แรงบันดาลใจ Motivation แรงจูงใจ เวลาผู้ชายอย่างเราได้ยินคำเหล่านี้ทีไร หลายคนอาจรู้สึกว่าเป็นคำเพ้อฝัน เลื่อนลอย เป็นแค่ความรู้สึกฟุ้ง ๆ ไม่น่าจะเชื่อมโยงเข้ากับประสิทธิภาพการทำงาน คุณภาพของงาน หรือแม้แต่ศักยภาพของทีมหรือองค์กรไปได้ แต่ใครจะรู้ว่า “Motivation” สำคัญกว่าที่เราคิด สำคัญกับทั้งโอกาสที่จะทำงานสำเร็จ สำคัญต่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของทีม เพราะถ้าคนทำงานทำงานแบบไม่อิน ทำงานแบบโคตรเบื่อหน่ายไปวัน ๆ ใช้แรงกายแรงใจแค่พอให้มีงานส่ง ๆ ไป องค์กรนั้นก็คงไม่สามารถเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างก้าวกระโดด แต่ทำได้แค่คืบคลานไปอย่างช้า ๆ พอเอาตัวรอดได้ (และแค่รอวันที่จะไปไม่รอดหรือโดนแซงไปเท่านั้น) Motivation หรือแรงจูงใจสำคัญต่อการทำงานอย่างไร? งานวิจัยที่ชื่อ The Effects of Incentives on Workplace Performance: A Meta‐analytic Review of Research Studies ระบุว่า ในแต่ละโปรเจกต์ที่ทำขึ้นมาแล้วสำเร็จนั้นปัจจัย 40% มาจากแรงจูงใจล้วน ๆ พูดง่าย ๆ ว่าถ้าทั้งทีมมี Motivation หมดก็มีแนวโน้มว่าจะร่วมมือกันทำสิ่งนั้นให้สำเร็จได้ ไม่ว่างานหรือโปรเจกต์นั้นจะยากหรือง่าย แต่คนทำงานเต็มไปด้วยแรงจูงใจที่อยากทำให้สำเร็จก็พร้อมจะฝ่าไป เพราะฉะนั้นการจะทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น
หนึ่งในดาราฮอลลีวูดที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด และเป็นชายชาตรีที่มักจะมีคิวบู๊ให้จดจำเสมอก็คือ Tom Cruise ซูเปอร์สตาร์หนุ่มรุ่นใหญ่วัย 56 ปี ที่ผ่านบทบาทบนจอเงินมากว่า 50 เรื่อง ซึ่งเรื่องล่าสุดที่กำลังจะออกฉายก็คือ Mission: Impossible – Fallout มีกำหนดเข้าฉายในบ้านเราในวันที่ 26 กรกฎาคมนี้ แน่นอนว่าเขาขออาสาเล่นฉากเสี่ยงตายส่วนใหญ่เองอีกแล้วเพื่อความสมจริง โชว์ความเป็นคนจริงอีกครั้ง เส้นทางสายภาพยนตร์ของ Tom Cruise เริ่มต้นตั้งแต่เขาอายุ 19 ปี มีผลงานที่โดดเด่นอย่าง Top Gun, War of the Worlds, Risky Business, Jerry Maguire และ Mission Impossible รวมถึงอีกหลาย ๆ เรื่อง ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในดาราฮอลลีวู้ดที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุคนี้ แต่เขาก็ยังคงมีไฟที่จะพัฒนาศักยตัวเองต่อไปแบบไม่หยุดยั้ง UNLOCKMEN จึงอยากถ่ายทอดประโยคดี ๆ จากชายคนนี้มาเป็นแรงบันดาลใจให้คุณผู้อ่านได้นำไปเสริมพลังในการปลดล็อกตัวเองสู่เป้าหมาย นี่คือสิ่งที่เขาได้กล่าวไว้ และมันทำให้เขาประสบความสำเร็จ “When I work, I work
แพสชั่น ความหลงใหล หรือความชื่นชอบต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างถึงแก่น กลายเป็นเหมือนสูตรสำเร็จของผู้คนยุคสมัยนี้ไปแล้ว ผู้ชายอย่างเรา ๆ ก็หนีไม่พ้น ไม่ว่าจะได้งานที่ไหน ใคร ๆ ก็พากันพูดถึง “แพสชั่นในการทำงาน” กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น “หาแพสชั่นในงานนี้ให้เจอสิ” , “ทำงานแบบมีแพสชั่นหน่อย”, “ถ้าไม่มีแพสชั่น ทำงานแค่ไหน ก็ไปไม่ถึงจุดพีคหรอกเว้ย!” และอีกสารพัดบทท่องจำที่เมื่อไหร่ใส่คำว่า “แพสชั่น” เข้ามาในบทสนทนา คำพูดนั้นจะกลายเป็นคำพูดปลุกใจโคตรศักดิ์สิทธิ์ที่่ล่อลวงผู้ชายอย่างเราให้ไฟลุก รีบตามหาแพสชั่นของชีวิตกันแบบสุดหล้าฟ้าเขียว แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า UNLOCKMEN อยากบอกว่า “แพสชั่นไม่ใช่ยาวิเศษของชีวิตและการทำงาน” และมันอาจมีผลเสียมากกว่าที่คิด ถ้าเราเอาชีวิตไปผูกติดกับคำ ๆ เดียวอย่าง “การหาแพสชั่นให้เจอ” การท่องคำว่าแพสชั่นซ้ำ ๆ เหมือนล้างสมองตัวเองอาจต้องถูกพักเอาไว้ก่อน เพราะงานวิจัยที่มีชื่อว่า Implicit Theories of Interest: Finding Your Passion or Developing It? ที่เขียนขึ้นโดยนักจิตวิทยาจาก Yale-NUS College แห่ง National University
ความเครียดจนปวดหัว ความกังวลจนมวนท้อง และความตื่นเต้นจนตัวสั่น เป็นความรู้สึกปกติของมนุษย์ที่มักจะเกิดขึ้นก่อนที่จะเผชิญกับสิ่งท้าทาย ถ้ามองในแง่บวก ความรู้สึกดังกล่าวนั้นก็พอที่จะสะท้อนความตั้งใจจริงของเราที่จะฝ่าฟันมันไปให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องชีวิต หรือเรื่องใด ๆ ที่มีความหมายพอที่เราจะมุ่งมั่นกับมัน แต่สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นก็คือความกลัวที่จะลงมือทำสิ่งใหม่ โปรเจ็คต์ที่คิดไว้ก็ไม่กล้าทำเสียที กลัวเจ๊ง กลัวไม่เท่ กลัวเขว กลัวมันออกมาบูด ๆ สุดท้ายไม่ยอมย้ายตูดออกมาจาก safe zone แล้วลงมือทำซะ เพราะกลายเป็นคนที่วิตกกังวลเกินเหตุ ถ้าเป็นแบบนี้นาน ๆ เข้า อาจจะทำให้เราไม่มีการพัฒนาตัวเองได้ ทีมงาน UNLOCKMEN เชื่อว่าผู้ชายทุกคนมีศักยภาพ แต่อาจจะมีความรู้สึกบางอย่างที่มาขวางกั้นการปลดล็อกตัวเอง จึงขอนำเหตุผลหลักที่ทำให้เราไม่กล้าลงมือทำมาตีแผ่ และไอเดียที่จะช่วยเปลี่ยนมุมมองให้คุณลุยอย่างไม่กลัวมาแนะนำกัน ตามนี้เลยครับ “มันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย” เรื่องเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย นั้นเราอาจควบคุมไม่ได้ แต่ไอ้ประโยคที่ว่า “มันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย” นี่แหละ ทำให้คนเราขาดพลังในการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ มาเยอะแล้ว ถ้าเราคิดว่าความฝันของจะกลายเป็นความจริงจากการใช้เวลาแค่ 2-3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในเวลาว่าง แบบนี้คิดใหม่ดีกว่า เราต้องทุ่มเทสุดตัวเพื่อเป้าหมายของเรา ถ้าแค่ครึ่งหนึ่งของผลงานที่ออกมาก็พาเราเซ็งแล้ว ก็อย่าทุ่มเทแค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ และถ้ารู้สึกไม่แฮปปี้กับสิ่งที่เป็นอยู่