วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา ประวัติศาสตร์อีกหนึ่งหน้าของวงการรถสูตร 1 หรือ Formula 1 ได้ถูกเขียนขึ้นใหม่หลังจากที่ ลูอิส แฮมิลตัน (Lewis Hamilton) แชมป์โลก 6 สมัยได้คว้าชัยชนะครั้งที่ 92 ในชีวิตจากการ Portuguese Grand Prix ส่งผลให้เขากลายเป็นมนุษย์ที่มีสถิติคว้าชัยชนะมากที่สุดในสังเวียน Formula 1 แซงหน้าตำนานอย่าง มิคาเอล ชูมัคเกอร์ (91 ครั้ง) ไปเป็นที่เรียบร้อย และดูเหมือนว่าสถิติใหม่จะยังมีเวลาให้สร้างต่อไปได้อีกหลายปี อย่างไรก็ตาม นอกจากแง่มุมชีวิตของการเป็นนักแข่งรถล้อเปิดที่เร็วที่สุดในโลก ลูอิส แฮมิลตันยังถือเป็นนักกีฬาอีกคนที่มีแนวคิดและการวางตัวนอกสนามที่น่าสนใจมาก ๆ และวันนี้เราจะขอพาทุกคนมาทำความรู้จักแง่มุมชีวิตด้านต่าง ๆ ของนักแข่งรถ F1 คนนี้ให้มากขึ้น มาดูกันว่านอกจากความเร็วเกิน 300 กิโลเมตร/ชั่วโมงแล้ว ชีวิตของชายคนนี้ยังมีมุมไหนที่น่าสนใจอีกบ้างเรื่องแรกที่ต้องพูดถึงคือความสำเร็จของในสนามแข่งของ ลูอิส แฮมิลตัน โดยผลงานที่น่าประทับทั้งหมดที่ผ่านล้วนเป็นผลมาจากการฝึกซ้อมที่และระเบียบวินัยที่ตัวเขาและคุณพ่อช่วยกันฝึกฝนมาตั้งแต่วัยเด็ก แต่หนึ่งในจุดเริ่มต้นสำคัญของชายคนนี้คือ ความถ่อมตัวที่ซ่อนเอาไว้ซึ่งความมั่นใจในเวลาเดียว ย้อนกลับไปปี 1995 ลูอิส แฮมิลตันในวัย 10 ปี
การระบาดไวรัสของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อคนทั่วโลกในหลายด้าน ทั้งความเสียหายด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว รวมถึงชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนไปทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันควบคุมการระบาด ด้วยความหวังที่ว่ามันจะไม่ลุกลามขยายวงกว้างไปกว่านี้จนความเสียหายลุกลามใหญ่โตเกินกว่าจะควบคุม ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกมีรวมกันมากกว่า 93,000 คนและเสียชีวิตไปแล้วถึง 3,198 (ข้อมูลวันที่ 4 มีนาคม 63 เวลา 11.00 น.) ทำให้องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกมาประกาศให้การระบาดครั้งนี้เป็นภาวะฉุกเฉินระดับโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่ออีเวนต์จำนวนมาก แต่ที่ได้รับผลกระทบแบบทั่วถึงคงหนีไม่พ้นการแข่งขันกีฬาระดับโลกหลายรายการ โดยเฉพาะสัปดาห์ที่ผ่านมาที่มีแรงกระเพื่อมชัดเจนขึ้นกว่าเดิม มาดูกันว่าในสถานการณ์ปัจจุบันไวรัส COVID019 ได้แช่แข็งโลกกีฬาไปแค่ไหนบ้างแล้ว วงการลูกหนัง เริ่มกันที่ฟุตบอลกีฬายอดนิยมของมวลมนุษยชาติที่ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะกัลโช่ เซเรียอาและลีกต่าง ๆ ในอิตาลีประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลกด้วยจำนวน 2,502 คน การระบาดในอิตาลีทำให้สมาคมฟุตบอลอิตาลี ต้องเลื่อนการแข่งขัน Italian Cup semi-final เลกที่ 2 ระหว่าง Juventus และ AC Milan ออกไป รวมถึงการแข่งขันอีก 5 นัดในเซเรีย
“สำหรับผมมันไม่เกี่ยวกับเงิน ผมอยู่ในจุดที่สามารถทำเงินได้ตลอดชีวิต และเงินมากแค่ไหนก็หยุดความกระหายครั้งนี้ไม่ได้ ความต้องการที่จะแข่งขัน ความสนุกและการใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ รวมถึงสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นในชีวิต” คือคำพูดที่ คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ (Conor McGregor) พูดถึงเหตุผลในการกลับมาฟาดปากในกรงแปดเหลี่ยมอีกครั้ง หลังห่างหายไปตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2018 การกลับมาคราวนี้แสดงให้เห็นว่าเขาหิวกระหายการต่อสู้ในศึก UFC 246 เมื่อวันนี้ 19 มกราคมคมที่ผ่านมา และเกรียนไอริชก็ไม่ได้มีดีแค่ฝีปากเท่านั้น เขาใช้เวลาเพียง 40 วินาทีเอาชนะ Donald ‘Cowboy’ Cerrone ชายผู้ครองสถิติชกชนะมากที่สุดในประวัติศาสตร์ UFC ได้ในยกแรก แม้การต่อสู้ครั้งนี้ถูกขาใหญ่คาดการณ์ไว้แล้วว่า The Nototrious น่าจะเอาชนะ CowBoy ได้ แต่ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นเวลา 40 วินาทีของยกแรกแบบนี้ พร้อมท่าทางที่สุขุมมากขึ้น กวนตีนคู่แข่งน้อยลง แถมขนาดของกล้ามเนื้อยังอยู่ในสภาพเยี่ยม แต่อะไรคือเบื้องหลังความสำเร็จของในการกลับมาครั้งนี้กันแน่? ย้อนกลับไปในปี 2019 หลังจากคอเนอร์ แม็คเกรเกอร์และทีมงานรู้กำหนดการแข่งขัน แม้จะยังไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้คือใคร แต่เวลานั้นแคมป์เก็บตัวของ The Notorious ก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง โดยเหลือเวลาไม่ถึง 5 เดือนและมีเรื่องที่ต้องทำสารพัด
ทันทีที่การแข่งขันรถสูตร 1 (Formula 1) สนามที่ 19 ของปีหรือ United States Grand Prix จบลง Lewis Hamilton เข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 2 เพียงพอที่จะทำให้เขาคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 6 ให้กับตัวเองและกลายเป็นนักแข่งรถสูตร 1 ที่คว้าแชมป์โลกมากที่สุดอันดับที่ 2 ตลอดกาล เป็นรองแค่ Michael Schumacher (7สมัย) เท่านั้น ส่วนคนไทยที่ติดตามวงการรถสูตร 1 คงทราบถึงข่าวดีของนักแข่งสัญชาติไทย-อังกฤษ อย่างอเล็กซ์ อัลบอน อังศุสิงห์ (Alex Albon Ansusinha) ที่ Aston Martin Red Bull Racing ต้นสังกัดยืนยันแล้วว่าเขาจะเป็นหนึ่งในนักแข่งของทีมในการแข่งขัน Formula 1 ปี 2020 ถือเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ทำตามความฝัน คว้าแชมป์โลกการแข่งขันรถสูตร 1 ด้วยวัยเพียง 23 ปีและฤดูกาลนี้ถือเป็นปีแรกของเขาในสังเวียนรถสูตร 1 อะไรที่ทำให้นักแข่งคนนี้รีดศักยภาพของตัวเองออกมาจนกลายเป็นที่ยอมรับ
ครั้งหนึ่งเคยมีนักวิ่งระยะไกลผู้หนึ่งเคยกล่าวเอาไว้ว่า “ผมไม่รู้ว่าขีดจำกัดนั้นตรงอยู่ไหน แต่ผมก็อยากลองไปให้ถึงจุดนั้นดู” เวลานั้นหลายคนต่างมองว่านั่นประโยคและเรื่องราวเพ้อฝัน มนุษย์หนึ่งคนจะตามหาขีดจำกัดของตัวเองไปเพื่ออะไร? หรือทำไปแล้วจะได้อะไรกลับมา? แต่ชายผู้เป็นเจ้าของประโยคดังกล่าวที่ชื่อ เอเลียด คิปโชเก (Eliud Kipchoge) กลับไม่คิดแบบนั้น เขามองว่ามันคือเป้าหมายสำคัญในการเอาชนะตัวเอง ก่อนจะพิสูจน์ให้คนทั้งโลกได้เห็นด้วยการทำลายกำแพงที่เคย “ขีดเส้น” ความสามารถของนักวิ่งระยะไกลทุกคนบนโลกไว้ว่ามนุษย์นั้นไม่สามารถทำลาย “ขีดจำกัด” หรือกำแพงเวลา 2 ชั่วโมงของการวิ่งฟูลมาราธอนลงได้ ทันทีที่ร่างกายของเอเลียด คิปโชเกทะยานผ่านเส้นชัยในอีเวนต์ INEOS 1:59 Challenge ด้วยเวลา 1 ชั่วโมง 59 นาที 40 วินาที ประวัติศาสตร์ของโลกและขีดจำกัดของมนุษย์ก็ถูกมองต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ในเวลาเดียวกัน ตัวเขาก็ได้มอบอีกหนึ่งคำพูดสำคัญเพื่อตอกย้ำความคิดที่มีอีกครั้งว่า “มนุษย์เรานั้นไร้ซึ่งขีดจำกัด” ท่ามกลางความสำเร็จท่ีเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก หลายคนทราบกันดีว่าเอเลียด คิปโชเก คือคนที่วิ่งเข้าเส้นชัย แต่เบื้องหลังความสำเร็จต่าง ๆ ในชีวิตของเขากว่าจะมาถึงวันนี้ ใครจะรู้ว่านักวิ่งวัย 34 ปีชาวเคนย่าผู้นี้ต้องผ่านการฝึกฝนทางร่างกายและผ่านการขัดเกลาในด้านจิตใจมาอย่างไรบ้าง วันนี้ UNLOCKMEN และคอลัมน์ MotivAthlete จะพาทุกคนมาหาคำตอบไปพร้อมกัน ร่างกายเหนือมนุษย์ ที่มาจากการฝึกซ้อมและเฝ้าจดบันทึก หลายคนทราบกันดีว่าปัจจัยพื้นฐานของการเล่นกีฬาแต่ละประเภทมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างก็คือ “ร่างกายและพละกำลัง”