ในยุคที่การทำธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงจากรูปแบบ Brick and Mortar เข้าสู่ยุคออนไลน์ในโลกดิจิตัลแบบเต็มรูปแบบ ต้องบอกเลยว่าใครปรับตัวได้ก่อนย่อมได้เปรียบ เพราะในยุคที่ Digital Disrupt เทคโนโลยีมีบทบาทเข้ามาสู่ชีวิตประจำวัน เรียกได้ว่าตั้งแต่ตื่นนอนก็เปิดเฟสบุ๊คอัพเดทข่าวสาร กดเรียก Uber ไปทำงาน ซื้อของผ่านออนไลน์ และการทำธุรกรรมอีกมากมายผ่านทางอินเทอร์เน็ต ยุคที่ต้องมีการปรับตัวอย่างมากเพื่อให้ธุรกิจตอบโจทย์กับความต้องการที่ไร้ขอบเขต เป็นโอกาสอันดีที่ทีมงาน UNLOCKMEN มีโอกาสได้เข้าร่วมงาน THE PREMIER Success Forum 2017 : BEHIND the PRidE-TITUDE ที่จัดโดย บริการเดอะพรีเมียร์ ธนาคารกสิกรไทย ได้เปิดเวทีเล่าแนวคิดและแรงขับเคลื่อนชีวิตสู่เป้าหมายของ 4 บุคคลที่ประสบความสำเร็จบนโลกดิจิทัลในแต่ละสายงาน ซึ่งต้องบอกว่าแต่ละคนมีแนวคิดที่เจ๋ง และสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนยุคใหม่ เราจึงไม่พลาดที่จะนำแนวคิดดี ๆ ของเขาเหล่านั้นมาแบ่งปันกัน ยอด ชินสุภัคกุล ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่น “วงในดอทคอม” (wongnai.com) ถ้าพูดถึงเรื่องการหาที่กินใหม่ ๆ เรามั่นใจว่าใคร ๆ ก็ต้องรู้จัก ”wongnai.com” เว็บไซด์ที่รวมรวมร้านอาหารอร่อย สถานที่เจ๋ง ๆ มาไว้ในที่เดียว
เผลอแป๊บเดียวก็เกือบหมดปี 2017 กันอีกแล้ว สำหรับบางคนไฟที่เคยลุกโชนโชติช่วงเมื่อต้นปี ก็มีท่าทีจะริบหรี่มอดลงซะแล้ว ฉะนั้นเห็นทีคงต้องหาทางมาเติมเชื้อไฟให้ชีวิตกันหน่อย เริ่มจากการ ประมวลผลเวลาที่ใช้ไปตลอดที่ผ่านมากันดีกว่า ไม่แน่อาจจะพบว่าคุณใช้เวลาชีวิตอย่างพร่ำเพรื่อ จนไม่เวลาเหลือให้กับการพัฒนาตัวเองมากจนคาดไม่ถึงก็ได้ วันนี้เรามีวิธีการที่ชื่ว่า “The Rule of 3″ หรือ “กฎ 3 สิ่ง” ที่สามารถเติมเชื้อไฟให้กับชีวิต ทำให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่ทำผ่าน ๆ ไปแบบซังกะตายไปวัน ๆ มาฝาก What is the Rule of 3? จริง ๆ กฏ 3 อย่างนี้ ถูกตีความไว้หลายแบบ แต่แบบที่เราสนใจ และคิดว่าน่าจะนำมาปรับใช้ได้ง่ายที่สุด คือ การที่เริ่มวันใหม่ด้วยการกำหนดทิศทางของตัวเองให้ชัดเจน ก่อนที่จะเริ่มทำงานในตอนเช้าทุกวัน ๆ โดยให้คุณตัดสินใจว่า 3 สิ่ง ที่คุณจะพิชิตให้สำเร็จภายในวันนี้มีอะไรบ้าง และก่อนเริ่มสัปดาห์ใหม่ ก็ลองกำหนดเป้าหมายใหญ่ๆ 3 สิ่ง ของแต่ละสัปดาห์เอาไว้ด้วย ฟังดูแล้วเหมือนจะง่าย ๆ แต่บอกเลยว่า
การเจอใครสักคนเป็นครั้งแรกไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะการเจรจาทางธุรกิจที่ไม่ว่าแมนแค่ไหนก็ต้องมีหวั่น ๆ กันบ้าง แค่จะคุยให้ราบรื่น ไม่มือไม้สั่นก็ยากแล้ว แต่จะคุยอย่างไรให้คนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกชอบคุณได้ใน 5 นาที? ไม่ต้องคิดเองให้สมองระเบิด UNLOCKMEN มี 5 ข้อง่าย ๆ ทำได้จริง ที่ไม่ว่าเจรจากับใคร คนที่คุยด้วยก็จะชอบคุณได้ใน 5 นาที 1.ถามคำถามปลายเปิด คำถามปลายปิด หรือการเปิดโอกาสให้คู่สนทนาที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกตอบได้แค่ใช่หรือไม่ใช่นั้นทำให้บทสนทนาสั้นลงกว่าที่ควรเป็นหลายระดับ แต่การถามคำถามปลายเปิดให้คู่สนทนามีโอกาสคิดคำตอบกว้าง ๆ เป็นการทำให้เขารู้สึกว่าเราอยากรับฟังเขา เปิดโอกาสให้เขาได้แสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ ที่สำคัญยังทำให้เราสามารถต่อบทสนทนาให้ยาวขึ้นอีก ด้วยการถามคำถามเพิ่มเติมจากคำตอบที่เขาให้กลับมา 2.นิ่งฟังอย่างตั้งใจ แม้ว่าเราจะอยากนำบทสนทนาไปสู่กาเจรจาอันสมบูรณ์แบบที่เราตั้งความหวังไว้ต้งแต่แรก แต่คุณควรนิ่ง ตั้งใจฟัง สบตาคู่สนทนา พยักหน้าแสดงความสนใจเพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณกำลังตั้งใจฟังอยู่ เมื่อฟังไปสักพัก ค่อยตั้งคำถามกลับจากเรื่องที่คู่สนทนากำลังเล่า แต่ไปในทิศทางที่คุณต้องการ เพื่อให้เขารู้สึกว่าคุณไม่ได้จงใจมาสื่อสารแค่เรื่องของคุณ แต่ตั้งใจฟังเรื่องของเขามากกว่า 3.หาอะไรที่คุณกับอีกฝ่ายมีเหมือนกัน การมีความสนใจคล้าย ๆ กัน การมีะไรเหมือน ๆ กัน จะยิ่งทำให้คุณสองคนหาเรื่องคุยได้ง่ายขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง แต่ความสนใจที่เหมือนกันจะทำให้คุณหาเรื่องมาคุยได้ไม่รู้จบ ยิ่งทำให้ทั้งคุณและคู่สนทนาไม่รู้สึกดดันกับการคุยกับคนคนนั้นเป็นครั้งแรก ดังนั้นพยายามชวนคุยด้วยคำถามปลายเปิดเยอะ ๆ เพื่อที่จะรู้ว่าคนคนนั้นชอบอะไรบ้าง และมีอะไรที่เราชอบเหมือนกัน ถ้าเจอแล้วคุยถูกคอ
เราต่างมีเวลาในหนึ่งวันเท่า ๆ กัน แต่การจัดการและการเลือกใช้เวลาไม่เหมือนกัน คนประสบความสำเร็จเขาทำอะไรในหนึ่งวันเราคงพอจะรู้กันมาบ้าง แต่สิ่งสุดท้ายที่พวกเขาทำก่อนนอนคืออะไรบ้าง ทำแล้วจะช่วยให้นอนอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นไหม? หรือทำแล้วชีวิตวันต่อไปจะง่ายขึ้นบ้างหรือเปล่า? เรามาดูกันว่าคนประสบความสำเร็จระดับโลก 7 คนเขาทำอะไรก่อนเข้านอนกัน 1.Bill Gates: อ่านหนังสือก่อนนอน เจ้าพ่อไมโครซอฟต์อย่าง Bill Gates มักจะเผื่อเวลาก่อนเข้านอนของตัวเองไว้สำหรับการอ่านหนังสือเสมอ โดยเขาจะอ่านหนังสือก่อนเข้านอนเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ไม่ว่าคืนนั้นเขาจะนอนดึกขนาดไหน 2.Sheryl Sandberg: ตัดขาดการติดต่อสื่อสาร Sheryl Sandberg คืออดีตกรรมการอำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของโซเชียลมีเดียชื่อก้องโลกอย่างเฟซบุ๊ก เธอเลิกที่จะชัตดาวน์การสื่อสาร ด้วยการปิดโทรศัพท์มือถือคู่กายลงเมื่อเธอจะต้องเข้านอน โดยเธอยอมรับว่าแม้มันจะเจ็บปวดมากเมื่อต้องปิดมือถือแต่ละที แต่ก็คุ้มค่ากับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ 3.Oprah Winfrey: นั่งสมาธิ ถ้าจะให้บอกว่า Oprah Winfrey เป็นใคร ก็คงต้องไล่กันยาว เพราะเธอเป็นทั้งนักธุรกิจ นักแสดง โปรดิวเซอร์ และพิธีกรชื่อดัง แต่ไม่ว่าในแต่ละวันเธอจะยุ่งมากขนาดไหน ก่อนนอนเธอก็จะแบ่งเวลาให้กับการทำสมาธิเสมอ ๆ 4.Elon Musk: หยุดกินกาแฟ CEO ระดับโลกที่กำลังมาแรงที่สุดขณะนี้อีกคนหนึ่งคงหนีไม่พ้น Elon Musk ที่ปกติเขาต้องดื่มกาแฟ
ต้นสัปดาห์ทีไร อาการง่วง เหงา หาว นอน รู้สึกว่าวันหยุดทำไมมันช่างแสนสั้นเหลือเกิน อยากจะนอนพักผ่อนอยู่บ้านหายใจทิ้งไปอย่างเฉย ๆ ยังไม่พร้อมจะลุกขึ้นมาทำงาน ด้วยภารกิจหน้าที่การงาน ทำให้เราต้องลุกขึ้นมารับผิดชอบกับกิจกรรมประจำวันที่สำคัญกับชีวิต ซึ่งเราเข้าใจว่าการสร้างแรงบันดาลใจในเช้าวันจันทร์เป็นอะไรที่ยาก ดังนั้นเราจึงต้องหาเคล็ดลับในการช่วยเพิ่มพลังอย่างง่าย ๆ นั้นคือการฟังเพลง ซึ่งก่อนหน้านี้เราเคยนำเสนอเรื่องราวที่ว่าดนตรีสามารถปลุกเร้าอารมณ์ให้ผู้ฟังรู้สึกฮึกเหิมละพร้อมจะทำงานไปบ้างแล้ว แต่ข้อดีอีกอย่างของการมี playlist ที่ดี คือสามารถกระตุ้นการตอบสนองทางร่างกาย และจิตใจ ที่เป็นประโยช์นสำหรับการทำงาน และปฎิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานได้ดีอีกด้วย เพราะนักวิจัยที่ Dennis Hsu จากมหาวิทยาลัย Northwestern University ได้ลองทำการสำรวจโดยการสังเกตพฤติกรรมของนักกีฬา เมื่อเขาเปิดเลือกเพลงหลากหลายประเภท อาทิ ฮิปฮอป เร้กเก้ เฮฟวีเมทัล จำนวนกว่า 30 เพลง ผลลัพธ์ที่ได้คือเพลงที่มีจังหวะเบสหนักแน่น จะช่วยเพิ่มแรงขับให้รู้สึกฮึกเหิม และมีกระตุ้นความมั่นใจพร้อมที่จะเริ่มงาน ในเช้าวันใหม่มากขึ้น (CNN) ไม่เท่านั้นเขายังพยายามศึกษาต่อไปว่า เพลงที่มีทำนองเบสเป็นจุดเด่น ยังเสริมความมั่นใจให้กับคนที่กำลังรู้สึก กังวลใจ หรือไม่มั่นใจในตัวเอง สำหรับสถานการณ์ที่น่าตื่นเเต้น อาทิ สัมภาษณ์งาน หรือขายงานลูกค้า ดังนั้นเราจึงไปค้นหาเพลงจังหวะเบสดี ๆ
เชื่อว่าในช่วงชีวิตของคนเรา เกือบทุกคนต้องเคยเจอกับจังหวะที่ชีวิตหมดไฟ ไม่อยากทำอะไร ทุกอย่างดูน่าเบื่อหน่ายไปหมด ขาดแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของตัวเอง เป็นอาการยอดฮิตมากโดยเฉพาะในหมู่ผู้คนยุคปัจจุบัน ยุคที่คนส่วนใหญ่เลือกใช้ชีวิตตามที่สังคมเห็นว่าดี บอกว่าใช่ ดูเหมือนหลายคนเลือกที่จะเชื่อ ที่จะเป็น โดยลืมความเป็นตัวเองไปจนหมดสิ้น คนที่เจอกับอาการนี้มักจะหาสาเหตุไม่เจอ เพราะ Comfort Zone ในยุคนี้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่ายุคก่อน ๆ มาก จากการบอกต่อกันว่าแบบนั้นไม่ดี แบบนี้ไม่ได้ จะเรียกว่าสังคมส่วนใหญ่เลือกทางให้เดินตาม ๆ กันก็ไม่ผิดนัก เราอาจจะเผลอเดินในเส้นทางที่สังคมนิยมสร้างไว้ให้อย่างแข็งขัน จนลืมไปว่า ตัวตนที่แท้จริงของเรานั้น เป็นใครกันแน่? สิ่งที่เราอยากทำ สิ่งที่เราชอบทำ ทำไมเราถึงไม่ได้ทำมัน? เพราะเราทำไม่ได้ เพราะเราไม่มีเวลาทำ หรือเพราะเรากลัวสังคมมองว่าแปลก ถ้าเราจะทำ? คำว่า BE WHAT U WANNA BE การเป็นตัวเอง ดูจะกลายเป็นเรื่องยาก หรือเราทำให้มันยากเองกันแน่? ‘Man is only great when he acts from passion’ quote อันโด่งดังของ Benjamin
บางทีการฝึกสมองก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธียาก ๆ หรือชวนเบือนหน้าหนีอย่างการฝึกทำโจทย์เลข การแก้ปัญหาเชาว์ แต่อาจง่าย ๆ แค่เปลี่ยนวิธีแปรงฟัน! ใช่ เราไม่ได้โกหกคุณ แค่เปลี่ยนวิธีแปรงฟัน เล่นเกม หรือเปลี่ยนชนิดอาหารก็ทำให้สมองเราแข็งแกร่งขึ้น รวมถึงความทรงจำ ความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถในความเข้าใจสามารถฝึกฝนกันได้เช่นกันด้วยวิธีง่าย ๆ แต่สม่ำเสมอ ทำทุกวันรับรองฉลาดกว่าเดิมแน่นอน 1.ตั้งคำถาม วิธีง่ายดายสุดสามัญ แต่เป็นสิ่งที่ใครหลายคนอาจไม่กล้าทำ เพราะกลัวว่าจะดูเป็นคนไม่รู้เรื่อง ดูเป็นคนไม่ฉลาด แต่การตั้งคำถามนี่เองที่จะทำให้คุณเข้าใจอะไรรอบตัวคุณได้ความรู้มากขึ้นทุกวัน ๆ 2.ออกกำลังกาย งานวิจัยเรื่อง Effects of acute bouts of exercise on cognition แสดงให้เห็นว่าการวิ่งมีส่วนเชื่อมโยงกับการเพิ่มศักยภาพการเรียนรู้ การจดจำของสมอง เพราะฉะนั้นออกกำลังกายได้ทั้งความแข็งแรงของร่างกาย ได้ทั้งความแข็งแรงของสมอง การเรียนรู้ และการจดจำ จะมัวหาข้ออ้างในการไม่ออกกำลังกายอยู่ทำไม? 3.กินอาหารเพื่อสุขภาพ งานวิจัยเปิดเผยว่าการกินโปรตีนลีน ๆ อย่างปลา กินผักและผลไม้เยอะ ๆ หรือมื้ออาหารแบบที่เรียกว่า Mediterranean-type diet มีส่วนช่วยบำรุงสมองของเราให้แข็งแรง โดยอาทิตย์หนึ่งกินแบบนี้สัก 2 ครั้งก็ช่วยบำรุงสมองได้มากแล้ว
ใคร ๆ ก็อยากเก่ง จะเก่งมาก เก่งน้อย หรือเก่งในหนทางไหน แต่การได้เป็นอัจฉริยะในศาสตร์ที่เราชอบก็เป็นเรื่องที่เราทุกคนต่างใฝ่ฝัน แต่อะไรคือเทคนิคการเรียนรู้ของอัจฉริยะระดับโลกอย่างไอน์สไตน์? เราพอจะเลียนแบบเทคนิคการเรียนรู้จากเขาได้ไหม? แล้วมันจะยากเกินความสามารถของเราไปหรือเปล่า? ถ้าคุณกำลังสงสัยเหมือนกันกับเรา วันนี้ UNLOCKMEN มีคำตอบจากจดหมายที่ไอน์สไตน์เขียนถึงลูกชายตัวเองมากฝากกัน ความอัจฉริยะของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นที่รับรู้กันทั่วไป แม้แต่เด็กประถมยังต้อง อ๋อ เมื่อเอ่ยถึงเขา ซึ่ง UNLOCKMEN คงไม่ต้องเสียเวลาบรรยายอะไรให้มากความ นอกจากนั้นยังเป็นเรื่องที่เล่าต่อ ๆ กันมาจนคุ้นหูว่าเขาไม่ได้เกิดมาแล้วถูกยอมรับว่าเป็นคนที่อัจฉริยะตั้งแต่เด็ก แต่เขากลับเคยถูกสบประมาทจากครูของตัวเองด้วยซ้ำว่าในชีวิตนี้ไม่น่าจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้ นั่นแปลว่าเราทุกคนก็มีสิทธิเรียนรู้ ฝึกฝนในหนทางของตัวเอง จนช่ำชองหรือเก่งในสิ่งที่เราสนใจ ย้อนกลับไปในปี 1915 ในขณะนั้นไอน์สไตน์อาศัยอยู่ที่เบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน แต่ลูกชาย 2 คนของเขาอาศัยอยู่ที่เวียนนา ประเทศออสเตรีย ในยุคสมัยที่อีเมล เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ยังไม่เปิดเผยตัวตนออกมา หนทางเดียวที่ไอน์สไตน์จะสื่อสารกับลูกชายของเขาได้ก็คงหนีไม่พ้นการเขียนจดหมาย โดยเขาเขียนจดหมายถึง ฮานส์ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ลูกชายวัย 11 ขวบของตัวเอง จากนั้นจดหมายฉบับนั้นก็เดินทางผ่านกาลเวลา จนกระทั่งถูกรวบรวมไว้ในหนังสือเรื่อง Posterity: Letters of Great
เราเติบโตมาพร้อมคำพูดที่ว่า “ขยันวันนี้สบายวันหน้า” เราอยู่ในสังคมที่บอกว่าต้องลำบากก่อนแล้วสบายทีหลัง เชื่อตามกันมาโดยคิดว่ามันดีที่สุด ถูกที่สุด ย้อนกลับไปตอนยังเด็ก เราถูกบอกว่าต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อนถึงจะได้ออกไปเล่น ต้องกินอาหารจานหลักก่อนแล้วค่อยกินขนมหวาน ต้องตั้งใจเรียนก่อนแล้วถึงจะได้รางวัล สอบมิดเทอมเสร็จก่อนแล้วค่อยไปปาร์ตี้กับเพื่อน ฯลฯ แม้กระทั่งตอนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องคอยบอกตัวเองว่าทำงานให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปสนุกสุดเหวี่ยง การทำงานก่อน แล้วเอาความสนุก ความสุข ความสบาย ไว้เป็นเพียงรางวัลปลอบใจให้ความหนักหน่วงของชีวิตใช่คำตอบที่ถูกต้องเสมอไปหรือเปล่า? เราเคยสงสัยกันบ้างไหม? หรือเราแค่เชื่อตาม ๆ กันมาแล้วบอกว่าดีโดยไม่เคยตั้งคำถามกับมันกันแน่? โชคดีดันมีคนเขาสงสัยว่าวิธีคิดแบบนี้มันถูกต้องแน่หรือเปล่าจึงเกิดเป็นงานวิจัยที่ชื่อว่า Worth the Wait? Leisure Can Be Just as Enjoyable With Work Left Undone ขึ้น ซึ่งจัดทำโดย Ed O’Brien จาก University of Michigan งานวิจัยมีสมมติฐานหาญกล้าที่ว่า ไม่เห็นต้องทำงานก่อน สนุกทีหลังเลย คนเราควรสนุกแม่งเลย ทำงานด้วยสนุกด้วย อย่าเอากรอบมาขวาง จากนั้นเขาจึงทำการทดลองหลาย ๆ รูปแบบ เริ่มต้นที่พนักงานที่ทำงานในพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งมาทำกิจกรรม 2 อย่าง
หากพูดถึงร้านขายอุปกรณ์กีฬาที่ไม่ใช่แบรนด์สโตร์แล้วละก็ ในประเทศไทยคงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก Ari (อาริ) ร้านคอนเซ็ปต์สโตร์ที่เปิดขึ้นมารองรับสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในเรื่องของกีฬา รวมถึงไลฟ์สไตล์แบบสปอร์ต จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่ต้องการสานฝันความชอบของตัวเอง จนเป็นแรงผลักดันถึงปัจจุบันทำให้ Ari (อาริ) สามารถขยับขยายร้านจนกลายเป็นแถวหน้าในเรื่องอุปกรณ์กีฬา เพื่อล้วงเบื้องหลังความสำเร็จของพวกเขา วันนี้ UNLOCKMEN จึงได้ติดต่อขอสัมภาษณ์แบบ Exclusive กับ คุณ เอ็กซ์ – ศิวัช วสันตสิงห์ ผู้ก่อตั้ง Ari (อาริ) ที่จะมาบอกเล่าเคล็ดลับความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจที่ทุกท่านสามารถนำไปใช้เป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวเองได้ UNLOCKMEN : ขอถาม background คุณเอ็กซ์ก่อนมาเริ่มทำร้าน Ari หน่อย? จริง ๆ ที่บ้านเป็นข้าราชการเกือบหมด คุณแม่ทำออฟฟิศ ส่วนคุณพ่อก็เป็นข้าราชการ ท่านก็ตั้งเป้าอยากให้เราเป็นข้าราชการเหมือนท่าน ก่อนหน้านี้ผมเลยทำงานอยู่กระทรวงการต่างประเทศ แต่คือมันไม่ไหว มันไม่ใช่ตัวเองก็เลยอยากออกมาทำธุรกิจของตัวเอง UNLOCKMEN : แล้วจุดเริ่มต้นของร้าน Ari มันมาจากไหน? เริ่มจากว่าเราชอบเตะฟุตบอล เราชอบรองเท้าสตั้ด อุปกรณ์กีฬาอะไรเงี้ย แต่เมื่อก่อนเมืองไทยมันไม่มีร้านขาย เราก็ต้องฝากเพื่อนซื้อจากต่างประเทศ หรือไม่ก็ต้องวิ่งไปตามร้านที่เขาหิ้วมาขาย เรารู้สึกว่า เอ้ย ทำไมมันไม่มีร้านขายอุปกรณ์เกี่ยวฟุตบอลอย่างเดียว ก็เลยเหมือนแบบอยากทำ