แม้เป็นเรื่องยากจะยอมรับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเหล่าพ่อค้ายานั้นมีอิทธิพลทั้งในธุรกิจบนดินและใต้ดิน แถมยังมีส่วนในการดำเนินกิจการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ที่บางครั้งกฎหมายก็ยากที่จะต้านทานอำนาจของเม็ดเงินที่เหล่าพ่อค้ายามี แต่ความราบรื่นก็ไม่ได้เป็นของทุกคนที่ทำอาชีพนี้ มีน้อยคนนักที่จะร่ำรวยมหาศาล จำนวนมากต้องล้มตายหรือจบชีวิตลงในคุก UNLOCKMEN จึงจะพาไปทำความรู้จักกับเหล่าพ่อค้ายาที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ว่าเขาได้เงินเหล่านั้นมาจากไหน และเอาเงินเหล่านั้นไปทำอะไรบ้าง 5. KHUN SA ทรัพย์สินราว 5 พันล้านเหรียญ ขุนส่า หรือ จางชีฟูที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ จันทร์ จางตระกูล ราชายาเฮโรอีนผู้ล่วงลับที่ครอบครองเขตพื้นที่แถบสามเหลี่ยมทองคำทางภาคเหนือของไทยและใช้เป็นฐานการผลิตยาเสพติด ได้รับการจัดอันดับให้เป็นพ่อค้ายาที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอันดับ 5 ด้วยเม็ดเงินที่ได้มาจากการค้าฝิ่น เฮโรอีน รวมถึงธุรกิจใต้ดินต่าง ๆ ขุนส่ามีอิทธิพลมากต่อระบบการเมืองของพม่าเพราะเขาคือผู้นำกองทัพเมิงไตที่ร่วมต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชให้กับชนกลุ่มน้อยชาวไทใหญ่ในประเทศพม่า จนกระทั่งลุกลามเป็นสงครามฝิ่น ค.ศ. 1967 ถึงแม้ว่าจะมีรายได้มากมายจากการค้ายา แต่ขุนส่าได้กล่าวถึงธุรกิจของตัวเองว่าที่ทำไปทั้งหมดเพราะต้องการจะปลดแอกตัวเองจากการกดขี่ของกองทัพพม่าตั้งแต่ปี 1947 และเฮโรอีนคือหนทางทำเงินที่รวดเร็วที่สุดเพื่อนำเงินทั้งหมดทุ่มไปกับการซื้ออาวุธสงครามเพื่อต่อสู้ 4. Jorge Luis Ochoa Vásquez ทรัพย์สินราว 6 พันล้านเหรียญ สามพี่น้องตระกูล Ochoa นำโดย Jorge Luis
การกลับมาอีกครั้งของแคมเปญตบหน้าสังคมของ Nike หลังประสบความสำเร็จอย่างมากกับ Colin Kaepernick อดีต NFL quarterback ชื่อดังที่มากับ Tagline เงินล้านอย่าง “Believe in something even if it means sacrificing everything.’’ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Kaepernick เลือกที่จะแสดงออกเพื่อต่อต้านการไม่เท่าเทียมในสังคมของคนผิวดำ แม้จะรู้ว่าผลที่ตามมาจะรุนแรงถึงขั้นทำให้อาชีพต้องจบลงก็ตาม ซึ่งการที่ Nike เลือกสนับสนุน Colin Kaepernick ก็ทำให้เกิดกระแสต่อต้านมากมาย แต่สุดท้ายดูเหมือนคนชนะจะเป็น Nike เมื่อความเด็ดเดี่ยวนี้กลับสร้างยอดขายได้อย่างมหาศาลชนิดที่ทำ Promotion ยังไม่ได้ขนาดนี้ เหมือนหนังภาคแรกประสบความสำเร็จ ย่อมต้องมีภาคสองตามออกมา กับ Campaign ล่าสุดของ Nike ที่เลือกใช้ Approach เดิมในการยืนหยัดข้างนักกีฬาผิวสีที่โดนกระทำอย่างไม่เสมอภาคอีกครั้ง โดยคราวนี้เป็นเรื่องราวของนักฟุตบอลมากพรสวรรค์แห่ง Manchester City ‘Raheem Sterling’ ที่มีปัญหากับการถูกเลือกปฏิบัติจากสื่ออังกฤษและแฟนบอลอย่างไม่เท่าเทียมกับนักเตะผิวขาวเสมอ Sterling เคยโพส Instagram เปรียบเทียบความไม่เสมอภาคจากการนำเสนอของสื่อ โดยเปรียบเทียบตัวเค้ากับ Phil Foden
ในบางครั้งเมื่อเราเข้าสู่โซเชียลมีเดียสารพัดรูปแบบ เช่น Facebook หรือ Instagram ก็มักเห็นบางคนที่มีแฟนแล้วแต่ชอบโพสต์รูปตัวเองอยู่เป็นประจำและลงรูปคู่กับคนรักน้อยมาก ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวนั้นสามารถบอกได้ว่าผู้ที่ชอบโพสต์แต่รูปเซลฟี่ของตัวเองลงโซเชียลมีเดีย ในชีวิตจริงมักมีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นกับคนรัก งานวิจัยจาก Florida State University ระบุว่าการเซลฟี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาด้านความสัมพันธ์กับคู่รัก เพราะเมื่อออกไปเดตแล้วคนรักมักลงแต่รูปเซลฟี่ของตัวเองแต่ไม่ลงรูปคู่ จะทำให้อีกฝ่ายเกิดคำถามในใจมากมายว่าเพราะอะไรแฟนถึงไม่ลงรูปคู่ และคิดไปจนถึงขั้นว่าการมาเดตในแต่ละครั้งไม่สามารถสร้างความทรงจำที่ดีให้กับคนรักได้ รวมถึงไปความหวาดระแวงเรื่องของมือที่สาม ส่วนฝ่ายที่คลั่งการเซลฟี่ก็จะให้ความสนใจกับกระแสตอบรับจากโลกออนไลน์เวลาที่โพสต์ในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นยอดไลก์หรือคอมเมนต์ต่าง ๆ มากกว่าที่จะให้ความสนใจกับคู่ชีวิตที่อยู่ใกล้ตัว โดยงานวิจัยได้บอกเพิ่มเติมอีกว่า อาการชื่นชอบการเซลฟี่เป็นชีวิตจิตใจนั้นสามารถเป็นทั้งเพศชายและเพศหญิง นอกจากนี้ Dr.Nikki Goldstein ผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยากล่าวว่า เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังไม่มั่นใจในความสัมพันธ์จึงมักจะแสดงออกถึงความต้องการจะแบ่งปันเรื่องราวชีวิตของตัวเองให้คนอื่นได้รับรู้มากกว่าการโพสต์รูปคู่กับแฟน หรือเขียนสเตตัสว่าไปไหนมาไหนกับคนรัก และเสพติดการเล่นโซเชียลมีเดียเป็นชีวิตจิตใจ จากการเฝ้าศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมนุษย์มาเป็นเวลานาน Dr. Goldstein ได้บันทึกเรื่องราวที่เธอพบเจอไว้ว่า ในแต่ละวันเธอมักจะเห็นคู่รักหลายคู่โพสต์เรื่องราวต่าง ๆ ที่ดูเหมือนจะมีความสุข ที่เน้นบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง แต่สิ่งที่ Dr. Goldstein ได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวเบื้องหลังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคู่รักนักเซลฟี่นั้นไม่ได้มีความสุขอย่างที่แชร์ลงในโซเชียลมีเดีย และการโพสต์เรื่องราวต่าง ๆ เพียงด้านเดียวแบบนี้ต่อไปจะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของคู่รักไม่มั่นคงมากกว่าเดิม การชื่นชอบเซลฟี่เกินควรนอกจากจะส่งผลกระทบกับชีวิตคู่แล้วก็ยังส่งผลเสียกับตัวเองเช่นกัน เพราะพฤติกรรมการชื่นชอบเซลฟี่จะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า Generation me คล้ายกับอาการหลงตัวเองของวัยรุ่นที่เวลารูปที่ลงในโซเชียลแล้วได้รับการตอบรับเยอะก็จะรู้สึกมั่นใจ แต่เมื่อยิ่งได้รับฟีดแบคที่ดี คนรักของผู้ที่ชื่นชอบเซลฟี่มักจะเกิดความรู้สึกไม่พอใจและหึงหวง ก็จะเป็นการย้อนกลับมาในเรื่องของปัญหาความสัมพันธ์อีกครั้งแบบไม่รู้จบ ดังนั้นคำถามที่เหล่านักเซลฟี่จะต้องถามตัวเองให้ชัดเจนคือ สิ่งที่ตัวเองจะต้องให้ความสำคัญนั้นคือความสัมพันธ์ในโลกแห่งความเป็นจริงหรือสนใจฟีดแบคในโลกออนไลน์มากกว่ากัน
เหล่านักดื่มอาจต้องสับสนกันอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้ผลวิจัยได้บอกว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์วันละน้อยจะช่วยเรื่องสุขภาพ แต่มาวันนี้ก็ได้มีงานวิจัยที่มาหักล้างกันอีกครั้ง แถมยังบอกอีกด้วยว่าการดื่มเพียงเล็กน้อยนั้นก็คือสิ่งที่ได้ไม่คุ้มเสียกันเลยทีเดียว ข้อหักล้างที่ว่าด้วยการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณน้อยจะช่วยบำรุงสุขภาพนั้นถูกนำเสนอผ่านเว็บไซต์ข่าวชื่อดังอย่าง BBC กับการวิจัยที่เกิดขึ้นภายใต้โครงการการศึกษาภาระปัญหาของโลกว่าด้วยเรื่องโรคภัยไข้เจ็บหรือ Global Burden of Disease ผลวิจัยชิ้นนี้สำรวจพฤติกรรมการดื่มของนักดื่มกว่า 195 ประเทศ ตั้งแต่ช่วงอายุ 19-95 ปี เป็นจำนวนกว่า 28 ล้านคนทั่วโลก ด้วยระยะเวลายาวนานกว่า 26 ปี โดยวิจัยนี้เริ่มลงสนามสำรวจตั้งแต่ปี 1990-2016 ถือว่าเป็นงานวิจัยที่ใช้เวลาศึกษาเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยมีมา รวมถึงจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่มีมากถึงหลักหลายสิบล้านตัวอย่าง ผลการวิจัยครั้งนี้เผยให้เห็นถึงอัตราความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่าง ๆ อย่างมะเร็ง ตับแข็ง หรือระดับการเกิดอุบัติเหตุเพราะเมานั้นมีตัวเลขที่พุ่งสูงขึ้นตามปริมาณที่ดื่มแอลกอฮอล์ที่เราดื่มในแต่ละวัน เช่น วันหนึ่งเราดื่มเครื่องดื่มที่มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ 1 หน่วย หรือประมาณ 10 กรัม ก็จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคและการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุสูงกว่าคนที่ไม่ดื่มเลย 0.5% ในขณะที่ถ้าดื่มวันละ 2 หน่วย ก็จะเพิ่มความเสี่ยงขึ้น 7% หรือถ้าดื่มวันละ 5 หน่วย ความเสี่ยงก็จะพุ่งสูงถึง 37% ผลวิจัยดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารการแพทย์ Lancet และได้ชี้แนะให้หน่วยงานสาธรณสุขของประเทศอังกฤษควรออกคำเตือนให้ประชาชนลดการดื่ม เพราะปัจจุบันในอังกฤษได้แนะนำให้ประชาชนบริโภคแอลกอฮอล์ไม่เกิน
เมื่อถึงช่วงสิ้นปีเก่าขึ้นปีใหม่ อันดับและสถิติต่าง ๆ ก็จะดาหน้าออกมาให้เราได้รับชมกัน นิตยสารธุรกิจและการเงินชื่อดังของสหรัฐฯ อย่าง Forbes ก็ไม่พลาดที่จะจัดอันดับในหัวข้อเซเลบริตี้ที่มีรายได้มากที่สุดในโลกประจำปี 2018 โดยวัดจากรายได้ก่อนหักภาษีและค่าธรรมเนียม รวมถึงอ้างอิงจากเว็บไซต์การเงิน และผู้เชี่ยวชาญในวงการต่าง ๆ ซึ่ง UNLOCKMEN จะพาไปดูว่าเหล่าเซเลบฯ ที่รวยที่สุด 5 อันดับแรกสร้างรายได้มหาศาลจากอะไรกันบ้าง 5. Dwayne Johnson มูลค่าทรัพย์สิน 124 ล้านเหรียญ หรือราว 4,040,000,000 บาท ในปีนี้ Dwayne Johnson คือหนึ่งในนักแสดงชายที่ทำงานหนักตลอดทั้งปี จนปีนี้นอกจากจะติดในอันดับ 5 เซเลบฯ ที่มีรายได้มากที่สุดในโลกแล้ว เขายังกลายเป็นนักแสดงฮอลลีวูดที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ตั้งแต่มีการจัดอันดับมากว่า 20 ปี เจ้าตัวก็เคยให้สัมภาษณ์ว่าจากนักมวยปล้ำที่ได้ค่าตัว 40 เหรียญ (ประมาณ 1,300 บาท) ต่อการแข่งหนึ่งแมท ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะมาได้ถึงขนาดนี้ Dwayne Johnson ยังบอกอีกว่าเขามีวันนี้ได้แม้ไม่ใช่นักธุรกิจที่จบมาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่เขาตั้งใจทำงานทุกครั้ง และเรียนรู้ถึงความผิดพลาด จนในที่สุดก็สามารถประสบความสำเร็จได้ 4.
ก่อนหน้านี้ UNLOCKMEN นำเสนอเรื่องราวของชาย(อีกคน)ที่ถูกขนานนามว่าซามูไรคนสุดท้ายไว้ที่ วิถีซามูไร ฮาราคีรี และมิชิมะ ยูกิโอะ ผู้ที่เรียกตัวเองว่าซามูไรคนสุดท้าย ในนั้น เรากล่าวถึง “ไซโง ทากาโมริ” ไปแล้วเล็กน้อย ใครหลายคนที่กระหายจะเสพเรื่องราวของเขา วันนี้ไม่ต้องรออีกต่อไป เราพร้อมตีแผ่ชีวิตของเขาเพื่อค้นหาคำตอบว่าเพราะเหตุใดไซโงถึงได้เป็นซามูไรที่ครองใจชาวญี่ปุ่นมาจนถึงปัจจุบัน ไซโง ทากาโมริ คือหนึ่งในซามูไรผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น เหล่านักประวัติศาสตร์และนักวิชาการต่างก็ยอมรับ และเรียกเขาว่าเป็น The Last True Samurai หรือ ซามูไรที่แท้จริงคนสุดท้าย เขามีจุดเริ่มต้นธรรมดาทั่วไปจากการเป็นซามูไรระดับล่างที่ผลักดันตัวเองขึ้นมาเป็นหนึ่งในซามูไรผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค บุคลิกเข้มแข็ง ความตรงไปตรงมา ความเป็นผู้นำ และเอาจริงเอาจังกับงานของตัวเองเสมอ ไซโง ทากาโมริจึงได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาอยู่บ่อยครั้ง ในช่วงที่ญี่ปุ่นแบ่งออกเป็นฝักเป็นฝ่าย ต่อสู้ฟาดฟันกันเองและเกิดกบฏอยู่บ่อยครั้ง ไซโง ทากาโมริตั้งกลุ่มพันธมิตรซามูไรเพื่อสร้างความแน่นแฟ้นในหมู่พรรคพวกของตัวเอง สิ่งที่ไซโงต้องการคือการตั้งกลุ่มยอดฝีมือเพื่อป้องกันซามูไรกลุ่มอื่นที่จะบุกโจมตีพระราชวังหลวงในกรุงเกียวโต เขาได้รับการแต่งตั้งจากโชกุนให้เป็นผู้บัญชาการกองทัพเพื่อปราบกบฏตามเมืองต่าง ๆ เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างชื่อเสียงให้กับไซโงเป็นอย่างมาก เพราะกลุ่มกองกำลังฝ่ายกบฏถูกตีแตกพ่ายภายในเวลาไม่กี่วัน แต่เพราะความรอบคอบและเฉลียวฉลาดของเขา ในศึกบางครั้งแทนที่จะใช้กำลังเข้าห้ำหั่นปราบปราบเพียงอย่างเดียว เขาเลือกเจรจาลับกับกลุ่มซามูไรที่เป็นกบฏนับเป็นกลยุทธ์ที่ลดความสูญเสียได้มาก ต่อมาเมื่อโชกุนโทกุงาวะประกาศสละอำนาจและคืนสิทธิทุกอย่างให้กับสมเด็จพระจักรพรรดิเพื่อเป็นการรวมญี่ปุ่นให้เป็นปึกแผ่นและเปิดประเทศและถือเป็นการสิ้นสุดระบอบโชกุน เข้าสู่การฟื้นฟูประเทศในสมัยเมจิ ไซโง มากาโมริ มีท่าทีไม่เห็นด้วยเพราะเขาไม่ต้องการให้ชาติตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลในญี่ปุ่น รวมไปถึงหากเกิดการปฏิรูปประเทศ บทบาทของซามูไรจะต้องลดน้อยลง เขาจึงจัดเตรียมทัพเพื่อบุกเข้าปราสาทเอโดะ แต่รัฐบาลได้ส่งคนมาขอทำเรื่องสงบศึกโดยการเจรจาเป็นการส่วนตัว ผลคือไซโงยอมจำนนต่อเหตุผลของรัฐบาลอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ผลที่ดีที่สุดจากการเจรจาในครั้งนี้คือการทำให้บ้านเมืองรอดพ้นจากสงครามครั้งใหญ่ไปอีกครั้ง เมื่อญี่ปุ่นเริ่มดำเนินนโยบายทำประเทศให้ทันสมัย
Bruno Mars ศิลปินมากความสามารถผู้มีความมั่งคั่งกว่า $150 ล้านเหรียญ (เกือบ 5 พันล้านบาท) จากผลงานเพลงที่ประสบความสำเร็จเกือบทุก Single และ World Tour Concert ที่คนดูเต็มทุกที่นั่งในทุกประเทศที่ไป ซึ่งเบื้องหลังของ Bruno Mars ย่อมต้องมีสมาชิก Back Up และนักดนตรีที่ออกทัวร์ด้วยกันเสมอในชื่อ “Hooligans” แม้จะไม่ได้มีชื่อเสียงเทียบเท่านักร้องคนดัง แต่ก็เป็นความภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง ทำให้ทุกคนใส่เต็มที่เสมอในทุกโชว์ และเพื่อเป็นการขอบคุณที่ “24K Magic World Tour” ล่าสุดผ่านไปได้ด้วยดี พร้อมฉลองปีใหม่ 2019 Bruno Mars จึงแสดงความป๋าเต็มที่ แจกนาฬิกาหรู Audemars Piguet Extra-Thin ‘Jumbo’ Royal Oak เรือนทองจำนวน 8 เรือน ให้สมาชิกทุกคนได้ใส่กันทั่วหน้า ความหล่อครั้งนี้เกิดขึ้นในทัวร์ปลายทางสุดท้ายของ “24K Magic World Tour” ณ Las Vegas ซึ่งตรงกับวัน New Year
เคยมีคำพูดที่ฟังดูน่ากลัวกว่าวไว้ว่า วันนึงธรรมชาติจะคัดสรรผู้รอดชีวิตเอง ในวัยเด็กเราอาจจะฟังไม่เข้าใจ แต่ตั้งแต่มี Social Media ขึ้นมาบนโลก ทำให้เราได้เห็นเทรนด์กระแสการท้าทายประหลาด ๆ ที่หลายคนทำตามกันแบบไม่มีสาเหตุ ซึ่งหลายครั้งมันก็อันตรายจนคนปกติต้องสงสัยว่า “ทำไปได้ไง” อยู่เสมอ ตั้งแต่กระแสกินน้ำยาปรับผ่านุ่ม Tide Pod challenge ไปจนถึงกระแสการจุดไฟเผาตัวเอง คือ…. ไม่ต้องฉลาดมากนักก็พอจะรู้ว่ามันอันตรายถึงชีวิต ไม่คุ้มเลยสักนิดที่จะเสี่ยงตายแลก View และ Like ซึ่งในจุดนี้ต้องบอกว่าฝรั่งเค้ายอมเสี่ยงมากกว่าคนไทยหลายเท่า มาถึงกระแสการท้าทายล่าสุดที่ฮิตขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ โดยมีต้นเหตุมาจากซีรีส์ดังของคนห้ามมอง “Bird Box” บน Netflix ที่สร้างสถิติมีสมาชิกดูมากถึง 45 ล้านบัญชีอย่างรวดเร็วภายใน 7 วัน ซึ่งถือเป็นที่สุดของสถิติจาก Netflix เลยทีเดียว สำหรับคนที่ไม่รู้จัก Bird Box มันคือซีรีส์ที่ว่าด้วยอาการแปลกประหลาดจากผีปีศาจที่มองไม่เห็น เพราะถ้าใครเห็นก็จะเกิดอาการฆ่าตัวตายโดยไม่มีสาเหตุจนโลกวุ่นวายไปหมด วิธีรอดก็ตรงตัวคือการไม่มอง โดยครอบครัวตัวเอกของเรื่อง Sandra Bullock และลูก ๆ ที่ใช้ผ้าปิดตาเอาตัวรอดนอกบ้านระหว่างเดินทางไปหาที่ปลอดภัย ไม่นานนักหลังจากที่ซีรีส์เข้าฉาย ก็มี Memes จาก Social Media
เราหายใจอยู่บนโลกที่เทคโนโลยีรุกคืบเข้ามาในเขตแดนของชีวิตมากขึ้นทุกขณะ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกขณะของชีวิตเราต้องพึ่งพาอาศัยเทคโนโลยี เพราะเหตุนี้ศูนย์วิจัยเทเลเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยีจึงลองคาดเดาทิศทางเทคโนโลยีที่คาดว่าจะมาแรงในปี 2019 ไว้ 7 เรื่องด้วยกัน UNLOCKMEN ก็ไม่รอช้า เพื่อความรู้เท่าทันเราจึงสรุปทิศทางของแต่ละเทคโนโลยีมาให้เรียบร้อยแล้วว่าเราน่าจะได้เห็นอะไรเกิดขึ้นบ้างในปีนี้ 1. AI รูปแบบใหม่ที่มีกรอบของจริยธรรมเข้ามาเป็นตัวกำหนด AI กลายเป็นสิ่งที่หลายองค์กรใช้กันอย่างแพร่หลาย เมื่อเกิดความแพร่หลายสิ่งที่ตามมาคือการอยู่เหนือความควบคุมของมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะบางครั้ง AI ก็อาจจะทำอะไรที่เกินกว่าความต้องการของผู้ใช้ รวมถึงการให้ข้อมูลที่บิดเบือน และการละเมิดความเป็นส่วนตัวของบุคคล ปี 2019 นี้จึงมั่นใจได้เลยว่าหลายองค์กรจะเริ่มตรวจสอบไปพร้อมกับการสนับสนุนให้ใช้ AI มากขึ้น รวมถึงการกำหนดขอบเขตการใช้งาน AI ให้มีความละเอียดมากขึ้น พูดง่าย ๆ ปีนี้เราจะไม่มอง AI เป็นแค่หุ่นยนตร์ที่เกิดขึ้นเพื่อใช้งานแล้วจบไป แต่เราจะมองมันลงลึกในรายละเอียดถึงจริยธรรมและขอบเขตการใช้งานที่ซับซ้อนลงไป เพราะมัน AI นั้นซับซ้อนพอ ๆ กับการใช้งานมนุษย์สักคนให้ทำงานนี่เอง 2. DEEPFAKE จะแพร่หลายมากยิ่งขึ้น Deepfake คือเทคโนโลยีที่เกิดจากระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่สร้างขึ้นเพื่อนเลียนแบบพฤติกรรมของมนุษย์อย่างแนบเนียน เป็นการสร้างข้อมูลปลอมที่แพร่กระจายอยู่เต็ม Social Media ในปี 2019
Elon Musk คือชายที่โลกตั้งฉายาให้ว่า Iron Man ในชีวิตจริง เพราะมุมมองเฉียบคมและมันสมองสุดอัจฉริยะ แถมยังเป็นเจ้าของบริษัทที่มีเทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง SpaceX, Tesla และอื่น ๆ อีกมากมาย ส่วนทรัพย์สินยิ่งไม่ต้องอธิบายให้มากความ เขามีมากกว่า 20 พันล้านเหรียญสหรัฐ ฯ แต่นอกจากเรื่องของความสำเร็จทะลุขีดความเป็นมนุษย์ที่เราพยายามนำเสนอรูปแบบการทำงานของเขามาให้ชาว UNLOCKMEN ได้เสพบ่อย ๆ แล้ว เราเชื่อว่าเราสามารถเข้าถึงความคิดของเขาผ่านหนังสือที่อ่านได้ UNLOCKMEN จึงอยากแนะนำหนังสือ 5 เล่มที่ Elon Musk อ่าน เพื่อเป็นแนวทางให้เห็นว่าคนที่ประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้เขาสนใจอ่านอะไร Zero to One: Notes on Startups, or How to Build the Future by Peter Thiel หนังสือเกี่ยวกับธุรกิจโดย ปีเตอร์ ธีล ผู้ได้ฉายาว่าเป็นประธานาธิบดีของโลกไร้เงินสด จากชายที่ถูกปฏิเสธไม่รับเข้าทำงานในศาลสูง เขาคือหนึ่งในผู้สร้างธนาคารออนไลน์ชื่อดังอย่าง PayPal หนังสือเล่มนี้จึงไม่ต่างจากการแบ่งปันความคิดและทัศนคติในการเริ่มต้นสร้างธุรกิจของตัวเองบนโลกแห่งการเงินในปัจจุบันของเขา Musk