คนทั้งโลกร่วมช็อกเมื่อ The Guadian ออกมาบอกเรื่องชวนสลดจากการจากไปของคนดังระดับตำนานอย่าง “Stephen Hawking” ในวัย 76 ปี ชายที่ใครก็บอกว่าเขาคือ “ไอน์สไตน์” คนที่สองในฐานะชายผู้เข้าใกล้ความเป็นพระเจ้ากับการตอบคำถามจักรวาลด้วย “ทฤษฎีสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง’ (Theory of Everything)” ที่เขาค้นพบและอาจด้วยความบังเอิญหรือพระเจ้าเข้ามาเล่นตลกกับเรื่องนี้เมื่อวันของการดับดาวสายฟิสิกส์ดันเป็นวันเกิดของชายรุ่นพี่สติเฟื่องอย่าง ไอสไตน์ เช่นกัน second ไอสไตน์ผู้โชคร้าย “Stephen Hawking” (1942 – 2018) เป็นดาวเด่นวงการวิทยาศาสตร์ที่เกิดช่วงการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 แบคกราวน์ทางครอบครัวไม่ได้ร่ำรวยนัก มีพ่อทำงานด้านการแพทย์และหวังจะผลักดันเขาไปทางนั้น แต่สุดท้ายแล้ววิทยาศาสตร์ อวกาศ และประกายดวงตาเมื่อมองดาวหลังบ้านก็ทำให้พ่อเปลี่ยนใจส่งเขาไปเรียนวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นสายที่ชอบมากกว่า และลงเอยด้วยการเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Oxford ส่วนตัวเขาชื่นชอบการเรียนเลข แต่เมื่อไม่มีให้แยกเรียน ทางสายใหม่ของเขาจึงวิ่งไปทางฟิสิกส์และจักรวาลวิทยา สำหรับภาพของ Hawking บนรถเข็นแบบที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงที่เขาอายุ 21 เมื่อตรวจพบว่าเขาเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือ ALS ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตทั้งการขยับเดินเหินอย่างใจและคำพูด แม้โลกจะเหวี่ยงเขาไปเจอกับด้านมืดที่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็นแต่เขาก็สามารถเหวี่ยงตัวเองออกมาจากความมืดด้วยการเดินหน้าค้นพบทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับจักรวาลมากมาย ที่สำคัญคือเรื่องงานวิจัย “หลุมดำ” ปริศนาบนท้องฟ้าที่เขาสามารถไขมันได้กระจ่างจนได้รับคำชื่นชมและยอมรับจากคนทั้งโลก ใครที่อยากรู้เรื่องดีเทลความยิ่งใหญ่ของชีวิตชายคนนี้ ลองไปหาดู documentary ฉบับ movie
ไหนสารภาพมาเถอะว่าคุณเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่หงุดหงิดกับการเซ็นเซอร์การแบนนมของชิซูกะในการ์ตูนเต็มทน ไม่ใช่เพราะว่าเราอยากดูนมชิซูกะแต่อย่างใด แต่มันช่างเป็นเรื่องงี่เง่าอะไรอย่างนี้ที่คิดแทนประชาชนว่าประชาชนจะมีอารมณ์ทางเพศกับนมชิซูกะขึ้นมาได้!? แต่เชื่อเถอะว่าเรื่องการแบนสุดงี่เง่าไม่ได้มีแค่ประเทศเราแค่ประเทศเดียว ผู้ชายอย่างเราอาจจะงง ๆ ว่าจริงดิที่อื่นเขามีแบนเรื่องไร้สาระกันด้วยเหรอ? ถ้าวันนี้ยังตอบคำถามไม่ได้ เราขอนำเสนอการแบนสุดพีคที่ประชาชนประเทศอื่นก็ต้องเผชิญมันแบบงง ๆ เช่นกัน “แบนหมากฝรั่ง”เพื่อความสะอาดของสิงคโปร์ คุณจะเคี้ยวหมากฝรั่งที่ไหนก็ได้ แต่จะเคี้ยวที่สิงคโปร์ไม่ได้! ใครจะไปคิดว่าขนมหวานอย่างหมากฝรั่งจะเป็นภัยต่อประเทศชาติได้มากขนาดนี้ แต่ด้วยเหตุผลเรื่องความสะอาดก็ทำให้สิงคโปร์แบนหมากฝรั่งอย่างจริงจัง เมื่อไหร่ที่เดินทางเข้าดินแดนเมอร์ไลออนแห่งนี้อย่าลืมทิ้งหมากฝรั่งไว้ที่บ้านอย่าเผลอพกติดไปด้วย เพราะเขาแบนไม่ให้เอาเข้าประเทศเด็ดขาด แถมในประเทศก็ห้ามซื้อห้ามขายหมากฝรั่ง แถมมีโทษปรับ $500 ถ้าคายหมากฝรั่งลงพื้นซี้ซั้ว โหดดีใช่ไหมล่ะ? “แบนหมีพูห์” เพื่อความมั่นคงของประธานาธิบดีจีน เรื่องนักการเมืองกับการถูกทำมีมขึ้นมาล้อเลียนดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เลี่ยงแทบไม่ได้ เพราะนักการเมืองคือบุคคลสาธารณะที่ต้องสามารถตรวจสอบ วิพากษ์ วิจารณ์ได้ไม่ว่าจะด้วยหนทางอะไร แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อรัฐบาลจีนสั่งแบนการค้นหาและเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ วินนี่ เดอะ พูห์ การ์ตูนหมีสีเหลืองกินน้ำผึ้งยอดฮิต เพราะประชาชนเปรียบเทียบประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนว่าเหมือนหมีพูห์ จนเกิดเป็นมีมล้อเลียนจำนวนมากจนรัฐบาลต้องสั่งแบนให้เกลี้ยง! พีคกว่านี้จะมีอีกไหม? “แบนการกลับชาติมาเกิด” ของพระในทิเบต เรื่องศาสนาเป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคลที่บางศาสนาก็เชื่อเรื่องการเกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียวแล้วรอวันพิพากษาจากพระเจ้า ในขณะที่บางศาสนาอย่างศาสนาพุทธก็เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด แต่ความพีคและโคตรคัลท์คือการที่จีนพยายามควบคุมทุกอย่างในทิเบตโดยเฉพาะพระทิเบตที่มีอิทธิพลต่อความคิดคนในทิเบต จีนเลยแบน สั่งห้ามการกลับชาติมาเกิดของพระสงฆ์ทิเบตซะเลย! จะกลับชาติมาเกิดได้ก็ต่อเมื่อทำเรื่องขออนุญาตกับรัฐบาลจีนแล้วเท่านั้น เฮ้ย ได้หรอวะ? “แบนหมีพูห์(อีกแล้ว)” เพราะหมีพูห์ไม่ใส่กางเกง เมือง
ในขณะที่พวกเราชาวไทยหลายคนกำลังเผชิญภาวะ ‘กลืนไม่เข้า คายไม่ออก’ ยากจะสรรหาคำสรรพนามไหนมาใช้ชื่นชมนักการเมืองรวมถึงเจ้าหน้าที่บ้านเรา กับการพยายามอำนวยความสะดวกให้คนมีสตางค์อย่างออกนอกหน้า เรียกได้ว่าไม่แคร์ส่งแคร์สื่ออะไรกันอีกเลย เราจึงอยากให้ทุกคนเคลียร์หัวให้สดชื่นมากขึ้น ด้วยข่าวที่น่าชื่นชมของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งในปีนี้นับเป็นปีที่มีตัวเลขคดีอาชญากรรมต่ำที่สุดในรอบ 30 ปี โดยมีเคล็ดลับที่ประเทศไทยน่าจะนำมาปรับใช้ได้หลายอย่าง อยู่ที่ว่าเจ้าหน้าที่บ้านเราเค้าจะให้ความสำคัญประชาชนคนธรรมดาอย่างพวกเรามากแค่ไหน ตัวเลขจาก Japan’s National Policy Agency, Statistics Bureau เผยให้เห็นสถิติคดีอาชญากรรมในปี 2017 ซึ่งรายงานว่ามีทั้งหมด 915,024 ครั้ง อย่าเพิ่งตกใจไปว่าไม่เห็นจะต่ำตรงไหน เพราะตัวเลขนี้เค้ารวมหมดทุกคดี เช่นคดีขโมยของ ทะเลาะวิวาทด้วย ซึ่งนับว่าน้อยมากที่สุดตั้งแต่ยุคหลังสงครามโลกเลยก็ว่าได้ โดยกราฟจากสถิติแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับตัวเลขสถิติที่ดีขึ้น เมื่อคนตกงานมีน้อย ทุกคนมีรายได้ที่มั่นคง จึงไม่มีความจำเป็นต้องก่อคดีอีกต่อไป และนอกจากคดีลักเล็กขโมยน้อย คดีกลุ่มอื่น ๆ เช่น ฆาตกรรม, ข่มขืน ก็ยังทรงตัวอยู่ในระดับราวหนึ่งพันเคสเกือบทั้งหมด (แต่คดีที่มีผลกับปากท้อง น่าจะเป็นคดีขโมยหรือฉ้อโกงมากที่สุดนั่นเอง) นอกจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่ดีขึ้นแล้ว National Police Agency ของญี่ปุ่นบอกว่าการร่วมมือกันระหว่างเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครในชุมชน รวมถึงการติดตั้งกล้องวงจรปิดที่ใช้งานได้จริง ไม่ใช่แค่กล้อง Mock Up เหมือนบ้านเรา โดยติดขู่ให้ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ ก็มีส่วนในการทำให้คดีอาชญากรรมลดลงมาก ที่เจ๋งกว่านั้น สถิติการฆ่าตัวตายของคนญี่ปุ่นปี
คนเราเลือกเกิดไม่ได้ เลือกขนาดเจ้าโลกตามธรรมชาติก็คงไม่ได้เช่นกัน บางคนอาจจะรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจถ้าขนาดของสิ่งนั้นเล็กกว่ามาตรฐานชายชาวโลก แต่เรื่องที่จะมาเล่ากันให้ฟังนี้ ขอบอกว่าเป็นความเดือดร้อนของชายไซส์ใหญ่อย่างแท้จริง เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ผลิตถุงยางอนามัยรายใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศจีน เตรียมปรับการผลิตใหม่ให้มีหลายขนาดมากขึ้น หลังจากที่นาย David Parirenyatwa รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของประเทศซิมบับเว ทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา ได้พูดออกมาในงานรณรงค์ป้องกันการติดเชื้อ HIV ที่กรุงฮาราเร ว่าถุงยาง made in China นั้น มีขนาดเล็กเกินไปเมื่อเทียบกับขนาดน้องชายของชาวแอฟริกัน !? จากการรายงานของ NewZimbabwe.com “ภูมิภาคแอฟริกาตอนใต้มีอัตราอัตราการติดเชื้อ HIV สูงที่สุด ซึ่งเราก็กำลังรณรงค์ให้ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ บรรดาเยาวชนก็รู้จักการใช้ถุงยาง ทว่าเราไม่ได้ผลิตเอง แต่เรานำเข้าถุงยางจากจีน และก็มีบางคนบ่นว่าถุงยางที่นำเข้ามามีขนาดเล็กเกินไป” นอกจากนี้นาย David Parirenyatwa ยังให้ความเห็นอีกว่า ชาวซิมบับเวควรพิจารณาผลิตถุงยางเอง ให้เหมาะกับขนาดเจ้าโลกของหนุ่ม ๆ ในประเทศ แทนที่การนำเข้าจากประเทศอื่น แต่เรื่องนี้ก็ความเห็นระดับองคชาตินี้ไม่ได้ทำให้ผู้ผลิตรายใหญ่อย่างจีนนิ่งนอนใจ โดยนาย Zhao Chuan ประธานบริหาร หรือ CEO ของ Beijing Daxiang และ His Friends
อย่าหาว่าทะลึ่งเลยนะ แต่ผู้ชายอย่างเราทุกคนล้วนมีถุงอัณฑะเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ถ้าเรียกง่าย ๆ ภาษาปากก็คือเจ้าถุงหุ้มไข่หรือหนังไข่นั่นเอง เรื่องราวก็ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นตกใจเลย (เอาเป็นว่าอนุญาตให้ก้มลงมองถุงไข่ตัวเองได้หนึ่งรอบถ้วน เป็นไงกันบ้าง?) หนังไข่ก็คือหนังไข่ใช่ไหมล่ะ มันก็มีรอยยับย่นยู่ยี่ตามธรมชาติของมันไป แต่ปัญหามันเกิดขึ้นที่มนุษย์ดันไม่พอใจความยับยู่ยี่ของหนังไข่ตัวเองจนเกิดนวัตกรรม “Scrotox” หรือการทำหนังอวัยวะส่วนนั้นให้เรียบตึงขึ้น! “Scrotox” เป็นคำศัพท์ที่เกิดจากการประกอบกันของคำสองคำนั่นก็คือ Scrotum ที่แปลว่าถุงอัณฑะ กับ Botox หรือโบทอกซ์ที่สาว ๆ เขาฉีดให้ใบหน้าเรียบตึงนั่นแหละ ดังนั้น “Scrotox” จึงเป็นการฉีดโบทอกซ์ไปที่ถุงอัณฑะหรือหนังไข่น้อย ๆ ของพวกเรานั่นเอง (แค่คิดก็สยองมากกว่าจะคิดถึงเหตุผลเรื่องความสวยงามแล้ว) คำถามก็คือ เฮ้ย!? แล้วกูจะฉีดโบทอกซ์ให้หนังไข่ตัวเองไปทำไม? คำตอบก็ไม่ต่างจากสาว ๆ ที่เธอฉีดให้หน้าเรียบตึงแบบไหน เราก็ต้องการฉีดโบทอกซ์ให้หนังไข่เราเรียบตึงดูอ่อนกว่าวัยแบบนั้นเลยทีเดียว (โลกมันชักจะบ้าบอขึ้นไปทุกวัน) กระบวนการก็คือโบทอกซ์ที่ฉีดเข้าไปในหนังไข่จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวไม่เคลื่อนไหว จนปราศจากรอบยับยู่ยี่ไม่พึงปรารถนา ดังนั้นหลังจากฉีดเข้าไปหนังไข่เราก็จะดูสดใสเรียบตึงสมใจอยาก อ้อ แต่อย่าคิดว่ายอมเจ็บตัวครั้งเดียวแล้วจะหายเหี่ยวไปได้ตลอดชีวิตกันล่ะ โบทอกซ์จะช่วยให้เราเรียบตึงอยู่ได้แค่ 4-8 เดือนเท่านั้น Dr. John Mesa ศัลยแพทย์จากนิวยอร์กเปิดเผยว่าเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมาเขาทำ “Scrotox” ให้ผู้ชายไปแล้ว 15 ราย (UNLOCKMEN
ถ้าพูดถึงการฉี่ ไม่ว่ายังไงผู้ชายอย่างเราก็จินตนาการออกได้อย่างเดียวว่าต้องเป็นการ “ยืนฉี่” เท่านั้น จะให้นั่งฉี่เหมือนสาว ๆ ให้ตายยังไงเราก็นึกภาพไม่ออก แถมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมกูต้องนั่งฉี่ด้วยล่ะวะ? พ่อแม่ก็สอนให้ยืนฉี่มาตั้งแต่เด็ก ๆ วันนี้ UNLOCKMEN อยากมาเล่าให้ฟังว่า เฮ้ย ผู้ชายก็นั่งฉี่ได้ว่ะเพื่อน แถมมันเป็นเทรนด์ที่กำลังมาในหลาย ๆ ประเทศมาก ๆ (What The F***!) แม้ในไทยจะยังไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้กันมากนัก แถมใครที่เข้าห้องน้ำชายแล้วต้องเดินเข้าห้องส้วมเพื่อไปฉี่แทนที่จะยืนก็มักจะถูกมองด้วยสายตาแปลก ๆ หรือถูกยัดเยียด ตีตราให้ว่าผู้ชายคนนั้นไม่แมนหรือเปล่า? การนั่งฉี่สำหรับผู้ชายไทยจึงเป็นอะไรที่โคตรใหม่และแทบจะไม่มีใครพูดถึง แต่ถ้าบินลัดฟ้าไปไกลถึงเยอรมนี (และประเทศอื่น ๆ ) ในรอบทศวรรษที่ผ่านมาวัฒนธรรมการนั่งฉี่เริ่มเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย โดยจุดเริ่มต้นเกิดขึ้นในปี 2004 ที่บริษัทในเยอรมันหลายแห่งได้ทำคลิปวีดีโอสั้น ๆ รณรงค์ให้ผู้ชายหันมานั่งฉี่กันมากขึ้นด้วยเหตุผลด้านความสะอาด (และอีกหลาย ๆ เหตุผล) ถัดมาในปี 2006 โรงเรียนประถมในประเทศนอร์เวย์ก็เริ่มบอกให้พ่อแม่เด็ก ๆ ฝึกลูกของตัวเองให้นั่งฉี่อย่างมีอารยธรรม จากนั้นวัฒนธรรมการนั่งฉี่ก็แพร่หลายไปอีกทั่วประเทศแถบ ๆ นอร์เวย์ แถมยังมีการเคลื่อนไหวให้นั่งฉี่ในแบบคล้าย ๆ กันที่ฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์ด้วย โดยรายงานพบว่าปรากฏการณ์การนั่งฉี่เริ่มปรากฏชัดเจนที่สุดในช่วงปี 2012 เมื่อพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายในสวีเดนพยายามกำหนดให้สมาชิกสภาเมืองเพศชายนั่งฉี่แทนที่จะยืน
ถึงจะเป็นผู้ชายอกสามศอกแต่หลายครั้งเราก็มีน้ำตา เพราะน้ำตาไม่ได้แปลว่าอ่อนแอเสมอไป มันมีทั้งน้ำตาแห่งความโศกเศร้า น้ำตาแห่งความปลื้มปิติ หรือบางทีถูกแฟนสั่งให้ทำกับข้าว หั่นหัวหอมแล้วน้ำตาไหลก็มีถมไป ประเด็นมันจึงอยู่ตรงนี้นี่แหละ ในเมื่อน้ำตามันมีที่มาอันหลากหลาย แล้วมันจะมีความแตกต่างกันในรายละเอียดที่เป็นรูปธรรมไหมล่ะ? เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เราสงสัยอยู่คนเดียว แต่ Rose-Lynn Fisher ก็สงสัยเหมือนกัน จึงเกิดโปรเจกต์ส่องกล้องจุลทรรศน์ดูน้ำตา The Topography of Tears ขึ้น โดยเธอศึกษาน้ำตาที่มีที่มาแตกต่างกันมากถึง 100 แบบ จนออกมาเป็นภาพผลึกน้ำตาที่แตกต่างกันไปตามอารมณ์และที่มาอีกด้วย จะคูล จะเท่ จะมีรูปแบบเป็นแบบไหนบ้าง วันนี้ UNLOCKMEN ชวนมาดูพร้อม ๆ กัน Joseph Stromberg จาก Smithsonian’s Collage of Arts and Sciences อธิบายว่าน้ำตามีอยู่ 3 ประเภทด้วยกันคือ basal tears, reflex tears, และ psychic tears โดย basal tears เป็นน้ำตาพื้นฐานที่เกิดจากการที่ตาผลิตน้ำออกมาเพื่อหล่อเลี้ยงดวงตา
ผู้ชายอย่างเราคงคุ้นเคยกับ Johnnie Walker ดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะโลโก้ผู้ชายก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างมาดมั่น แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผู้หญิงจะก้าวขึ้นมาอยู่บนขวดวิสกี้กับเขาบ้าง แล้วมันเป็นเพราะอะไร ทำไมผู้หญิงต้องก้าวขึ้นมาบนขวดวิสกี้กันล่ะ? UNLOCKMEN เอาปริศนามาไขให้ Diageo Plc ซึ่งเป็นบริษัทแอลกอฮอล์ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิต Johnnie Walker กำลังจะเปิดตัวโลโก้ใหม่บนขวดวิสกี้ที่มีสัญลักษณ์เป็นหญิงสาว โดยการเปิดตัวครั้งนี้ถือว่าเป็นความพยายามครั้งสำคัญที่จะดึงดูดผู้หญิงให้มาสนใจเจ้าสก๊อตช์วิสกี้ที่ขายดีที่สุดระดับโลกตัวนี้มากขึ้น ที่สำคัญโลโก้ใหม่อย่าง Jane Walker ยังมีเป้าหมายพีค ๆ ที่อยากให้ผู้คนรับรู้กันอย่างกว้างขวางเรื่องความเท่าเทียมทางเพศอีกด้วย (ทั้งคูล ทั้งเท่ ทั้งได้สาระจริง ๆ ) วิสกี้ limited U.S. edition ที่จะออกมาครั้งนี้นั้นจะเป็นรูปผู้หญิงกำลังก้าวเท้าอย่างมาดมั่นแทนที่จะเป็นผู้ชายแบบเดิม และผู้หญิงคนนี้มีชื่อชิค ๆ ล้อไปกับชื่อ Johnnie Walker ว่า Jane Walker Stephanie Jacoby รองประธานของ Johnnie Walker เปิดเผยว่าเจ้าของแบรนด์ Diageo Plc หวังให้การเปิดตัวโลโก้ Jane Walker จะสามารถดึงดูดความสนใจในตัวผลิตภัณฑ์มากขึ้น รวมถึงเป็นการเฉลิมฉลองให้กับผู้หญิงทุกคนด้วย Jacoby
ถ้าแต่ละประเทศมีกระทรวงและรัฐมนตรีดูแลสิ่งที่โคตรจะสำคัญสำหรับประเทศตัวเอง ไม่ว่าจะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือจะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แล้วทำไมจะมี “รัฐมนตรีความเหงา” (Minister for loneliness) ด้วยไม่ได้ โดยรัฐมนตรีกำกับดูแลปัญหาความเหงาของประชาชน เป็นรัฐมนตรีของรัฐบาลอังกฤษ เชื่อว่าผู้ชายสายหว่องสายเหงาชาว UNLOCKMEN ทั้งหลายคงกึ่งดีใจกึ่งขำ ๆ ว่า WHAT THE F*** ความเหงามันต้องสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอวะ? จะสำคัญขนาดไหน UNLOCKMEN จะมาไขปริศนาให้ Tracey Crouch คือรัฐมนตรีคนแรกที่ต้องรับมือกับการแพร่ระบาดของความเหงา (อ่านแล้วรู้สึกเหมือนอยู่ในนิยายมุราคามิอย่างไรอย่างนั้น) โดยรัฐบาลอังกฤษเขาก็ไม่ได้แต่งตั้งรัฐมนตรีกำกับดูแลปัญหาความเหงาขึ้นมาเพื่อความคูล ๆ เท่ ๆ ให้เป็นข่าวดังไปทั่วโลกเล่น ๆ เท่านั้น เพราะความเหงากลายเป็นปัญหาสุดจริงจังในสหราชอาณาจักรเลยทีเดียว ปัญหาความเหงาส่งผลกระทบต่อประชากรกว่า 9 ล้านคนในสหราชอาณาจักร ผู้สูงอายุราว ๆ 2 แสนคนไม่ได้คุยกับญาติหรือเพื่อนตัวเองมากกว่า 1 เดือน! และคาดว่าครึ่งหนึ่งของคนที่อายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไปประมาณ 2 ล้านคนต้องอาศัยอยู่ตัวคนเดียว ปัญหาความเหงาแพร่ระบาดไม่ได้จบแค่เพียงผู้สูงอายุเท่านั้น เพราะ 85% ของวัยหนุ่มสาวและผู้ใหญ่ต่างอยู่อย่างโดดเดี่ยว บางคนไม่มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเลยเป็นวัน
ประเทศญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องการเป็นเมืองหลวงแห่งวงการรถแต่ง เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหนก็สามารถเห็นรถแต่งขับอยู่บนท้องถนนได้ในชีวิตประจำวัน แถมยังมีอู่สำนักแต่งรถให้ปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมอัพเกรดหน้าตาและสมรรถนะจากรถธรรมดาบ้าน ๆ ให้กลายเป็นรถแข่งสุดเท่ได้ตามใจสั่ง แต่ท่ามกลางผู้คนในวงการแต่งรถของญี่ปุ่นนั้นยังมีชายที่แตกต่างและมีตัวตนที่ชัดเจนกว่าคนอื่น นั่นก็คือ Shinichi Morohoshi ผู้ที่เอา Lamborghini Diablo มาแต่งให้เป็นสีชมพูจี๊ดจ้าดชวนบาดใจ จากความฝันตอนวัยรุ่นที่ได้เห็นรถซุปเปอร์คาร์ยี่ห้อนี้ Shinichi Morohoshi หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม Morohoshi-san นั้นมีจุดเริ่มต้นความฝันที่อยากจะครอบครอง Lamborghini ตั้งแต่ตอนอายุ 17 ปี ซึ่งเขายังอยู่ในกลุ่มเด็กแว๊นของญี่ปุ่นที่เรียกกันว่า Bōsōzoku หรือ Bōsō แปลว่า “ชนเผ่าที่ใช้ความรุนแรง” ในกลุ่มนี้จะใช้มอเตอร์ไซค์ที่ประกอบชิ้นส่วนจากมอเตอร์ไซค์อังกฤษ , อเมริกาและถูกตกแต่งในลักษณะแปลก ๆ เช่นติดหลอดไฟนีออน ท่อไอเสียที่ใหญ่กว่าปกติ ธงสัญลักษณ์ประจำกลุ่มที่ถูกติดไว้ตรงแฟริ่งตัวถัง แน่นอนว่ากลุ่ม Bōsō นั้นขับรถซิ่งอย่างอันตรายบนถนนในโตเกียวไม่ต่างกับกลุ่มเด็กแว๊นในบ้านเราเลย Morohoshi ใช้ชีวิตแบบนี้จนกระทั่งเขาถูกจับในคืนวันก่อนปีใหม่ และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นรถในฝันอย่าง Lamborghini “ผมได้ยินเสียงมันก่อนที่ผมจะเห็นมันซะอีก เสียงท่อไอเสียมันหนักแน่น ผมถูกสะกดด้วยรถคันนี้ทันทีและไม่รู้ว่ารถคันนี้ทำเสียงดังขนาดนั้นได้ยังไง เราหมดเงินไปเป็นแสนเยนกับท่อมอเตอร์ไซด์ แต่นี่มันดังกว่าซะอีก หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีผมถึงเห็นมัน รถ Lamborghini Countach สีดำขับลงมาจากถนน Nakasendō ผมบอกตัวเองเลยว่า