำอะไรตามใจ และไม่ค่อยคิดถึงผลของการกระทำของตัวเอง สุดท้ายพวกเขาก็ตัดสินใจได้แย่อยู่เสมอ จนเกิดผลเสียต่อตัวเองและคนรอบข้าง เราเรียกพฤติกรรมหุนหันพลันแล่นว่า ’Impulsivity’ ซึ่ง UNLOCKMEN ได้นำวิธีป้องกันพฤติกรรมดังกล่าวมาฝากทุกคนด้วย อะไร คือ Impulsivity นักจิตวิทยาใช้คำว่า ‘Impulsivity’ ในการอธิบายพฤติกรรมลงมือทำอะไรบางอย่างโดยไม่คิดถึงผลลัพธ์ที่ตามมา เช่น การเสียเงินให้กับสิ่งล่อตาล่อใจได้ง่าย หริอ เดินข้ามถนนโดยไม่มองซ้ายมองขวา เป็นต้น พฤติกรรมเหล่านี้มักส่งผลเสียต่อเราและคนรอบข้าง เพราะการทำอะไรแบบไม่ยั้งคิด อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ไม่คาดฝันได้ เช่น การสูญเสียคนรัก การสูญเสียเงินโดยใช้เหตุ หรือ การเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน เป็นต้น Impulsivity เกิดขึ้นได้กับทุกคนโดยเฉพาะกับเด็กที่ยังไม่ค่อยมีวุฒิภาวะมากนัก และสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ความผิดปกติของสมองส่วน Prefrontal Cortex ซึ่งเกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลในการตัดสินใจ การสืบทอดความผิดปกติทางกรรมพันธ์ุ สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเกิด Impulsivity ไปจนถึงความผิดปกติทางจิตประเภทต่าง ๆ เช่น ภาวะอารมณ์สองขั่ว โรคสมาธิสั้น (ADHD) ภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่ง (BPD) รวมไปถึง ความผิดปกติในการควบคุมตัวเอง
มาทำความรู้จักกับ Alex Turner หัวหอกวงลิงซน ที่เขาว่ากันว่าเป็นอัจฉริยะของการเขียนเพลง
หลายคนรู้สึกผูกพันกับคนที่อยู่ด้วยกันมานานและทำอะไรหลายอย่างร่วมกันมามากมาย โดยไม่ได้เผื่อใจว่าสักวันหนึ่งเขาอาจเปลี่ยนไปจากคนดีกลายเป็นคนที่ทำร้ายเราตลอดเวลา และในเวลานั้น การเดินออกจากความสัมพันธ์จะกลายเป็นเรื่องยาก เพราะอีกฝ่ายอยู่ในชีวิตของเรามานานเกินไปแล้ว เพราะเวลาทำให้ความสัมพันธ์มันแข็งแรง ต่อให้เราโดนทำร้ายมากแค่ไหนก็ตาม เราก็ยังรู้สึกสงสารหรือความหลงใหลแบบหน้ามืดตามัว จนยอมอดทนให้เขาทำร้าย และไม่เดินออกจากความสัมพันธ์เสียที หรือ พอตัดสินใจว่าจะเลิกกับเขาแล้ว พอได้ยินว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ (ซึ่งอีกฝ่ายมักพูดไม่จริง) เราก็เกิดอาการใจอ่อน และไม่มูฟออนอยู่เหมือนเดิม เราเรียกความสัมพันธ์แบบนี้ว่าเป็น Trauma Bonding ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดีต่อใจของเราเลย เพราะมันทำให้เกิดความเครียด และความทรมานทางจิตขั้นสูง ถ้าเป็นไปได้ เราควรหันหลังให้ความสัมพันธ์แบบนี้ และเดินออกมาให้เร็วที่สุด Trauma Bonding เกิดขึ้นอย่างไร ความสัมพันธ์ประเภทนี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ มันอาจเกิดขึ้นเพราะเราเข้าใจเหตุผลของผู้ทำร้ายและเกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมา หรือ เรากลัวการถูกทำร้ายอีกในอนาคต และรู้สึกว่าการหนีออกมาไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัย จึงเลือกที่จะทำให้สิ่งที่จะหนีจากสิ่งที่ตัวเองเผชิญหน้าอยู่ โดยการมองหาข้ออ้างให้การกระทำของพวกเขาถูกต้อง และทำให้การอยู่ในความสัมพันธ์เป็นเรื่องสมเหตุสมผลมากขึ้น นอกจากนเรื่องของจิตใจแล้ว ฮอร์โมนบางตัวก็ทำให้เราเสพติดการอยู่กับคนที่ทำร้ายเราได้เหมือนกัน เช่น ‘โดปามีน’ ที่มักหลั่งออกมาหลังจากที่เราคืนดีกันแล้ว หรือ ‘ออกซิโทซิน’ ที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสคนที่ทำร้ายเรา ฮอร์โมนเหล่านี้อาจทำให้เราเสพติดการอยู่อีกฝ่าย จนไม่ยอมถอยออกมาจากความสัมพันธ์สักที สัญญาณว่าเรากำลังอยู่ใน Trauma Bonding คนที่กำลังอยู่ใน Trauma Bonding มักจะรู้สึกผูกพันหรือรักอีกฝ่ายมาก จนเชื่อว่าพฤติกรรมรุนแรงของอีกฝ่ายเป็นเรื่องที่มีเหตุผล
ความสัมพันธ์มักเป็นสิ่งที่รักษาเอาไว้ได้ยาก หากเราหรือคนที่เรารักไม่มีความมั่นคงทางอารมณ์ และแสดงพฤติกรรมที่คาดเดาได้ยากอยู่ตลอดเวลา อาการนี้มักเกิดขึ้นกับคนที่เป็นโรคไบโพลาร์ การอยู่ร่วมกับพวกเขาจึงต้องใช้ความรู้และความเข้าใจในอาการป่วยมากพอสมควร ถึงจะรับมือกับพฤติกรรมที่เกิดจากความแปรปวนทางอารมณ์ของพวกเขาได้อย่างอยู่หมัด UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำวิธีการรักษาความสัมพันธ์ให้อยู่ได้ยาวนาน เมื่อเราหรือแฟนเป็นโรคไบโพลาร์ ความหมายของโรคไบโพลาร์ โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) หรือ Manic Depression คือ อาการเจ็บป่วยทางจิตที่เกิดขึ้นได้จากความไม่สมดุลของสารเคมีในสมองอันมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของฮอร์โมนหรือกรรมพันธ์ุ ส่งผลให้คนมีอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้ป่วยจะมีอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ หรือที่เรียกกันว่ามี ‘อารมณ์สองขั้ว’ โดยช่วงหนึ่งผู้ป่วยจะมีความสุขมากและเปี่ยมไปด้วยความกระกระตือรือร้นในการทำสิ่งต่าง ๆ แต่อีกช่วงหนึ่งพวกเขาจะรู้สึกแย่ เสียใจ สิ้นหวัง ท้อแท้ ช่วงที่ผู้ป่วยมีความสุขมักจะเรียกกันว่า แมเนีย (Mania) ผู้ป่วยจะรู้สึกตื่นเต้น มีความหวัง รู้สึกกระฉับกระเฉง และมีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก จนพวกเขาสามารถตัดสินใจทำเรื่องต่าง ๆ ได้โดยไม่ยั้งคิด นอกจากนี้พวกเขาอาจมองเห็นภาพหลอน หรือ ได้ยินเสียงที่ไม่มีจริงอีกด้วย ถ้าเป็นอาการเมเนียแบบไม่รุนแรงมาก เรามักเรียกกันว่าเป็น ไฮโปแมเนีย (Hypomania) โดยผู้ป่วยจะไม่มองเห็นภาพหลอนหรือได้หูแว่ว และอาการป่วยไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ส่วนช่วงเวลาแห่งความทุกข์ เราจะเรียกว่า ซึมเศร้า (Depressive) โดยผู้ป่วยจะรู้สึกซึมเศร้าหรือโศกเศร้าอย่างหนัก
นักเตะที่เก่งกาจ อาจจะไม่ใช่ผู้จัดการทีมที่เก่งกาจข้างสนาม คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดที่ไม่เกินเลยความจริง มีนักเตะระดับตำนานหลาย ๆ คนที่ล้มเหลวไม่เป็นท่ากับตำแหน่งนี้ แต่ก็มีไม่น้อยที่ก้าวข้ามขีดจำกัดด้วยสมองอันปราดเปรื่องจนสามารถประสบความสำเร็จในตำแหน่งผู้จัดการทีมได้ หนึ่งในนั้นคือ “อันโตนิโอ คอนเต้” แม้จะประสบความสำเร็จในฐานะนักเตะกับทีมยูเวนตุสอย่างยิ่งใหญ่ พาทีมกวาดแชมป์ได้ถึง 14 รายการตลอดระยะเวลาที่รับใช้ทีมม้าลาย 13 ปีเต็ม ๆ แต่เส้นทางการเป็นผู้จัดการทีมของคอนเต้กลับไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะมันเลวร้ายย่ำแย่ถึงขนาดทำทีมตกชั้นก็เคยมาแล้ว แต่ทุกอุปสรรคทุกย่างก้าว ล้วนเป็นประสบการณ์ให้คอนเต้ได้ขัดเกลาฝีมือของตัวเองให้กลายมาเป็นผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ในโลกของฟุตบอล ล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้น คอนเต้ได้รับโอกาสชิมลางในการเป็นผู้จัดการทีมด้วยตำแหน่งผู้ช่วยกับทีมเซียน่าในฤดูกาล 2005-2006 ซึ่งเขาทำงานร่วมกับ ลุยจิ ดิ คานิโอ ที่เป็นเฮดโค้ช ณ เวลานั้น แต่การเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมของคอนเต้กลับมาไวเกินคาด ในเดือนกรกฎาคมปี 2006 เขาได้รับโอกาสคุมทีมอเรซโซ่ ในซีเรียบี แต่การเริ่มต้นกลับต้องเจอความล้มเหลวอย่างรวดเร็วเช่นกัน เขาใช้เวลาคุมทีมเพียงแค่ 3 เดือนอก็ถูกไล่ออกจากผลงานทำทีมชนะได้เพียง 1 นัดจาก 12 เกมส์ แม้สุดท้าย อเรซโซ่ จะตัดสินใจดึงคอนเต้กลับมาคุมทีมอีกครั้งเพื่อกู้วิกฤติหนีตายจากโซนตกชั้น แต่เรื่องจริงก็ไม่เหมือนนิยาย เพราะคอนเต้ทำภารกิจไม่สำเร็จ ทีมของเขาต้องหล่นไปสู่ซีเรียซี 1 (ระดับดิวิชั่น 3) นับเป็นการเริ่มต้นที่น่าวิตกกังวลมากเลยทีเดียว ความสำเร็จแรกในฐานะผู้จัดการทีม