อกหักเรื่องใหญ่ แต่การมูฟออนจากมันได้เป็นเรื่องที่ใหญ่กว่า หลาย ๆ คนมักจะจมอยู่กับความเศร้าจนลืมไปว่าชีวิตที่เคยสดใสเป็นอย่างไร ซึ่งเราเข้าใจความรู้สึกของคุณดี และเราก็อยากให้คุณกลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้งกับ “7 ข้อที่ควรรู้สู่การมูฟออนได้ดีกว่าที่เคยเป็นมา” 1. มีสติอยู่กับปัจจุบัน ใคร ๆ ก็ต่างพูดว่าทำอะไรต้องมีสติ ใช่แล้วเพราะมันคือวิธีที่ถูกต้อง ทำให้เรารู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ในเวลานี้ เช่นเดียวกับตอนที่คุณอกหัก เศร้า จมปลักอยู่กับน้ำตา ไม่แปลกที่คุณจะต้องอยู่กับห้วงอารมณ์แบบนั้น แต่คุณต้องเปิดปุ่มสติให้แล่นอยู่ตลอดเวลา หลังจากนั้นให้ลองกำหนดลมหายใจหรือนั่งสมาธิดู เพราะมันอาจจะช่วยให้คุณควบคุมความฟุ้งซ่านที่กำลังเกิดขึ้นได้ไม่มากก็น้อย 2. โฟกัสกับสิ่งที่ต้องรับผิดชอบให้มากกว่าเดิม โหมดความโสดไม่ได้แย่เสมอไป อย่าลืมว่าก่อนที่คุณจะมีความรักคุณก็เคยใช้ชีวิตคนเดียวอย่างมีความสุขได้ สิ่งที่คุณต้องทำก็แค่เพียงกลับไปโฟกัสกับหน้าที่และความรับผิดชอบให้เต็มที่เหมือนที่เคยทำมา ไม่ว่าจะเป็นงานหลักหรืองานบ้านก็ตาม เพราะเมื่อคุณทุ่มเทและใช้เวลาอย่างเต็มที่กับสิ่งเหล่านี้ มันก็จะช่วยให้โฟกัสของคุณไม่ไปอยู่กับความเศร้ามากจนเกินไป 3. โฟกัสกับการทานอาหารที่มีประโยชน์ มีคนจำนวนไม่น้อยที่เมื่อถึงเวลาอกหัก มักจะมีอาการเบื่ออาหาร ทานข้าวไม่ลง จนร่างกายผอมซูบลงอย่างน่าตกใจ บางคนบอกว่ามันคือสูตรลดน้ำหนักแบบเร่งรัด แต่ได้โปรดอย่าคิดแบบนั้น เพราะถึงแม้คุณจะได้มีหุ่นผอมเพรียวบาง แต่ร่างกายของคุณจะมีสุขภาพที่ย่ำแย่ตามมา รวมถึงความหิวจะทำให้สมองเกิดความเครียด ซึ่งส่งผลต่อสีหน้าและสุขภาพผิดโดยรวม เพราะฉะนั้นคุณควรโฟกัสกับการทานอาหารให้มากขึ้น โดยเฉพาะสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะมันจะช่วยให้คุณแข็งแรง หน้าตาดูสดชื่น และมีแรงเพื่อก้าวข้ามผ่านพ้นไปวันหมอง ๆ ไปได้ 4. คิดถึงคนรอบข้าง เวลาที่คุณเศร้า รู้สึกว่าโลกนี้มันเลวร้ายไปหมดทุกอย่าง อย่าลืมว่าไม่ได้มีแต่คุณที่คิดแบบนั้น
“ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน” ประโยคสั้น ๆ แต่บ่งบอกความหมายได้ชัดเจน เพราะชีวิตเราในแต่ละวันล้วนแต่ต้องเผชิญปัญหาต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว, ปัญหาภายในครอบครัว, ปัญหาเรื่องหน้าที่การงาน ซึ่งมันอาจจะลามกลายมาเป็นปัญหาสุขภาพได้ในภายหลังเช่นกัน เพราะฉะนั้นเราจึงควรต้องมีวิธีรับมือและจัดการกับสิ่งเหล่านั้น เพื่อช่วยให้ชีวิตของเราสามารถผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ ที่มักแวะเข้ามาทักทายไปได้ มาทำความรู้จัก 5 วิธีงัดกับปัญหาที่จะทำให้ชีวิตของเราแข็งแกร่งมากกว่าเดิมกันครับ 1.สร้างพื้นที่ลดความเครียด การที่คนเราทำงานใด ๆ ก็ตามอยู่เพียงอย่างเดียว มักจะทำให้เราไม่เห็นทางออกการปลดปล่อยความเครียดออกมาได้ เพราะมันเปรียบเสมือนโลกใบเดียวที่คุณมีอยู่ ทั้งที่จริง ๆ แล้วตัวคุณเองสามารถสร้างโลกใบใหม่ได้อีกหลายใบตามใจต้องการ โลกที่ว่านี้ไม่ได้หมายถึงเรื่องราวเหนือจินตนาการ แต่มันคือการหางานอดิเรกที่คุณชอบทำมันให้จริงจังเพิ่มเติมซะ ไม่ว่าจะเป็นการแคสต์เกมส์, การเล่นดนตรี หรือแม้กระทั่งการปลูกต้นไม้ เพราะสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้คุณมีความสุขทุกครั้งที่ได้ใช้เวลาอยู่กับมันนั่นเอง เมื่อศูนย์กลางของคุณไม่ได้มีเพียงที่เดียว คุณก็สามารถบรรเทาความทุกข์ ความเครียดต่าง ๆ ด้วยงานอดิเรกเหล่านี้ได้ ซึ่งไม่แน่ว่าในสถานการณ์เลวร้ายสุด ๆ อย่างเช่นต้องตกงาน สิ่งเหล่านี้อาจจะช่วยสร้างรายได้ให้กับคุณได้เช่นกัน 2.ควบคุมอารมณ์ไม่ใช่ให้อารมณ์ควบคุม บ่อยครั้งที่ความเครียดเกิดจากการพาตัวเองเข้าไปสู่อารมณ์ที่ย่ำแย่จนเราไม่สามารถรับมือกับมันได้ กลายเป็นการสร้างปัญหาที่มีผลกระทบกับตัวเราเองรวมไปถึงคนรอบข้าง เพราะฉะนั้นการควบคุมอารมณ์จึงจำเป็นอย่างมากที่คุณจะต้องเรียนรู้ วิธีง่าย ๆ ที่จะทำให้คุณรู้ว่าสภาวะอารมณ์ของคุณรุนแรงหรือบอบช้ำขนาดไหน เราอยากให้คุณลองหยิบสมุดขึ้นมาจดความรู้สึกเหล่านั้นลงไปในขณะที่มีอารมณ์กำลังปะทุขึ้น เพราะเมื่อเวลาผ่านไปมันจะทำให้คุณรู้ว่าอารมณ์มันได้ควบคุมคุณจนไปถึงจุดไหน และตัวคุณในตอนนั้นเป็นอย่างไร สิ่งต่าง
เคยเกลียดใครสักคนเหมือนมันแย่งแฟนเรา หักหลังเรา เลียเจ้านายแล้วบลัฟเรา หรือไปทำสารพัดเหตุผลที่จะทำให้เราเกลียดทั้งที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนไหม คนแบบนั้น บางทีก็แทรกซึมเข้ามาในวงโคจรชีวิตเราแบบเพื่อนของเพื่อน แฟนเพื่อน หรือเจอกันตามพื้นที่สาธารณะอย่างคอนเสิร์ต ปาร์ตี้ บางทีก็เป็นแค่คนที่เดินผ่านบนถนน แต่เราเกิดหัวร้อน ไม่ถูกชะตา และพร้อมแลกหมัดด้วยตลอดเวลา “ไอ้คนนี้มันร้ายลึก” ถ้าคนล่าสุดที่เจอทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิดจนสบถคำนี้ออกมาภายในไม่กี่นาทีแรกที่สบตา เหมือนโดนมันเหยียบเท้า หยุดถามตัวเองสักนิดว่า “ความร้ายลึกมันมาจากไหน” ทั้ง ๆ ที่คนแปลกหน้าคนนั้นไม่ได้ทำอะไรให้เราเสียด้วยซ้ำ หากคุณไม่ได้คำตอบกับตัวเอง แถมไม่มีทีท่าว่าจะควบคุมมันได้ UNLOCKMEN ชวนคุณมาตั้งสติ ค้นหาต้นตอของมันอย่างมีเหตุผลด้วยหลักทางจิตวิทยา เพราะบางครั้งสิ่งที่คุณเกลียด มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่คุณแค่ “คิดไปเอง” หรือมี “ฌาณชั้นสูง” เทพประทับจากที่ไหนแต่มีเบาะแสบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น Thin Slices Theory : มองเปลือกแล้วเดาแก่น “Thin Slices” คือทฤษฎีทางจิตวิทยาว่าด้วยการตัดสินคนใน 5 นาทีที่พบเห็น ซึ่งสามารถนำมาใช้อธิบายปรากฏการณ์เกลียดขี้หน้าฉับพลันได้ โดยเฉพาะเวลาที่เราอคติกับใครโดยไม่รู้สาเหตุ มนุษย์ทุกคนมักมีกระบวนการตัดสินจากการสังเกตหรือเห็นข้อมูลบางส่วนในแวบแรกที่พบกัน โดยตัดสินใจด้วยระดับจิตใต้สำนึก เราพร้อมให้คะแนนทุกคนในสายตาทันทีอย่างไม่ทันรู้ตัว ประเมินจากรูปลักษณ์และอวัจนภาษาที่เห็น ส่วนบางคนที่เรามีโอกาสพูดคุยด้วย ประโยคที่เขาพูดอาจจะกลายเป็นหนึ่งในการตัดสินใจเราด้วยเช่นกัน “เขาไม่ได้ทำกับเรา แล้วใครทำให้เราเกลียดกันแน่?” สาระที่อธิบายผ่านการวิจัยนี้คือ เคยมีใครคล้าย ๆ คนแปลกหน้าพวกนี้นี่แหละที่เกี่ยวข้องกับเราแล้วสร้างประสบการณ์บางอย่างที่เราเกลียด ภาพลักษณ์เหล่านั้นมันดันสะท้อนกลับมาให้เราเห็นในร่างใหม่ของคนแปลกหน้าทั้งที่เราเองก็จำไม่ได้แล้ว เช่น ตอนเด็ก
ไม่ว่าพวกเราจะทำงานผ่านมากี่ที่ แต่เชื่อว่าความรู้สึกช่วงสัมภาษณ์ก็ยังเป็นโมเมนต์ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับเราอยู่ดี บางครั้งเรียกได้ว่านาทีต่อนาทีที่ตอบโต้กันระหว่างเรากับผู้สัมภาษณ์เราก็แทบทำนายได้แล้วว่าเราจะได้งานนี้หรือชวดต้องไปสัมภาษณ์ครั้งหน้า เพื่อให้ผู้ชายอย่าง เราสามารถโต้กลับการสัมภาษณ์ได้แบบไม่ต้องเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่ฝ่ายเดียว วันนี้ UNLOCKMEN ได้รวบแทคติคจิตวิทยาเพิ่มโอกาสพิชิตการสัมภาษณ์งานที่เขาทดสอบกันมาว่าพาวินกันนักต่อนัก จาก 5 สิ่งต่อไปนี้ให้ไปลองเลือกใช้กัน นัดเวลาสัมภาษณ์ให้อยู่ช่วงวันอังคาร 10.30 5 วันทำการโอกาสจะทำให้ HR มีแรงดลใจนัดเราในวันอังคารอาจจะยากสักหน่อย แต่ถ้าเลือกได้ก็ลองระบุเวลานี้กันดู เพราะเขาว่ากันว่าเวลานี้จะเป็นช่วงที่ให้การสัมภาษณ์รีแลกซ์ เนื่องจากยังเป็นช่วงเวลาที่ไม่เร่งรีบเท่ากับต้นสัปดาห์และไม่ปั่นเหมือนวันสุดสัปดาห์ ส่วนเรื่องเวลาเน้นหลีก 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงเช้าไว้ เพราะช่วงเช้าเป็นช่วงที่หลายบริษัทกำลังประชุมกันซึ่งเขาจะเอาเวลาช่วงนั้นไปโฟกัสกับสิ่งที่ต้องทำอยู่ กับช่วงบ่ายคล้อยเย็นไว้ด้วย เพราะคนสัมภาษณ์เขาไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรแล้วนอกจากอยากกลับบ้าน อย่าสัมภาษณ์ช่วงต่อจากผู้แข่งขันตัวเป้ง เราอาจจะไม่รู้ว่าใครเป็นคู่แข่งที่โหดสุดในการสัมภาษณ์ แต่ถ้าบังเอิญรู้เข้าก็ให้เลี่ยงการประเมินในช่วงใกล้กันไว้ เพราะมันเสี่ยงมากที่เราจะโดนปัดออกจากสนามแข่งแบบไม่รู้ตัว เนื่องจากนักวิจัยพบว่าผู้สัมภาษณ์ส่วนใหญ่วางบรรทัดฐานการประเมินจากพื้นของผู้สมัครแต่ละคนในวันสัมภาษณ์นั้น จากการวิจัยของ University of Pennsylvania และ Harvard University จึงเผยความจริงหนึ่งว่า ระยะเวลาอันตรายของการสัมภาษณ์โดยมีผู้สมัครม้ามืดมาเป็นคู่เทียบซึ่งเราควรหลีกเลี่ยงนั้น นับตั้งแต่สัปดาห์เดียวกันผู้สมัครคนนั้นมาเหยียบบริษัทในฝันเราเพื่อสัมภาษณ์ ยาวต่อเนื่องไปถึงสัปดาห์ต่อไป ใครที่งงก็ให้จำไว้ว่าไปสัมภาษณ์อาทิตย์ที่ 3 หลังจากที่ไอ้ตัวเต็งนั่นมาสัมภาษณ์แหละที่ปลอดภัย เลือกเนื้อผ้าให้เหมาะกับเนื้องาน ไม่ใช่แค่สุภาพอย่างเดียวเท่านั้นที่จะชนะใจ แต่เรื่องสีเสื้อมันก็มีการวิจัยเช่นกันว่ามีผลกับการให้คะแนนของผู้สัมภาษณ์ โดยจากการสัมภาษณ์เพื่อเก็บสถิติของ Career Builder
ใจคนเรายากแท้หยั่งทำ ดูจะเป็น Cliche ที่ได้ยินกันมาตั้งแต่พระเจ้าเหาจนถึงตอนนี้ แต่ไม่รู้จะปฏิเสธยังไงได้เพราะมันคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเราทุกคน ชีวิตเราต้องเจอ Mind Game จากคนรอบตัว หรือแม้แต่ตัวเราเองที่ชอบเล่นเกมนี้กับคนอื่นอยู่เสมอ ลองเปลี่ยนชีวิตจริงมาดู Mind Game จากภาพยนตร์ที่ UNLOCKMEN อยากแนะนำกันบ้าง กับ PSYCHOLOGICAL THRILLER 5 เรื่อง ที่เราพยายามเลือกเรื่องที่ไม่ได้เป็นหนังกระแสหลักมากนักมาให้ได้ดูกัน ไม่งั้นคงเบื่อแย่ที่เปิดลิสต์หนังเว็บฯไหนก็มีแต่เรื่องเดิม ๆ บอกไว้ก่อนว่าลิสต์นี้เป็นเหมือนการแลกเปลี่ยนหนังกันเท่านั้น ไม่ได้เป็นการจัดอันดับหนังดีใจดวงใจ ไม่ต้องน้อยใจไปหากหนังในใจของคุณไม่อยู่ในลิสต์นี้ Perfume: The Story of a Murderer (2006) Director : Tom Tykwer เรื่องราวของฆาตกรหนุ่มที่จบชีวิตลงด้วยโทษประหารที่สังคมมองว่ามันสมควรแก่การกระทำของเขาแล้ว Grenouille หนุ่มที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ในการรับกลิ่น และสัมผัสสุดพิเศษที่เขาได้มาเป็นเหมือนพรจากพระเจ้า แต่เขากลับนำมันมาใช้ในทางที่ผิด เมื่อวัตถุดิบในการทำน้ำหอมของเขานั้นพิสดารขึ้นไปเรื่อย ๆโดยพื้นหลังของเรื่องเกิดขึ้นในกรุงปารีส แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองน้ำหอม แต่ภาพยนตร์จะเผยอีกด้านที่ไม่ได้สวยงามนักให้เราได้เห็นกัน The Killing of a Sacred Deer (2017) Director : Yorgos
หนังจิตวิทยาระทึกขวัญเป็นหนังอีกประเภทที่ผู้คนต่างหลงใหล ด้วยการดำเนินเรื่องที่ชวนตื่นเต้นจนนั่งไม่ติด แล้วยังไม่วายแทรกสอดการปะทะกันทางจิตวิทยาที่โคตรบ้าคลั่งมาให้ ก็ยิ่งทำให้หนังประเภทนี้ได้รับความนิยมอยู่ตลอด แต่ถ้าจิตไม่แข็งพอ หลังดูหนังแต่ละเรื่องจบก็อาจจะต้องจมจ่อมอยู่กับประเด็น อารมณ์ ความหวาดระแวงที่หนังพากันยัดเยียดให้อีกเป็นวัน ๆ ดังนั้นเพื่อทดสอบจิตใจสุดแข็งแกร่งของผู้ชายอย่างคุณ เราท้าให้ดูหนังจิตวิทยาระทึกขวัญ 7 เรื่องนี้ แล้วมาดูกันว่าเรื่องไหนจะทำให้คุณร้อน ๆ หนาว ๆ ได้มากที่สุดกันแน่? Side Effects (2013) นี่คือหนังจิตวิทยาที่ว่าด้วยหญิงสาวผู้เป็นโรควิตกจริตขั้นรุนแรง แล้วพบว่ายากที่ใช้รักษาอาการตัวเอง พาเธอเข้าไปอยู่ในจุดที่ต้องเผชิญกับเรื่องไม่คาดคิดมาก่อน ความโดดเด่นของ Side Effects คือการสร้างปมและคาแรคเตอร์ของตัวละครขึ้นมาให้มีความซ่อนเงื่อนคาดเดาไม่ได้ แถมยังเอาข้อมูลทางการแพทย์มาช่วยล่อลวงให้ผู้ชมอย่างเราจมลงไปในความซับซ้อนของตัวเรื่อง ที่ต่อให้มั่นใจว่าตัวเองจิตแข็งที่สุดก็ไม่อาจควานหาแรงจูงใจของตัวละครแต่ละตัวได้เลย Get Out (2017) นี่คือหนังหมาดใหม่ของปี 2017 ที่ผ่านมา บางคนอาจรู้สึกว่าเป็นหนังเกรดบีที่ไม่ลงทุนอะไรมาก จะน่าสนใจแค่ไหนกันเชียว? แต่ UNLOCKMEN ขอท้าคุณเลยว่านี่คือโคตรหนังที่หยิบจับเอาประเด็นอย่างการเหยียดสีผิวมาใช้ทบกับความน่าหวาดหวั่นของความเป็นมนุษย์ได้หลอนเต็มขั้น จนดูไปอดคิดไปไม่ได้ว่าถ้าตัวเองถูกถีบให้จมลงไปในสถานการณ์แบบนั้นเราจะดิ้นรนพาตัวเองพุ่งหลุดออกมาได้อย่างไร หนังเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ระทึกขวัญ ลุ้นจนเราท้าให้ผู้ชายอย่างคุณควรดูสักครั้งในชีวิต Split (2016) แค่พล็อตเรื่องการถูกลักพาตัวไปของเด็กสาว 3 คนโดยชายผู้มี 23 ตัวตนในร่างเดียวก็กระตุ้นความหลอนระคนตื่นเต้นจนหัวใจเต้นตุบตับแล้ว อารมณ์ลุ้นระทึกตลอดเรื่อง บวกบรรยากาศชวนหายใจไม่ทั่วท้องจะยิ่งพาผู้ชายอย่างเราจมลงไปในสถานการณ์ที่แทบจะอยากทะลุจอเข้าไปช่วย จิตวิทยาและความชาญฉลาดของผู้ล่าและผู้ถูกล่าก็เชือดเฉือนกันจนเราท้าให้คุณลุ้นไปกับการล่าไปพร้อม