เรายังคงวนเวียนอยู่กับวัฒนธรรม skateboard ซึ่งในวันนี้เราจะมาถอดรหัสความเท่ ของชาว skater กันว่าพวกเขาแต่งตัวกันอย่างไร และหากอยากมีสไตล์เหมือนพวกเขา แต่ติดที่เล่นสเก็ตไม่เป็น แต่งแล้วจะมีใครว่าอะไรหรือเปล่า? ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่าคนที่แต่งตัวแบบสเก็ตบอร์ด เดิมทีมาจากรากเหง้าของวัฒนธรรมดนตรี ดังนั้นมันจึงถูกผสมผสานด้วยกลิ่นอายของสไตล์หลายประเภทเข้าด้วยกัน แม้จะเริ่มจากการเป็นคนกลุ่มน้อย คนนอกคอกที่ออกแนวต่อต้านสังคม รักอิสระ การแต่งตัวตามความคิดของตัวเองจึงเป็นแกนไอเดียหลักสำหรับ Skateboarding Fashion ซึ่งมีความใจกว้างพอสมควร แต่ทว่าไป ๆ มา ๆ คนส่วนใหญ่กลับต้องการแต่งตัวเหมือนคนกลุ่มน้อยซะงั้น นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการแบ่งแยกกีดกัน มึงมันมาทีหลัง มึงมันรุ่นเล็ก ไอ้นี่มันของปลอม และอื่น ๆ อีกมากมาย ก็แน่ล่ะ การที่คนส่วนใหญ่หันมาแย่งชิงสิ่งที่คน Skater สร้างขึ้นมา ย่อมสร้างความไม่พอใจบ้างอยู่แล้ว แต่ถ้าเรามองไปที่จุดเริ่มต้น ความอิสระเสรีทางความคิด นั่นแปลว่าตัวสไตล์เองไม่ใช่คนใจแคบ แต่เป็นผู้คนต่างหากที่สร้างกรอบมันขึ้นมา ปัจจุบันเราก็ได้เห็น Skaterboard Brand ออกมาจับมือกับไลฟ์สไตล์แบรนด์ หรือแม้แต่ Luxury Brand ชนิดรายวัน แม้บรรดาตัวจริงรุ่นใหญ่จะไม่ค่อยพอใจ แต่เรากลับมองว่ามันคือต้นตอหลักที่สไตล์นี้ถือกำเนิดขึ้น ดังนั้นแม้เราจะไม่ได้เล่นสเก็ตบอร์ดจริง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องไปซีเรียส ขอแค่รู้สึกมั่นใจกับสไตล์ที่แต่งออกมาเท่านั้นเป็นพอ อย่าได้แคร์คนแซะคนแซว
สำหรับใครที่ยังไม่มีแผนจะเดินทางไปไหนในช่วงวันหยุดสงกรานต์นี้ ทีมงาน UNLOCKMEN มีช่องทางลัดหาเงินด่วนมาแนะนำคือการไปแคมป์รองเท้าพร้อมรอกดออนไลน์ เนื่องจากในวันที่ 14 เมษายนนี้จะมีสนีกเกอร์รุ่นโหด ๆ ที่สายคอลเลคเตอร์ต้องตกตะลึงวางจำหน่ายพร้อมกันถึง 4 รุ่นด้วยกัน หรือถ้าคุณสายสะสมต้องบอกว่าห้ามพลาด เพราะแต่ละคู่ที่กำลังจะวางขายล้วนโหดจนจิ้มไม่ถูกอยากจะคว้ามาไว้เสียแทบทุกคู่ #1 โดยคู่แรกจะเป็นการเปิดตัวรองเท้ารุ่น Air Jordan III “Free Throw Line” ซึ่งถือเป็นการครบรอบ 30 ปีของแบรนด์ ที่สำคัญโมเดล III ยังจัดว่าเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับสายนักสะสม เพราะมันมีเรื่องราวเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยว่าเป็นรองเท้าคู่ที่ทำให้ราชาดังค์ Michael Jordan สามารถคว้าแชมป์ Slamdunk Contest สมัยแรกได้ สำหรับหน้าตาของรองเท้าคู่นี้ หลายคนที่เป็นแฟน Jordan อาจจะสงสัยว่าทำไมมันช่างคล้ายกับรุ่น White/Cement เสียเหลือเกิน ไม่ต้องตกใจไปเพราะมันคือรุ่นเดียวเพียงแต่แบรนด์ได้ทำการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเล็กน้อย ๆ เพื่อสื่อถึงการเฉลิมฉลองการคว้าแชมป์ของ Michael Jordan ไม่ว่าจะเป็นบริเวณลิ้นรองเท้าที่ใส่ตัวเลข 147 หรือสกอร์รวมการดังค์สามครั้งของ MJ รวมไปถึงบริเวณส้นเท้าที่จะมีปริ้นเลข 3.51 หรือเวลาที่ Jordan กำลังค้างตัว air
‘STYLE OF THE FUTURE IS THE CONVERGENCE OF FUNCTION AND FASHION’ แฟชั่นยุคใหม่ ไม่ใช่แค่ดูเท่ ต้องมีประโยชน์ช่วยยกระดับการใช้ชีวิตประจำวันให้ดีขึ้นด้วย แมัจะฟังไม่ค่อยคุ้นหู นึกภาพแฟชั่นที่ว่าไม่ค่อยออก แต่ถ้าเราสังเกตโลกของแฟชั่นรอบตัว จะเห็นว่าปัจจุบันหลาย Items จากหลายแบรนด์ทั่วโลก มักจะดีไซน์ผลงานที่สามารถแก้ปัญหาบางอย่างอยู่เสมอ เช่น Sneakers ที่ใช้วัสดุเบา พร้อมพื้นดูดซับแรงกระแทก เพื่อลดโอกาสบาดเจ็บจากการวิ่ง ลดความเมื่อยล้าเมื่อสวมใส่ หรือจะเป็น Crease-Resistant Suit ที่ออกแบบให้ไร้รอยยับ แม้จะต้องพับใส่กระเป๋าเดินทางบ่อย ๆ แต่ไม่บ่อยนักที่เราจะได้เจอ Fashion Iteam ข้ามประโยชน์ไปหา Gadgets สามารถแก้ปัญหาในยุคมนุษย์ใช้ชีวิตติด Smartphone ได้แบบไม่ต้องกลัวแบตจะหมดกลางทาง วันนี้เราจะมาแนะนำอีก Fashion Item ที่หลายคนอาจเห็นว่าเป็น Accessory ที่สำคัญอันดับท้าย ๆ ไม่มีก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร นั่นก็คือ Bracelet หรือ สร้อยข้อมือ แม้จะมีวัสดุให้เลือกเพียบไม่ว่าจะเป็น Metal
อาจจะเพราะ Louis Vuitton และ Supreme เคยร่วมงานกันมาก่อน แล้วประสบความสำเร็จทั้งด้านชื่อเสียงและยอดขาย ทำตัวเลขกำไรเพิ่มขึ้นเบา ๆ 23% จึงไม่แปลกใจที่เราจะเห็นแบรนด์ในเครือ LMVH ออกมาจับมือ Collab กับ Supreme กันมากขึ้น โดยล่าสุด LVMH (Louis Vuitton Moet Hennessy) บริษัทที่มีแบรนด์ Luxury อยู่ในมือมากที่สุด ส่งแบรนด์ลูกรัก Rimowa กระเป๋าเดินทางสุดหรูที่ LVMH จ่ายเงินเป็นจำนวนถึง $719,000,000 หรือ 22,500,000,000 (สองหมื่นสองพันห้าร้อยล้านบาท) แลกหุ้น 80% จากมือ Mr. Dieter Morszeck, CEO ของ Rimowa และหลานของผู้ก่อตั้ง Mr. Paul Morszeck ในปี 1989 *FYI: หลายคนยังไม่รู้ นึกว่า LVMH จ่าย $500,000,000 ซื้อ Supreme
นับว่าเป็นข่าวอิมแพคในวงการ High-Fashion เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เกิดการโยกย้ายข้ามไปมาของกลุ่มผู้มีอิทธิพลและกำหนดทิศทางของแฟชั่นโลกหลาย ๆ คน เริ่มจาก Hedi Slimane ผู้ที่นำความเป็นไลฟ์สไตล์ดึงความเป็น youthful ใส่กลิ่นอายอารมณ์วัฒนธรรมร็อคลงไปจนทำให้แบรนด์ Saint Laurent โดดเด่นทั้งรันเวย์และท้องถนน แต่แล้วเมื่อต้นปีที่ผ่านมา Hedi Slimane ก็ได้ประกาศอำลาตำแหน่ง และย้ายไปนั่งแท่น artistic creative director ของ CÉLINE ดังนั้นคาดว่าทิศทางของแบรนด์น่าจะได้ความเป็น grunge rock aesthetic ของ Slimane มาเต็ม ๆ อย่างแน่นอน มาต่อกับอีกแบรนด์ที่น่าจะเสียศูนย์พอสมควรหลังจาก Riccardo Tisci ผู้ชุบชีวิตแบรนด์ GIVENCHY ให้กลับมาผงาดคืนชีพอีกครั้งด้วยซิกเนเจอร์ส่วนตัวสตรีทลักซ์ชัวรี่อย่าง Dark Romantic และ Animal Spirits ต่าง ๆ โดยเฉพาะ Rottweiler ประกาศลาออกเมื่อปีกลายก่อนจะไปจับโปรเจคกับ Versace อยู่แวบหนึ่งและเพิ่งได้ตอบตกลงรับตำแหน่ง chief creative officer
หากพูดถึงวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของโลกในปัจจุบันอย่าง Skate Culture ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจากกีฬาเอ็กซ์ตรีมธรรมดา เพราะแต่เดิมมันเป็นเพียงการเล่นผาดโผนที่แม้แต่ผู้ปdครองเองยังไม่ค่อยจะอนุญาต ก่อนที่จะค่อย ๆ ขยายตัวฝังลึกเข้าไปถึงแก่นสารของวัฒนธรรม ซึ่งแสดงออกผ่านทางการแต่งกาย รสนิยมการฟังเพลง รวมไปถึงสถานที่เที่ยว และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมาก ยิ่งในตอนนี้มันได้หลอมรวมกลายเป็น mainstream culture ชนิดที่เราเองยังแทบจะไม่รู้ตัว โดยหากต้องแตกประเด็นของเรื่องสเก็ตบอร์ดออกมาให้พูดเป็นวันก็คงจะไม่จบ แต่เพื่อให้ชาว UNLOCKMEN ได้เข้าใจที่มาวัฒนธรรมกระดานสี่ล้อเพื่อเป็นการวอร์มอัพก่อนสกู๊ปใหญ่ประจำเดือน เราจึงสรุปเรื่องราวความเป็นมาแบบคร่าว ๆ ของวัฒนธรรมสเก็ตบอร์ดมาเล่าให้ฟังในวันนี้ ย้อนกลับไปในปี 1950 กีฬา surfing ถือว่าได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับวัยรุ่นชาว California แต่นั้นไม่เพียงพอต่ออะดรีนาลีนที่พุ่งพล่านพยายามหาอะไรที่สนุกสุดเหวี่ยงและต้องการความมันส์บ้าบิ่นในชีวิตประจำวัน ดังนั้นจึงเกิดไอเดียนำเอากล่องไม้มาดัดแปลงมาติดล้อโรลเลอร์สเก็ตลงไปและใช้ไถไปมาตามถนน ซึ่งในเวลานั้นยังคงไม่มีคำว่า skateboard ทว่าคนทั่วไปจะเรียกกลุ่มเด็กเหล่านี้ว่า sidewalk surfing ความนิยมของเจ้ากระดานล้อลื่นมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งบริษัททำกระดาน surf ใน California ได้ติดต่อกับ Bill Richard เจ้าของธุรกิจ Chicago Roller Skate เพื่อประกอบกระดาษสเก็ตบอร์ดสำเร็จรูปขึ้น มาเป็นครั้งแรก โดยผู้เล่นต้องถอดรองเท้า แต่ในเวลาต่อมาได้เกิดโรงงานผลิตอีกนับไม่ถ้วน อาทิ
การเริ่มต้นเช้าวันใหม่ที่ต้องตื่นมาส่องกระจกแล้วพบว่าผมของตัวเองในปัจจุบันไม่ใช่ทรงในอุดมคติอีกต่อไป ทั้งยาวกระเซิง แทงหูทิ่มตา จนเกิดความคิดว่าคงถึงเวลาต้องหั่นออกให้เรียบร้อยเสียหน่อย แต่ความน่ากลัวที่ผู้ชายมักจะต้องเจออยู่เป็นประจำก็คือ การเสี่ยงดวงในร้านตัดผม เพราะเราเองยังจดจำครั้งล่าสุดที่เข้าร้านตัดผมได้ว่า เมื่อบอกให้ช่างตัดทรง Undercut แบบพี่หมื่นเรืองไป แต่เมื่อเสร็จกลับพบว่าทรงที่ได้มาเหมือนกับทหารพึ่งปลดประจำการมาไม่มีผิดเพี้ยน แล้วจะโทษใครได้ล่ะทีนี้ ตัวเราเองหรือช่างตัดผม ? ถ้าไม่อยากให้ความผิดพลาดแบบนี้เกิดขึ้นอีกล่ะก็วันนี้ UNLOCKMEN มี 5 ศิลปะการเข้าร้านตัดผมมาฝาก ให้คุณไม่ต้องพลาดได้ผมผิดทรงกลับบ้านอีกต่อไป 1. หารูปตัวอย่างให้เหมาะสม การนำรูปทรงผมไปให้ช่าง จะช่วยคุณได้มากทีเดียว ควรเก็บข้อมูลก่อนจะออกไปร้าน เพราะเราจะมีเวลาเลือกอย่างไม่ต้องเร่งรีบ ค้นหาภาพจากโทรศัพท์หรือนิตยสาร โดยเลือกจากแบบที่มีรูปหน้าและชนิดของผมคล้ายกับเรามากที่สุด อย่าทึกทักไปเองว่านี้แหละใช่ และเมื่อขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้เพื่อเตรียมตัดก็ใช้ภาพชี้จุดให้ช่างดูอย่างชัดเจนว่าคุณต้องการตัดแต่ละส่วนออกแค่ไหน บอกช้า ๆ ไม่ต้องกลัวช่างจะอารมณ์เสียกับความเรื่องมาก เพราะทุกวันนี้การใส่ใจในเรื่องที่ทำให้ตัวเองดูดีเป็นสิ่งที่ทุกคนทำกัน 2. เน้นย้ำกับสิ่งที่คุณต้องการเป็นพิเศษ ถ้าคุณต้องมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างตัดผม ให้เน้นจุดบอกไปเลย เพราะบางทีช่างก็อ่านใจเราไม่ออก ตัวอย่างเช่น ผมข้างบนเอาออกนิดเดียว ส่วนนี้ก็ต้องขยายความคำว่านิดเดียว ว่าจะให้ตัดออกตรง ซอยให้บางลง หรือแค่เก็บส่วนชี้ฟู ถ้าคิดว่าร้านที่เข้าช่างรู้จักศัพท์เฉพาะ เช่น Fade ( ไถ่ไล่ระดับผมจากบางไปหนา )
ข่าวนี้ทีมงาน UNLOCKMEN อยากจะฝากเตือนภัยสำหรับคนที่ชอบผูกระบบแอคเค้าท์ต่าง ๆ ไว้ที่เดียวกัน หรือ ตั้งค่าพาสเวิร์ดง่าย ๆ ที่สามารถคาดเดาได้ ซึ่งล่อตาล่อใจมิจฉาชีพสายไอทีเสียเหลือเกิน จนเราอยากนำข่าวนี้มาเป็นอุทาหรณ์เตือนใจไม่ให้พลาดพลั้งเสียท่าให้กับผู้ไม่หวังดีเหล่านี้กัน เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีการเปิดเผยว่า MyFitnessPal แอพพลิเคชั่นด้านสุขภาพและออกกำลังกาย ซึ่งเป็นของแบรนด์ชุดกีฬาชื่อดังจากอเมริกาอย่าง Under Armour ประกาศว่าฐานข้อมูลของตัวเองโดนแฮ็กระบบและมีข้อมูลของผู้ใช้งานรั่วไหลไปกว่า 150 ล้านราย แม้ว่าทาง Under Armour จะยืนยันหนักแน่นเหลือเกินว่าข้อมูลสำคัญของลูกค้าไม่มีการรั่วไหลไปไม่ว่าจะเป็น ประกันสังคม, บัตรเครดิต และใบขับขี่ เนื่องจากอ้างว่าถูกเก็บอยู่คนละที่กัน โดย Under Armour ระบุว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2018 แต่เพิ่งค้นพบเมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา ข้อมูลที่หลุดออกไปมีชื่อผู้ใช้ อีเมล และโชคดีที่รหัสผ่านส่วนใหญ่ถูกเข้ารหัสผ่าน bcrypt ไว้ ทว่าสิ่งที่ถูกแฮ็กไปคือ อีเมล และค่า Hash ของรหัสผ่าน อย่างไรก็ตามทาง Under Armour ได้แจ้งไปยังผู้ใช้งานทั้งหมดให้เร่งเปลี่ยนรหัสผ่านแล้ว พร้อมทั้งออกแจ้งเตือนผู้ใช้งานถึงเหตุการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นถัดไปคือเรื่องของ Phishing โดยแจ้งว่าอีเมลแจ้งเตือนในเหตุการณ์รั่วไหลของ MyFitnessPal นี้ไม่มีลิงก์หรือไฟล์แนบและไม่มีการร้องขอข้อมูลส่วนตัวใด ๆ
เป็นปัญหาใหญ่สำหรับนักออกแบบ ตากล้อง หรือใครก็ตามที่ต้องใช้ iMac ในการทำงาน แม้ประสิทธิภาพจะจัดว่าเด็ดตามประสา apple หน้าจอจะแจ่มชัดจัดเต็มแค่ไหน แต่เมื่อต้องไปทำงานออกกองแบบ on-site หรืออยากจะแบกคอมไปจบปัญหาแก้งานแก้สีต่อหน้าลูกค้า ครั้นจะแบก iMac ไปก็ทุลักทุเลเหลือรับ ถามใครที่เคยแบกไปจะรู้ดีว่าการต้องยัด iMac ใส่กล่องหอบขึ้นรถไฟฟ้ามันเหมือนฝันร้ายชัด ๆ วันนี้เรามีทางออกมาบอกกล่าวชาว iMac User โดยเฉพาะ นั่นคือ Lavolta Carrying Case Bag กระเป๋าที่ถูกออกแบบมาเพื่อบรรจุ iMac สะพายอย่างเหนือชั้น Lavolta Case Bag เป็นกระเป๋าที่ผลิตแบบ handmade อย่างดี ภายนอกดีไซน์สวยงาม ภายในมีผ้า Microfiber นุ่ม ๆ คอยรองรับหน้าจอไม่ให้มีรอยขีดข่วย และรองรับแรงกระแทกได้ประมาณหนึ่ง มีหน้าที่ห่อหุ้ม iMac ได้แบบง่าย ๆ ใน 3 ขั้นตอน สวมเข้าจากด้านล่าง เอาขาตั้งลอดเข้าไปในหูหิ้ว ดึงกระเป๋าขึ้นคลุมถึงจอด้านบน จากนั้นก็รูดซิปปิดเป็นอันเสร็จพิธี ยังไม่จบแค่นั้น
ถือว่าเป็นข่าวใหญ่สำหรับคนที่ชื่นชอบรองเท้าสนีกเกอร์ เพราะหลังจากหายหน้าหายตาไปถึง 2 ปี ล่าสุด Nike ประเทศไทยสามารถนำแบรนด์ยอดนิยมอย่าง Jordan กลับมาขายในไทยได้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งถือว่าลบฝันร้ายของแฟน Jordan เสียที เพราะก่อนหน้านี้หากอยากจะได้รองเท้ารุ่นอะไรต้องคอยฝากเพื่อนหิ้วจากต่างประเทศหรือไปโดนราคารีเซลมหาโหดจนถอดใจพลางบอกว่าไม่ใส่แม่งก็ได้วะ ทว่าหลังจากการกลับมา Nike และ Jordan ก็เรียกเสียงฮือฮาโดยการปล่อยหมัดเด็ดรุ่นฮิตอย่าง Air Jordan 11 เป็นคู่แรกอย่างเป็นทางการ สำหรับรองเท้าคู่แรกที่จะกลับมาวางขายทางร้านสโตร์ทั่วไปในบ้านเราก็คือ Air Jordan 11 “Easter” โดยเป็นการเอารองเท้ารุ่นที่ 11 ฉบับข้อต่ำหรือ “Low-Top” ของตระกูล Air Jordan มาสร้างสรรค์อีกเช่นเคย โดยรองเท้าคู่นี้ผ่านการดีไซน์โดย Tinker Hatfield สุดยอดปรมาจารย์นักออกแบบชื่อดังของ Nike ซึ่งเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากเครื่องตัดหญ้านับว่าแปลกใหม่อย่างมาก รองเท้าคู่นี้ยังมีสตอรี่เกร็ดเล็กน้อยที่น่าสนใจอีกคือ ความตั้งใจเดิมของ Tinker Hatfield เมื่อคุยกับ Michael Jordan หลังจากเขารีไทร์(รอบแรก 1993 – 1994) ว่าต้องการรองเท้าที่สามารถใส่หล่อ ๆ ลำลองได้ ดังนั้นรองเท้าต้นแบบจึงมีกลิ่นอายความเป็นไลฟ์สไตล์มากกว่าใช้เล่นบาสเสียอีก ทว่าอยู่ดี