เมื่อถึงช่วงสิ้นปีเก่าขึ้นปีใหม่ อันดับและสถิติต่าง ๆ ก็จะดาหน้าออกมาให้เราได้รับชมกัน นิตยสารธุรกิจและการเงินชื่อดังของสหรัฐฯ อย่าง Forbes ก็ไม่พลาดที่จะจัดอันดับในหัวข้อเซเลบริตี้ที่มีรายได้มากที่สุดในโลกประจำปี 2018 โดยวัดจากรายได้ก่อนหักภาษีและค่าธรรมเนียม รวมถึงอ้างอิงจากเว็บไซต์การเงิน และผู้เชี่ยวชาญในวงการต่าง ๆ ซึ่ง UNLOCKMEN จะพาไปดูว่าเหล่าเซเลบฯ ที่รวยที่สุด 5 อันดับแรกสร้างรายได้มหาศาลจากอะไรกันบ้าง 5. Dwayne Johnson มูลค่าทรัพย์สิน 124 ล้านเหรียญ หรือราว 4,040,000,000 บาท ในปีนี้ Dwayne Johnson คือหนึ่งในนักแสดงชายที่ทำงานหนักตลอดทั้งปี จนปีนี้นอกจากจะติดในอันดับ 5 เซเลบฯ ที่มีรายได้มากที่สุดในโลกแล้ว เขายังกลายเป็นนักแสดงฮอลลีวูดที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ตั้งแต่มีการจัดอันดับมากว่า 20 ปี เจ้าตัวก็เคยให้สัมภาษณ์ว่าจากนักมวยปล้ำที่ได้ค่าตัว 40 เหรียญ (ประมาณ 1,300 บาท) ต่อการแข่งหนึ่งแมท ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะมาได้ถึงขนาดนี้ Dwayne Johnson ยังบอกอีกว่าเขามีวันนี้ได้แม้ไม่ใช่นักธุรกิจที่จบมาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่เขาตั้งใจทำงานทุกครั้ง และเรียนรู้ถึงความผิดพลาด จนในที่สุดก็สามารถประสบความสำเร็จได้ 4.
ก่อนหน้านี้ UNLOCKMEN นำเสนอเรื่องราวของชาย(อีกคน)ที่ถูกขนานนามว่าซามูไรคนสุดท้ายไว้ที่ วิถีซามูไร ฮาราคีรี และมิชิมะ ยูกิโอะ ผู้ที่เรียกตัวเองว่าซามูไรคนสุดท้าย ในนั้น เรากล่าวถึง “ไซโง ทากาโมริ” ไปแล้วเล็กน้อย ใครหลายคนที่กระหายจะเสพเรื่องราวของเขา วันนี้ไม่ต้องรออีกต่อไป เราพร้อมตีแผ่ชีวิตของเขาเพื่อค้นหาคำตอบว่าเพราะเหตุใดไซโงถึงได้เป็นซามูไรที่ครองใจชาวญี่ปุ่นมาจนถึงปัจจุบัน ไซโง ทากาโมริ คือหนึ่งในซามูไรผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น เหล่านักประวัติศาสตร์และนักวิชาการต่างก็ยอมรับ และเรียกเขาว่าเป็น The Last True Samurai หรือ ซามูไรที่แท้จริงคนสุดท้าย เขามีจุดเริ่มต้นธรรมดาทั่วไปจากการเป็นซามูไรระดับล่างที่ผลักดันตัวเองขึ้นมาเป็นหนึ่งในซามูไรผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค บุคลิกเข้มแข็ง ความตรงไปตรงมา ความเป็นผู้นำ และเอาจริงเอาจังกับงานของตัวเองเสมอ ไซโง ทากาโมริจึงได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาอยู่บ่อยครั้ง ในช่วงที่ญี่ปุ่นแบ่งออกเป็นฝักเป็นฝ่าย ต่อสู้ฟาดฟันกันเองและเกิดกบฏอยู่บ่อยครั้ง ไซโง ทากาโมริตั้งกลุ่มพันธมิตรซามูไรเพื่อสร้างความแน่นแฟ้นในหมู่พรรคพวกของตัวเอง สิ่งที่ไซโงต้องการคือการตั้งกลุ่มยอดฝีมือเพื่อป้องกันซามูไรกลุ่มอื่นที่จะบุกโจมตีพระราชวังหลวงในกรุงเกียวโต เขาได้รับการแต่งตั้งจากโชกุนให้เป็นผู้บัญชาการกองทัพเพื่อปราบกบฏตามเมืองต่าง ๆ เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างชื่อเสียงให้กับไซโงเป็นอย่างมาก เพราะกลุ่มกองกำลังฝ่ายกบฏถูกตีแตกพ่ายภายในเวลาไม่กี่วัน แต่เพราะความรอบคอบและเฉลียวฉลาดของเขา ในศึกบางครั้งแทนที่จะใช้กำลังเข้าห้ำหั่นปราบปราบเพียงอย่างเดียว เขาเลือกเจรจาลับกับกลุ่มซามูไรที่เป็นกบฏนับเป็นกลยุทธ์ที่ลดความสูญเสียได้มาก ต่อมาเมื่อโชกุนโทกุงาวะประกาศสละอำนาจและคืนสิทธิทุกอย่างให้กับสมเด็จพระจักรพรรดิเพื่อเป็นการรวมญี่ปุ่นให้เป็นปึกแผ่นและเปิดประเทศและถือเป็นการสิ้นสุดระบอบโชกุน เข้าสู่การฟื้นฟูประเทศในสมัยเมจิ ไซโง มากาโมริ มีท่าทีไม่เห็นด้วยเพราะเขาไม่ต้องการให้ชาติตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลในญี่ปุ่น รวมไปถึงหากเกิดการปฏิรูปประเทศ บทบาทของซามูไรจะต้องลดน้อยลง เขาจึงจัดเตรียมทัพเพื่อบุกเข้าปราสาทเอโดะ แต่รัฐบาลได้ส่งคนมาขอทำเรื่องสงบศึกโดยการเจรจาเป็นการส่วนตัว ผลคือไซโงยอมจำนนต่อเหตุผลของรัฐบาลอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ผลที่ดีที่สุดจากการเจรจาในครั้งนี้คือการทำให้บ้านเมืองรอดพ้นจากสงครามครั้งใหญ่ไปอีกครั้ง เมื่อญี่ปุ่นเริ่มดำเนินนโยบายทำประเทศให้ทันสมัย
Bruno Mars ศิลปินมากความสามารถผู้มีความมั่งคั่งกว่า $150 ล้านเหรียญ (เกือบ 5 พันล้านบาท) จากผลงานเพลงที่ประสบความสำเร็จเกือบทุก Single และ World Tour Concert ที่คนดูเต็มทุกที่นั่งในทุกประเทศที่ไป ซึ่งเบื้องหลังของ Bruno Mars ย่อมต้องมีสมาชิก Back Up และนักดนตรีที่ออกทัวร์ด้วยกันเสมอในชื่อ “Hooligans” แม้จะไม่ได้มีชื่อเสียงเทียบเท่านักร้องคนดัง แต่ก็เป็นความภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง ทำให้ทุกคนใส่เต็มที่เสมอในทุกโชว์ และเพื่อเป็นการขอบคุณที่ “24K Magic World Tour” ล่าสุดผ่านไปได้ด้วยดี พร้อมฉลองปีใหม่ 2019 Bruno Mars จึงแสดงความป๋าเต็มที่ แจกนาฬิกาหรู Audemars Piguet Extra-Thin ‘Jumbo’ Royal Oak เรือนทองจำนวน 8 เรือน ให้สมาชิกทุกคนได้ใส่กันทั่วหน้า ความหล่อครั้งนี้เกิดขึ้นในทัวร์ปลายทางสุดท้ายของ “24K Magic World Tour” ณ Las Vegas ซึ่งตรงกับวัน New Year
เคยมีคำพูดที่ฟังดูน่ากลัวกว่าวไว้ว่า วันนึงธรรมชาติจะคัดสรรผู้รอดชีวิตเอง ในวัยเด็กเราอาจจะฟังไม่เข้าใจ แต่ตั้งแต่มี Social Media ขึ้นมาบนโลก ทำให้เราได้เห็นเทรนด์กระแสการท้าทายประหลาด ๆ ที่หลายคนทำตามกันแบบไม่มีสาเหตุ ซึ่งหลายครั้งมันก็อันตรายจนคนปกติต้องสงสัยว่า “ทำไปได้ไง” อยู่เสมอ ตั้งแต่กระแสกินน้ำยาปรับผ่านุ่ม Tide Pod challenge ไปจนถึงกระแสการจุดไฟเผาตัวเอง คือ…. ไม่ต้องฉลาดมากนักก็พอจะรู้ว่ามันอันตรายถึงชีวิต ไม่คุ้มเลยสักนิดที่จะเสี่ยงตายแลก View และ Like ซึ่งในจุดนี้ต้องบอกว่าฝรั่งเค้ายอมเสี่ยงมากกว่าคนไทยหลายเท่า มาถึงกระแสการท้าทายล่าสุดที่ฮิตขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ โดยมีต้นเหตุมาจากซีรีส์ดังของคนห้ามมอง “Bird Box” บน Netflix ที่สร้างสถิติมีสมาชิกดูมากถึง 45 ล้านบัญชีอย่างรวดเร็วภายใน 7 วัน ซึ่งถือเป็นที่สุดของสถิติจาก Netflix เลยทีเดียว สำหรับคนที่ไม่รู้จัก Bird Box มันคือซีรีส์ที่ว่าด้วยอาการแปลกประหลาดจากผีปีศาจที่มองไม่เห็น เพราะถ้าใครเห็นก็จะเกิดอาการฆ่าตัวตายโดยไม่มีสาเหตุจนโลกวุ่นวายไปหมด วิธีรอดก็ตรงตัวคือการไม่มอง โดยครอบครัวตัวเอกของเรื่อง Sandra Bullock และลูก ๆ ที่ใช้ผ้าปิดตาเอาตัวรอดนอกบ้านระหว่างเดินทางไปหาที่ปลอดภัย ไม่นานนักหลังจากที่ซีรีส์เข้าฉาย ก็มี Memes จาก Social Media
เราหายใจอยู่บนโลกที่เทคโนโลยีรุกคืบเข้ามาในเขตแดนของชีวิตมากขึ้นทุกขณะ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกขณะของชีวิตเราต้องพึ่งพาอาศัยเทคโนโลยี เพราะเหตุนี้ศูนย์วิจัยเทเลเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยีจึงลองคาดเดาทิศทางเทคโนโลยีที่คาดว่าจะมาแรงในปี 2019 ไว้ 7 เรื่องด้วยกัน UNLOCKMEN ก็ไม่รอช้า เพื่อความรู้เท่าทันเราจึงสรุปทิศทางของแต่ละเทคโนโลยีมาให้เรียบร้อยแล้วว่าเราน่าจะได้เห็นอะไรเกิดขึ้นบ้างในปีนี้ 1. AI รูปแบบใหม่ที่มีกรอบของจริยธรรมเข้ามาเป็นตัวกำหนด AI กลายเป็นสิ่งที่หลายองค์กรใช้กันอย่างแพร่หลาย เมื่อเกิดความแพร่หลายสิ่งที่ตามมาคือการอยู่เหนือความควบคุมของมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะบางครั้ง AI ก็อาจจะทำอะไรที่เกินกว่าความต้องการของผู้ใช้ รวมถึงการให้ข้อมูลที่บิดเบือน และการละเมิดความเป็นส่วนตัวของบุคคล ปี 2019 นี้จึงมั่นใจได้เลยว่าหลายองค์กรจะเริ่มตรวจสอบไปพร้อมกับการสนับสนุนให้ใช้ AI มากขึ้น รวมถึงการกำหนดขอบเขตการใช้งาน AI ให้มีความละเอียดมากขึ้น พูดง่าย ๆ ปีนี้เราจะไม่มอง AI เป็นแค่หุ่นยนตร์ที่เกิดขึ้นเพื่อใช้งานแล้วจบไป แต่เราจะมองมันลงลึกในรายละเอียดถึงจริยธรรมและขอบเขตการใช้งานที่ซับซ้อนลงไป เพราะมัน AI นั้นซับซ้อนพอ ๆ กับการใช้งานมนุษย์สักคนให้ทำงานนี่เอง 2. DEEPFAKE จะแพร่หลายมากยิ่งขึ้น Deepfake คือเทคโนโลยีที่เกิดจากระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่สร้างขึ้นเพื่อนเลียนแบบพฤติกรรมของมนุษย์อย่างแนบเนียน เป็นการสร้างข้อมูลปลอมที่แพร่กระจายอยู่เต็ม Social Media ในปี 2019
Elon Musk คือชายที่โลกตั้งฉายาให้ว่า Iron Man ในชีวิตจริง เพราะมุมมองเฉียบคมและมันสมองสุดอัจฉริยะ แถมยังเป็นเจ้าของบริษัทที่มีเทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง SpaceX, Tesla และอื่น ๆ อีกมากมาย ส่วนทรัพย์สินยิ่งไม่ต้องอธิบายให้มากความ เขามีมากกว่า 20 พันล้านเหรียญสหรัฐ ฯ แต่นอกจากเรื่องของความสำเร็จทะลุขีดความเป็นมนุษย์ที่เราพยายามนำเสนอรูปแบบการทำงานของเขามาให้ชาว UNLOCKMEN ได้เสพบ่อย ๆ แล้ว เราเชื่อว่าเราสามารถเข้าถึงความคิดของเขาผ่านหนังสือที่อ่านได้ UNLOCKMEN จึงอยากแนะนำหนังสือ 5 เล่มที่ Elon Musk อ่าน เพื่อเป็นแนวทางให้เห็นว่าคนที่ประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้เขาสนใจอ่านอะไร Zero to One: Notes on Startups, or How to Build the Future by Peter Thiel หนังสือเกี่ยวกับธุรกิจโดย ปีเตอร์ ธีล ผู้ได้ฉายาว่าเป็นประธานาธิบดีของโลกไร้เงินสด จากชายที่ถูกปฏิเสธไม่รับเข้าทำงานในศาลสูง เขาคือหนึ่งในผู้สร้างธนาคารออนไลน์ชื่อดังอย่าง PayPal หนังสือเล่มนี้จึงไม่ต่างจากการแบ่งปันความคิดและทัศนคติในการเริ่มต้นสร้างธุรกิจของตัวเองบนโลกแห่งการเงินในปัจจุบันของเขา Musk
ยอมรับมาเถอะว่าเราต้องเคยเห็นหนังผู้ใหญ่ผ่านตามาบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งคงจะเคยเห็นฉากการใช้เชือกในการพันธนาการร่างกาย บางคนอาจจะดูแล้วไม่ได้คิดอะไร แต่เราว่าถ้ามองข้ามเรื่อง SEX ไป จะเกิดคำถามและสงสัยเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นและเหตุผลของมันกันอย่างแน่นอนว่า มันคืออะไร? ทำไมถึงต้องทำแบบนี้? ไอ้ความน่าสนใจ และน่าสงสัยที่ว่านี้ ก็คือการนำเชือกมามัดสานกันบนเรือนร่างของหญิงสาว ซึ่งมีชื่อเฉพาะของมันเรียกว่าว่า “Kinbaku (緊縛)” หรือ “Shibari (縛り)” หากใครสงสัย และอยากรู้เรื่องราวความ Erotic นี้แบบจริง ๆ จัง ๆ ไม่ใช่แค่ดูผ่าน ๆ แล้วนั่งสาว ๆ ไปเรื่อยเปื่อย ขอบอกเลยว่า ห้ามพลาดบทความนี้ที่จะทำให้ทุกคนเข้าถึงการมัดสุดสยิวกันถึงต้นกำเนิดกันเลยทีเดียว The Origins of Kinbaku มาดูที่ต้นกำเนิดของ “Kinbaku (緊縛)” การมัดสุดสยิวนี้กันเลยดีกว่า คนทั่วไปต่างก็รู้ว่า เรื่องของงานฝีมือ และความคิดสร้างสรรค์นั้น ชาวแดนปลาดิบถือว่าขึ้นชื่อเรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะงานประเภทการพับ การห่อ การผูก เรียกได้ว่า จะทำออกมายังไงก็ดู Art ไปซะหมด ลองดูการมัดข้าวกล่อง หรือของฝากต่าง ๆ น่าจะพอนึกภาพออก
วงการแฟชั่นเป็นวงการที่มีการฟ้องกันไปมาไม่น้อยกว่าวงการไหนในโลก ถ้าสังเกตดี ๆ เราจะเห็นลวดลายการดีไซน์ที่คล้ายกันมากในแต่ละแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าผ้าใบ กระเป๋า และเสื้อผ้า ด้วยกระแสเสื้อวงที่กำลังฮิตไปทั่วโลก ทำให้บรรดา Fast Fashion Brand ต่างรีบหยิบยืมลายกราฟฟิคหรือ Iconic ต่าง ๆ จากวงดนตรีชื่อดังมาดัดแปลงกันเต็มไปหมด ซึ่งบางครั้งการก็รอดตัวไป แต่บางทีถ้าทำโฉ่งฉ่างเกินไปก็อาจโดนฟ้องได้ เช่นเดียวกับกรณีล่าสุดที่ Nirvana เป็นฝ่ายยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายกับ Marc Jacobs แบรนด์แฟชั่นหรูที่นำโลโก้หน้ายิ้มของวงไปใช้แบบเต็ม ๆ แฟนเพลงของ Nirvana ต้องคุ้นตากับลวดลาย Smiley Face สีเหลืองกันดี ซึ่งกราฟฟิคที่ว่าไม่ใช่แค่ลวดลายธรรมดา แต่ถือเป็น Logo ที่ออกแบบโดย Kurt Cobain และ Nirvana ได้ทำการจดลิขสิทธิ์ไว้ตั้งแต่ปี 1992 แต่ทาง Marc Jacobs กลับนำไปใช้ใน ‘Bootleg Grunge T-Shirt’ collection ล่าสุดที่ได้แรงบันดาลใจจากดนตรี Grunge ซึ่งดูจากเจตนาก็ชัดเจนว่า Marc Jacobs
ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลกันแล้ว สำหรับกรณีที่แบรนด์สเก็ตบอร์ดรุ่นเก๋าอย่าง Vans กำลังเดินหน้ายื่นเรื่องฟ้องค่ายรีเทลชื่อดัง ซึ่งถูกพวกเขากล่าวหาว่ามีรองเท้าหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ถูกปล่อยออกมา ได้ลอกเลียนแบบลวดลายของ Side-stripe อันโด่งดังของรองเท้าในโมเดล Old Skool รองเท้าโมเดลในตำนานซึ่งพวกเราทุกคนรู้จักกันดีอย่าง Style36 OLD SKOOL ถูกปล่อยออกมาครั้งแรกเมื่อปี 1977 ในฐานะรองเท้าสเก็ตบอร์ดคู่แรกที่มีการใช้วัตถุดิบหนังในการผลิต เพื่อเพิ่มประโยชน์ในด้านความแข็งแรงทนทานของรองเท้า พร้อมกับลวดลายข้างรองเท้าที่ออกแบบโดย Paul Van Doren ซึ่งเดิมทีถูกเรียกด้วยชื่อ Jazz Stripe ก่อนเวลาต่อมามันจะได้รับความนิยมไปทั่วทุกมุมโลก ส่งผลให้ Side-stripe ก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของ Vans ไปโดยปริยาย ซึ่งถ้าจะปล่อยให้ใครใช้เอาไปใช้หากินง่าย ๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เพราะล่าสุด Vans ตัดสินใจยื่นเรื่องฟ้องแบรนด์รีเทลยักษ์ที่ชื่อ Target โดยบอกว่ารองเท้าในรุ่น Target Camella Lace-Up ซึ่งถูกวางขายในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมามีการลอกเลียนแบบลวดลาย Side-stripe อันเป็นเอกลักษณ์สำคัญของพวกเขา พร้อมระบุเหตุผลว่า “ Tatget เลือกที่จะเลียนแบบสัญลักษณ์ของพวกเราอย่างจงใจ ซึ่งอาจสร้างความสับสนในกลุ่มลูกค้าทั่วโลกได้” นอกจากนี้ยังมีข้อความจากกลุ่มลูกค้าที่สนใจซื้อรองเท้าในรุ่นดังกล่าว ได้มาเขียนรีวิวสุดกวนไว้บนเว็บไซต์ของทางรีเทลชื่อดัง ยกตัวอย่างเช่น “VANS ปลอมคู่นี้ก็ดูเท่ดีนะ” โดยทั้งหมดเป็นการแสดงออกจากกลุ่มลูกค้าอย่างชัดเจน ว่าพวกเขาเองก็เข้าใจว่ารองเท้ารุ่นดังกล่าวเป็นของที่ทำลอกเลียนแบบขึ้นมา โดยอาศัยการดัดแปลงลวดลาย Side-Stripe ถูกดัดแปลงให้ต่างออกไป แต่สุดก็ไม่พ้นสายของ VANS อยู่ดี
เทคโนโลยีที่ไม่มีการควบคุมมักจะสร้างปัญหาให้พวกเราได้เป็นประจำ อย่างในปีนี้เราได้เห็นการขยายตัวของยานยนต์อัตโนมัติไร้คนขับหรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า โดรน กลายมาเป็นของเล่นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยการเข้าถึงที่ง่าย ราคาไม่แพง จึงมีทั้งคนที่ซื้อไปใช้อย่างสร้างสรรค์ และคนที่ซื้อไปใช้สนองความต้องการแปลก ๆ ของตัวเอง ถึงแม้หลายประเทศจะยังไม่อนุญาตให้นำโดรนขึ้นบินอย่างอิสระ และต้องมีการขอใบอนุญาตหรือแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนก็ตาม แต่แน่นอนว่ายังมีคนลักลอบนำโดรนขึ้นบินอยู่ดี และถ้าหากวันหนึ่งเราเจอกับโดรนแปลกหน้าบินเข้ามาในพื้นที่ส่วนบุคคลขณะทำกิจกรรมส่วนตัวกับคนรู้ใจอยู่ แทนที่จะต้องคอยถามว่าของใคร การมีปืนสำหรับสอยโดรนให้ร่วงโดยที่ไม่สร้างความเสียหายเก็บไว้ซักกระบอกก็คงจะดีไม่น้อย เทคโนโลยีปืนสอย Drone นั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับความน่าเป็นห่วงจากสารพัดปัญหาที่มาจากโดรนเถื่อน หรือล่าสุดกับปัญหา Drone ต้องสงสัยที่บินวนป่วนอยู่ในสนามบินประเทศอังกฤษจนการจราจรทางเครื่องบินปั่นป่วนไปหมด ส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งเรื่องของเที่ยวบินที่ต้องถูกระงับ เพราะไม่สามารถนำเครื่องบินขึ้นได้ เนื่องจากอาจเกิดการชนโดรนและทำให้ตัวเครื่องบินเสียหาย เพราะการบังคับโดรนสามารถทำได้จากระยะไกล ทำให้ในบางครั้งก็ไม่อาจทราบได้ว่าผู้ที่ควบคุมโดรนนั้นอยู่ตรงไหน ยากจะหาต้นตอเจ้าของมันได้ เพื่อป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นเกี่ยวกับโดรนที่ไม่ทราบที่มาที่ไป จึงทำให้บริษัท OpenWorks Engineering ของประเทศอังกฤษเร่งพัฒนาปืนสำหรับจำกัดโดรนในชื่อสุดเท่ว่า Skywall 100 ปืนขนาดใหญ่แบบวางบนบ่า (Shoulder-mounted) น้ำหนัก 10 kg ที่แม้จะหนักแต่มีประโยชนมากมายเพื่อให้องค์กรต่าง ๆ สามารถซื้อเจ้าปืนอันนี้ไว้ใช้ในยามจำเป็น หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอย่างกรณีโดรนไม่ทราบที่มาบินเข้ามาในพื้นที่ส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต ป้องกันการสอดแนม รวมถึงการรุกล้ำละเมิดสิทธิส่วนบุคคล การใช้งานเจ้า Skywall 100 นั้นก็แสนจะง่ายดาย เพราะมันคือปืนที่จะสอยโดรนให้ร่วงอย่างง่ายดายด้วยแก๊สอัดลมพื่อส่ง หัวจรวด SP40 ติดตั้งตาข่ายไว้สำหรับจับโดรน