ผิวของมนุษย์เราอุดมไปด้วยน้ำมัน และแบคทีเรีย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมันจะถูกชะล้างออกไปเมื่อเราอาบน้ำ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนเราถึงรู้สึกว่าต้องอาบน้ำทุกวัน แต่อันที่จริงแล้วตามหลักวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้อง การอาบน้ำบ่อย ๆ จะทำให้กลไกการสร้างน้ำมันบนผิวกายเกิดความไม่สมดุล (UNLOCKMEN) ซึ่งก็เคยมีผลวิจัยถึงความมหัศจรรย์ของผิวหนังที่สามารถชะล้างทำความสะอาดได้ด้วยตัวเอง แต่ถึงกระนั้นสำหรับอากาศร้อนอย่างบ้านเราจะปล่อยเซอร์ไม่อาบน้ำเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เราจึงไปค้นผลวิจัยเพิ่มเติมที่จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาในห้องน้ำมากยิ่งขึ้นโดยการอาบน้ำแบบไม่ต้องพึ่งสบู่ในการอาบน้ำให้เปลืองเวลา น้ำร้อนสามารถแทนสบู่ได้ เราเข้าใจว่าหลังจากฝ่าฟันอากาศอันแสนร้อนในแต่ละวัน ช่างเป็นเรื่องที่แสนน่าเบื่อ ซึ่งพอกลับถึงบ้านเราก็อยากจะโดนน้ำเย็น ๆ เพื่อให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น แต่ในทางกลับกันหากคุณเปลี่ยนจากอาบน้ำเย็นจัดมาเป็นน้ำร้อนนอกจากร่างกายของคุณจะได้ผ่อนคลายแล้ว น้ำร้อนยังสามารถกำจัดสิ่งสกปรกได้อีกด้วย เพียงแค่ขัดขี้ไคลออกให้หมดจด ร่างกายคุณก็สะอาดราวถูสบู่แล้ว เมื่อเลิกใช้สบู่ผิวก็ดีขึ้นทันตาเห็น คนที่อาบน้ำถูสบู่มาก ๆ จะทำให้ผิวหนังขาดความสมดุลย์ที่นำไปสู่ผิวแห้งกร้าน เพราะสารเคมีต่าง ๆ ที่มีอยู่ในสบู่ล้วนเป็นสารเร่ง และขจัดน้ำมันออกจากผิวได้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังหลายคนก็ยืนยันแล้วว่า มนุษย์เราสามารถอาบน้ำโดยใช้เพียงน้ำเปล่าสะอาดล้างก็เพียงพอ โดยไม่ต้องกลัวตัวเหม็นแต่อย่างใด ประหยัดเงิน และเวลา อย่างแรกเลยคือคุณไม่ต้องเสียเงินค่าสบู่ แม้มันก็อาจจะไม่ได้แพงอะไรมากมาย แต่หากคุณใช้สบู่ในการอาบน้ำมาก ๆ แล้ว สิ่งที่ตามมาคือผิวแห้ง และเมื่อผิวของคุณแห้งก็ต้องใช้ไปซื้อครีมโลชั่นบำรุง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีราคาค่อนข้างสูง ดังนั้นทำไมเราไม่แก้ที่ต้นเหตุคือการใช้สบู่ให้น้อยลงเพราะนอกจากจะประหยัดเงินแล้ว ยังช่วยประหยัดเวลาในการเข้าห้องน้ำที่ไม่ต้องมานั่งเสียเวลาถูสบู่ และล้างออกอีก นี่ก็เป็นข้อมูลที่ทีมงานได้นำมาฝากหนุ่ม ๆ ทุกคน เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ ของมนุษย์ผู้ชายสายวิ่งผ่านน้ำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น
“รอยสัก” ศิลปะบนเรื่องร่างมนุษย์ที่คนจำนวนไม่น้อยต่างหลงใหล แต่อะไรที่อยู่เบื้องหลังคนทำงานศิลปะอย่าง “ช่างสัก” แรงบันดาลใจใดที่ขับเคลื่อนให้พวกเขามาอยู่ตรงนี้ ความกดดันกับการสรรค์สร้างศิลปะที่จะอยู่บนเรือนร่างผู้คนไปชั่วชีวิตทำให้ความคิดของพวกเขาหมุนวนไปทางใด วันนี้ UNLOCKMEN ชวน บอลและดุ่ย ช่างสักจาก St.Martin Tattoo Studio มาพูดคุยกันยาว ๆ เพื่อให้ได้บรรยากาศและการพูดคุยเจาะลึกเป็นกันเอง UNLOCKMEN บุกเข้าไปถึงตรอกข้าวสาร สถานที่ที่ St.Martin Tattoo Studio ตั้งอยู่ท่ามกลางร้านสักอีกหลายร้านและร้านรวงอื่น ๆ บรรยากาศแห่งความหลากหลายและสีสันของตรอกข้าวสารยิ่งกระตุ้นเร้าให้การสัก น้ำหมึก ศิลปะบนเรือนร่างดูมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เมื่อเดินทางไปถึง St.Martin Tattoo Studio เราจึงไม่รอให้ความสงสัยคุกรุ่นในตัวเราอยู่นาน เราเริ่มยิงคำถามกับช่างสักมากฝีมือ 2 คนนี้อย่างรวดเร็ว UNLOCKMEN: แนะนำตัวกับชาว UNLOCKMEN หน่อย บอล: ผมชื่อเล่นชื่อบอลครับ แล้วก็ทำงาน tattoo ทำงานสักได้ทั้ง bamboo และ machine ทั้งสองอย่างอยู่ที่ St.Martin Tattoo Studio ข้าวสารครับ ดุ่ย: ชื่อดุุ่ยนะครับ ทำงานเป็นช่างสักอยู่ที่ St.Martin Tattoo Studio
“โรคซึมเศร้า” กลับมาเป็นเรื่องเด่นประเด็นร้อนอีกครั้งเมื่อข่าวไลฟ์โค้ชชื่อดังท่านหนึ่งไล่ผู้ป่วยซึมเศร้าให้ “ไปตายซะ!” โดยอ้างว่าเป็นการทดสอบว่าผู้ป่วยท่านนั้นเสแสร้งแกล้งทำหรือเปล่า? ไม่รู้ว่าไลฟ์โค้ชชื่อดังเป็นจิตแพทย์ที่มีความรู้ความสามารถในการวินิจฉัยตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่สถานะของไลฟ์โค้ชที่มีคนเชื่อถืออยู่มากอาจสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาการของโรคซึมเศร้ามากขึ้นกว่าที่เป็น เนื่องจากโรคซึมเศร้าก็เป็นโรคที่มักมีคนเข้าใจอะไรผิด ๆ เป็นประจำอยู่แล้ว ผู้ชายอย่างเราจะตกเป็นเหยื่อของข้อมูลผิด ๆ เหมือนคนอื่นไม่ได้ และเพื่อการรับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องเอาไว้แบ่งปันคนอื่นได้อีก วันนี้ UNLOCKMEN เลยเอา 7 ความเข้าใจผิด ๆ เรื่องโรคซึมเศร้าที่คนมักเชื่อกัน แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่แบบนั้น! ผู้ชายอกสามศอกเขาไม่ซึมเศร้ากันหรอก! จำไว้เลยว่าทุกคนมีโอกาสเผชิญหน้ากับภาวะซึมเศร้า ไปจนถึงโรคซึมเศร้า ไม่เว้นแม่แต่ผู้ชายอย่างเรา! โรคซึมเศร้าไม่ได้มานั่งเลือกว่าเพราะคุณเป็นผู้หญิงคุณถึงอ่อนแอและเป็นโรคนี้ คุณเป็นผู้ชายที่เข้มแข็งกว่า คุณไม่มีสิทธิ์เป็นโรคนี้หรอก ดังนั้นหยุดความเข้าใจผิด ๆ นี้ ถ้าคุณรู้สึกแย่เกี่ยวกับตัวเอง การยอมรับตัวเองและพาตัวเองไปพบจิตแพทย์ก็ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นเรื่องเข้มแข็งต่างหากที่คุณกล้ายอมรับและพร้อมเยียวยาสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต โรคซึมเศร้าเป็นเรื่องของคนที่จิตใจอ่อนแอ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความอ่อนแอทั้งสิ้น นี่คือความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง เหมือนที่เรามีความสุข สมองก็หลั่งสารที่ทำให้เรามีความสุขออกมาเราถึงรู้สึกเช่นนั้น โรคซึมเศร้าก็เช่นกันเพราะสารสื่อประสาทที่ควบคุมอารมณ์เศร้า หดหู่ หมองหม่นของเราดันทำงานผิดปกติ หลั่งมันออกมามากเป็นพิเศษ เราถึงเกิดความเศร้าในปริมาณที่มากผิดปกติ ไม่ได้เกี่ยวกับความอ่อนแอของจิตใจแต่อย่างใด คนเป็นโรคซึมเศร้าต้องเคยผ่านเรื่องแย่ ๆ ร้าย ๆ มาเท่านั้น เราอาจเชื่อว่าผู้ป่วยซึมเศร้าต้องผ่านเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดในชีวิตมา หรือมีวัยเด็กที่ย่ำแย่สุด ๆ
เชื่อหรือไม่ว่าในโลกของเรายังมีอาชีพแปลก ๆ ที่ออกมาตอบสนองความหลากหลายและรสนิยมของมุนษย์ เพียงแต่เราอาจไม่คิดว่ามันมีอยู่จริง อาทิ นักรับจ้างโบกรถ ผู้ทดสอบเตียงนอน หรือนักชิมไอศครีม อย่างไรก็ตามอาชีพที่เราได้กล่าวมาข้างต้นอาจจะดูเรื่อยเปื่อย และเอาจริงเอาจังกับชีวิตไม่ได้ไปเสียหน่อย แต่อาชีพดังต่อไปนี้ที่ UNLOCKMEN จะมาแนะนำรับรองว่าผู้ชายหลาย ๆ คนต้องอยากส่งเรซูเม่ไปสมัครอย่างแน่นอน Ferrari Driving Instructor สำหรับตำแหน่งนี้คุณจะได้ขับรถรถเฟอร์รารี่หล่อ ๆ ไปทั้งวัน ซึ่งหน้าที่ขอบเขตงานก็ไม่มีอะไรยาก แค่ต้องคอยสอน และแนะนำมือใหม่ที่จะมาซื้อรถหรู หรือมาสมัครเรียนขับรถภายในโรงเรียนส่วนตัวของเฟอร์รารี่ ซึ่งคุณจะได้เงินเดือนเป็นค่าตอบแทนราว ๆ $120,000 (4ล้านบาท) ต่อปี แต่ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถสมัครงานในตำแหน่งนี้ได้ อย่างน้อยคุณต้องมีดีกรีระดับหนึ่ง เพราะผู้ที่ได้รับตำแหน่งนี้ส่วนใหญ่ล้วนผ่านการแข่งรถอาชีพมาแล้วแทบจะทั้งนั้นอาทิ Anthony Lazzaro อดีตนักขับ NASCAR Video Gamer ใครบอกว่าการเล่นเกมไม่มีประโยชน์ต้องคิดใหม่ เพราะนอกจากโปรแกรมเมอร์ผู้ผลิตเกมแล้ว คนที่ชื่นชอบการเล่นเกมเป็นชีวิตจิตใจ ก็มีตำแหน่งที่เรียกว่าวิดีโอเกมเมอร์ ซึ่งจะมีหน้าที่คอยเล่นเกมอย่างเดียวเพื่อหาจุดบกพร่องในเกม และนำไปให้โปรแกรมเมอร์พัฒนาเกมต่อไป ค่าตอบแทนสำหรับวิดีโอเกมเมอร์ก็ไม่ใช่น้อย ๆ นอกจากการเล่นเกมแล้ว พวกเขายังสามารถเข้าแข่งขันเพื่อชิงเงินรางวัลมาประดับไว้ส่วนตัว ตัวอย่างเช่น Peter Dager เซียนเกม Dota
คำว่า คนเพี้ยน คนบ้า อาจจะทำให้เรานึกถึง คนที่เดินไปมาอยู่ข้างถนน แต่งตัวเซอร์ ๆ และสามารถพูดคนเดียวได้ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า จริง ๆ แล้ว คนเพี้ยน ๆ นั้น อาจจะอยู่ใกล้ตัวคุณมากกว่าที่คิด เพราะ Mental Health of College Students ได้วิจัยจนพบเข้ากับเหตุการณ์น่าขนลุกอย่างหนึ่งขึ้น หลังจากที่พวกเขาได้นำเอาคนจำนวนถึง 5,092 คน มาทำการทดสอบสุขภาพจิตผลปรากฏว่า 1 ใน 5 ของคนจำนวนทั้งหมดนั้น มีความผิดปกติทางจิต แต่ไม่สามารถมองออกจากภายนอก โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัย 19-25 ปี จะพบได้มากเป็นพิเศษ ดังนั้น เราจึงได้เรียนรู้มาอย่างหนึ่งว่า คนเพี้ยน ๆ นั้นมีอยู่มากมายเต็มไปหมดรอบตัวเรา แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่า คนไหนมีความผิดปกติอะไรทางจิตบ้าง โดยเฉพาะจะมั่นใจได้อย่างไรสาวที่เราเดทอยู่ด้วยนั้น เธอไม่ใช่พวกโรคจิตวันนี้เราเลยมีคู่มือตรวจสอบความบ้ามาให้เพื่อนชาว UNLOCKMEN ทุกคนได้ลองนำไปใช้จับตาดูกัน Crazy Girls, Red Flags #1: Emotions and
หลายคนคงได้ยินวลีที่ว่า “Work-Life Balance” มาบ้าง นอกจากได้ยินแล้ว หลายคนคงเห็นหนังสือหรือโบรชัวร์ต่าง ๆ ที่แนะนำให้เรารักษาสมดุลระหว่าง การทำงาน กับ ชีวิตส่วนตัวให้ได้ แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่สามารถจะทำมันได้อย่างเหมาะสม เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณต้องปฎิเสธนัดกับครอบครัว เพื่อน หรือ แฟน เพื่อนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ รออีเมลที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับงาน รวมไปถึงการที่คุณต้องโทรหาใครสักคน เพื่อคุยเรื่องงานถึงแม้ว่าจะเป็นวันอาทิตย์ นั่นคือสัญญาณที่อาจจะบ่งบอกได้ว่า คุณกำลังสูญเสียสมดุลระหว่าง ชีวิตส่วนตัว กับ การทำงาน วันนี้เราจึงขอนำเอาวิธีที่จะช่วยให้คุณรักษาสมดุลชีวิตและรู้จักแบ่งช่วงเวลาทั้ง 2 ออกจากกัน มาให้กับชาว UNLOCKMEN ที่คลั่งการทำงานเกินไป จนเริ่มมีปัญหาจากทางบ้าน เผื่อว่าจะทำให้ชีวิตที่วุ่นวาย กลายเป็นชีวิตที่เรียบง่าย เพียงแค่รู้จักรักษาสมดุล How to Balance Work and Your Personal Life วิธีสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวกับการทำงานของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่นั้น มักจะใช้วิธีการเลือกสถานที่ที่จะแบ่งแยกเรื่องงาน ออกจากชีวิตส่วนตัวอย่างชัดเจน เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว คุณต้องพยายามสงบจิตสงบใจ ไม่ไปยุ่งเกี่ยวแตะต้องเรื่องงานอีกเลย ในทางกลับกัน ถ้าหากคุณอยู่ในที่ทำงาน ก็อย่างนำเอาเรื่องส่วนตัวเข้ามาพัวพัน และพยายามทำงานให้เสร็จในที่ทำงาน แม้ว่าจะดึกแค่ไหนก็ตาม
CEO บริษัทที่มีชื่อเสียงหลายต่อหลายคน อาจมีเส้นทางที่สวยหรู เรียบง่าย เพราะต้นทุนทางครอบครัวดีอยู่แล้ว เรียนจบมาก็รอสืบทอดกิจการไปเป็นเจ้าคนนายคน แต่สำหรับ CEO บางคน กว่าจะเดินมาถึงจุดนี้ได้นั้นต้องฝ่าฟันอุปสรรคมามากมายนับไม่ถ้วน เช่นเดียวกับนาย Ryan Friedlinghaus ที่เรากำลังจะพูดถึงกันในวันนี้ เขาคือ CEO ของแบรนด์ West Coast Customs ที่ยิ่งใหญ่สุด ๆ ในโลกแบรนด์หนึ่ง เขาเริ่มต้นการก่อตั้งบริษัทด้วยการกู้เงิน 5,000 เหรียญจากคุณตา และลงมือทำงานตามความฝันที่คิดว่าจะพัฒนาและสร้างรถที่ดีที่สุดในโลกสำหรับแต่ละคนออกมาให้ได้ ผลงานการสร้างรถจาก West Coast Custom กลายเป็นแบรนด์ระดับ Top ของวงการไปแล้ว เพราะไม่ว่าคนมีเงินหรือว่าจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่าง Chris Brown, Tyga หรือ Shaq ต่างก็ต้องนำรถของพวกเขามาให้ Ryan Friendlinghaus จัดการเจิมจนลงตัวเสียก่อนที่จะนำไปใช้งานจริง วันนี้เราจะมาดูเรื่องราว และหลักการที่จะใช้ชีวิตให้ประสบความสำเร็จของเจ้าพ่อแห่งวงการ Custom ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง และประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจคนนี้กัน เชื่อว่าผู้อ่านชาว UNLOCKMEN ทุกคน จะได้ประโยชน์ หรือ แรงบันดาลใจบางอย่าง
หากพูดถึงร้านขายอุปกรณ์กีฬาที่ไม่ใช่แบรนด์สโตร์แล้วละก็ ในประเทศไทยคงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก Ari (อาริ) ร้านคอนเซ็ปต์สโตร์ที่เปิดขึ้นมารองรับสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในเรื่องของกีฬา รวมถึงไลฟ์สไตล์แบบสปอร์ต จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่ต้องการสานฝันความชอบของตัวเอง จนเป็นแรงผลักดันถึงปัจจุบันทำให้ Ari (อาริ) สามารถขยับขยายร้านจนกลายเป็นแถวหน้าในเรื่องอุปกรณ์กีฬา เพื่อล้วงเบื้องหลังความสำเร็จของพวกเขา วันนี้ UNLOCKMEN จึงได้ติดต่อขอสัมภาษณ์แบบ Exclusive กับ คุณ เอ็กซ์ – ศิวัช วสันตสิงห์ ผู้ก่อตั้ง Ari (อาริ) ที่จะมาบอกเล่าเคล็ดลับความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจที่ทุกท่านสามารถนำไปใช้เป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวเองได้ UNLOCKMEN : ขอถาม background คุณเอ็กซ์ก่อนมาเริ่มทำร้าน Ari หน่อย? จริง ๆ ที่บ้านเป็นข้าราชการเกือบหมด คุณแม่ทำออฟฟิศ ส่วนคุณพ่อก็เป็นข้าราชการ ท่านก็ตั้งเป้าอยากให้เราเป็นข้าราชการเหมือนท่าน ก่อนหน้านี้ผมเลยทำงานอยู่กระทรวงการต่างประเทศ แต่คือมันไม่ไหว มันไม่ใช่ตัวเองก็เลยอยากออกมาทำธุรกิจของตัวเอง UNLOCKMEN : แล้วจุดเริ่มต้นของร้าน Ari มันมาจากไหน? เริ่มจากว่าเราชอบเตะฟุตบอล เราชอบรองเท้าสตั้ด อุปกรณ์กีฬาอะไรเงี้ย แต่เมื่อก่อนเมืองไทยมันไม่มีร้านขาย เราก็ต้องฝากเพื่อนซื้อจากต่างประเทศ หรือไม่ก็ต้องวิ่งไปตามร้านที่เขาหิ้วมาขาย เรารู้สึกว่า เอ้ย ทำไมมันไม่มีร้านขายอุปกรณ์เกี่ยวฟุตบอลอย่างเดียว ก็เลยเหมือนแบบอยากทำ
“กินอย่างกับแมวดม มันจะไปอิ่มอะไร” ผู้ชายอย่างเราอาจจะเคยบ่นสาวข้างกายไว้อย่างนี้ การดมกับการกินถูกเอามาเปรียบแบบงง ๆ เพราะถ้าเทียบกันแล้ว ดมยังไงก็ไม่น่าจะทำให้คนอิ่มหรืออ้วนได้ (ก็แน่ล่ะคนเราต้องกิน ไม่ใช่ต้องดม) แต่จะช็อคแค่ไหน ถ้ามีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ออกมาแล้วว่า แค่ดมกลิ่นอาหารก็สามารถทำให้เราน้ำหนักเพิ่มขึ้นได้แล้ว! ฟังดูทั้งช็อค ทั้งน่ากลัว มันจะดมไม่กี่ลมหายใจ แล้วจะหนักขึ้นมาเร็วไวเหมือนที่เราคิดหรือเปล่า หรือมีความซับซ้อนมากกว่านั้น? UNLOCKMEN หาคำตอบมาให้อ่านง่าย ๆ แล้ว The Sense of Smell Impacts Metabolic Health and Obesity คืองานวิจัยที่จัดทำโดย University of California, Berkeley การศึกษาครั้งนี้ก็ดำดิ่งเจาะลึกลงไปว่าการดมกลิ่นนั้นมันมีผลต่อกระบวนการเผาผลาญและความอ้วนของมนุษย์อย่างไรบ้าง ผลปรากฏว่าการดมกลิ่น การได้กลิ่นเชื่อมโยงกับร่างกายมากกว่าที่เราคิด โดยการดมกลิ่นนั้นมีส่วนให้ร่างกายของเราเลือกว่าจะเผาผลาญไขมันที่มีอยู่ หรือเลือกที่จะเก็บสะสมไขมันนั้นไว้ต่อไป การทดลองนี้ทำกับหนูทดลอง 3 กลุ่ม มีหนูทดลองที่มีประสาทรับกลิ่นตามปกติ หนูทดลองที่ไม่สามารถรับกลิ่นได้ และหนูทดลองที่มีความไวต่อกลิ่นเป็นพิเศษ จากนั้นก็เลี้ยงพวกมันด้วยอาหารชวนอ้วนเต็มพิกัดในปริมาณเท่า ๆ กัน ผลปรากฏว่าหนูทดลองกลุ่มที่ไม่สามารถได้กลิ่นอาหารมีน้ำหนักตัวน้อยที่สุดหลังจากการทดลอง แม้จะกินเท่ากันและเหมือนกัน ไม่เพียงเท่านั้นหนูทดลองที่ได้กลิ่นตามปกติมีน้ำหนักและขนาดตัวเพิ่มขึ้น 1 เท่า ในขณะที่หนูทดลองที่ไม่ได้กลิ่นกลับมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเพียง
โลกที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอันคุ้นชินคือโลกที่สงบสุข แต่โลกที่เรารู้จักท้าทายตัวเองให้เปลี่ยนแปลงตัวเองบ้างคือโลกที่จะทำให้เรากลายเป็นคนใหม่ วันนี้ UNLOCKMEN ขอท้าลูกผู้ชายทุกคนให้ลองเปลี่ยนตัวเองเป็นเวลา 30 วัน! เพื่อทำอะไรที่ดูเหมือนง่ายแสนง่าย แต่อาจเปลี่ยนเราเป็นคนใหม่ได้แบบไม่รู้ตัว 6 ข้อง่าย ๆ ที่จะเปลี่ยนชีวิตเรานั้นมีอะไรบ้าง มาดูไปพร้อม ๆ กัน หัดปฏิเสธเสียบ้าง เราอาจเข้าใจว่าการปฏิเสธมีแต่ด้านไม่ดี แต่พลังแห่งการปฏิเสธก็มีด้านบวกเช่นกัน ลองกระบวนการปฏิเสธอย่างสุภาพ แต่ปฏิเสธมันทุกอย่างที่เราไม่เต็มใจทำ (ไม่ใช่ต้องทำเพราะเกรงใจ) อย่างน้อย 30 วัน 30 วันแห่งการปฏิเสธจะช่วยให้เราได้บริหารจัดการการจัดลำดับความสำคัญในชีวิต แถมมันจะช่วยให้เราเรียนรู้ว่าจริง ๆ โลกมันไม่ได้หยุดหมุนเลยถ้าเราจะปฏิเสธคนอื่นแล้วทำอะไรเพื่อตัวเองก่อนบ้าง ลดการใช้โซเชียลมีเดีย โซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยประโยชน์ และงานจำนวนมาก เราก็ต้องทำโดยใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือ จุดนั้นเราคงไม่ว่ากัน แต่การใช้โซเชียลมีเดียที่รุกล้ำเวลาในชีวิตเราไปจำนวนมากนั้นงานวิจัยจำนวนมาก อาทิ Facebook’s emotional consequences: Why Facebook causes a decrease in mood and why people still use it ที่บอกเราว่าการลดใช้โซเชียลมีเดียทำให้เรามีความสุขมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเชื่อ