ปัญหาวัยรุ่นอันธพาล กลั่นแกล้ง หรือที่เรียกว่า BULLY PROBLEM เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องแก้ไขอย่างจริงจัง เพราะการกลั่นแกล้งเป็นสาเหตุให้เกิดการฆ่าตัวตายตามมา รวมถึงปัญหาทางสภาพจิตใจ โดยเฉพาะในอเมริกา ซึ่งความรุนแรงนั้นสามารถดูได้จากซีรีย์ 13 REASONS WHY ที่โด่งดังเพราะไปสะกิดโดนใจวัยรุ่น และสะท้อนปัญหา ผลกระทบจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงเรียนได้เป็นอย่างดี เมื่อมันเป็นเรื่องใหญ่ระดับนี้ พ่อแม่บางบ้านจึงยอมไม่ได้เมื่อรู้ว่าลูกชายของตัวเองเป็นพวกขี้แกล้ง ต้องลงมือแก้ไขทันที ซึ่งการพูดสั่งสอนอาจจะไม่พอทำให้วัยรุ่นเลือดร้อนเหล่านี้เปลี่ยนใจ การตัดไฟแต่ต้นลมที่ดีที่สุด จึงต้องให้เด็ก BULLY โดนความรุนแรงเข้ากับตัวเองแบบไม่มีทางตอบโต้บ้าง และคลิปวีดีโอนี้ก็คือความเฉียบขาดที่น่าเอามาใช้กับเด็กแวนซ์ ช่างกล อันธพาลบ้านเราเหลือเกิน พ่อของเด็ก BULLY คนนี้ต้องการจะสั่งสอนลูกชายให้รู้สำนึก โดยการจับไปขึ้นเวทีมวย ต่อยกับ PRO BOXER ให้รู้ถึงอารมณ์ที่โดนทำร้ายแต่ตอบโต้ไม่ได้ว่ามันรู้สึกอย่างไร แน่นอนว่าเด็กขี้แกล้งเจอของจริงเข้าไป ไม่มีทางรับมือได้อยู่แล้ว โดนไล่ถลุงอยู่ฝ่ายเดียวจนเลือดกลบปากอย่างที่เห็น น่าเสียดายที่เราไม่รู้ว่าหลังจากการสั่งสอนครั้งนี้ เด็กคนนี้จะรู้สำนึก เลิกแกล้งคนที่อ่อนแอกว่าหรือยัง แต่ดูยังไงก็น่าจะจดจำบทเรียนนี้ไปอีกนานแน่นอน
“กูเนี่ยนะนอนกรน มึงอย่ามาอำ” เสียงประสานจากกลุ่มคนนอนกรน ที่มักไม่รู้ว่าตัวเองนอนกรน นอนคนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อต้องแชร์ห้องนอนกับใครที่กรนแรงพอกัน ถึงเริ่มตระหนักว่ามันเป็นอุปสรรคในการนอนสำหรับคนอื่นมากแค่ไหน ถ้าคุณกำลังเป็นห่วงเพื่อนร่วมห้อง ห่วงแฟนสาว หรือภรรยา ที่แชร์เตียงนอนร่วมกันว่าจะต้องทนรับเสียงกรนของคุณทุกค่ำคืน โอกาสทำความดีมาถึงแล้ว รีบเข้าไปกดสั่งซื้อ BOSE SLEEPBUDS อุปกรณ์สกัดเสียงกรน สำหรับคนนอนหลับยากคู่นี้อย่างเร็วไว บางคนอาจจะคุ้นกับเทคโนโลยีคล้าย ๆ กัน ภายใต้ชื่อบริษัท HUSH ที่เคยเปิดตัวในงาน CES2016 แล้วเงียบหายไป ที่จริงแล้วไม่ได้หายไปไหน แต่ถูก BOSE ซื้อไปนั่นเอง ก่อน BOSE จะนำสินค้าไปออกแบบใหม่ให้สวยกว่าเดิม และเปิดตัวให้ตื่นเต้นกว่าตามประสาสินค้า category ใหม่ ด้วยการให้คนที่สนใจเข้าไประดมทุนสั่งซื้อ BOSE SLEEPBUDS ผ่านทาง Indiegogo BOSE SLEEPBUDS คือ gadget สำหรับคนนอนหลับยาก ซึ่งโดยธรรมชาติของคนกลุ่มนี้ แค่เสียงหมาเห่า เสียงลมพัด ก็ยากจะหลับแล้ว ยิ่งถ้าบ้านอยู่ริมถนนใหญ่ อยู่ใกล้ BTS หรือสนามบิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึง และที่หนักสุดคือคนนอนร่วมเตียงกรนดังสนั่น กว่าจะหลับแต่ละทีนี่ทรมานสุดชีวิต
หากพูดถึงความเกี่ยวข้องระหว่างนาฬิกา OMEGA กับองค์การบริหารการบินและอวกาศของสหรัฐอเมริกาอย่าง NASA เชื่อว่าสาวกเรือนเวลาแทบทุกคนคงจะเคยรับรู้ถึงกิตติศัพท์ของตำนาน Moonwatch กับการที่นาฬิกา OMEGA Speedmaster ได้ถูกสวมใส่อยู่บนข้อมือนักบินอวกาศในการลุยภารกิจพิชิตดวงจันทร์กันมาบ้างแล้ว แต่เมื่อมีชื่อของอีกหนึ่งตัวละครหลักอย่าง Snoopy ตัวการ์ตูนสุนัขบีเกิ้ลที่โด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งมักจะปรากฎตัวอยู่ในเรือนเวลารุ่นพิเศษรำลึกถึงความสัมพันธ์ระหว่าง OMEGA และ NASA เข้ามาร่วมด้วย งานนี้คงมีอีกหลายคนนึกสงสัยในใจว่าเหตุใด Snoopy ถึงได้มีบทบาทในวาระสำคัญต่าง ๆ ของ OMEGA และ NASA มาโดยตลอด และในวันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจถึงที่มาที่ไปของความความผูกพันระหว่าง SNOOPY, NASA และ OMEGA ที่มีมายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษให้ชาว UNLOCKMEN และเหล่าผู้หลงใหลในเรือนเวลา ที่อาจยังไม่ทราบถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ให้ได้กระจ่างกัน SNOOPY ไอคอนแห่งโลกการ์ตูน สู่สัญลักษณ์ภารกิจพิชิตดวงจันทร์ และรางวัลแห่งเกียรติยศ ถ้าจะต้องเล่าเรื่องราวสายสัมพันธ์สุดพิเศษระหว่าง Snoopy และ NASA คงต้องย้อนไปตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 60 เมื่อ Charles M. Schulz ได้วาดการ์ตูนที่มีสุนัขพันธุ์บีเกิ้ลนาม Snoopy สวมชุดอวกาศพร้อมเรื่องราวเกี่ยวกับโครงการ Apollo
การรวมตัวของ Segway และ Skateboard เมื่อข้อดีจากทั้งสองสิ่งถูกรวมเข้าไว้ด้วยกัน ความมันส์ของ Skateboarding ที่ติดตรงต้องออกแรงไถไปตลอดทาง เจอทางลาดชันเมื่อไหร่ก็จบข่าว กับความง่ายจากเทคโนโลยีที่ทันสมัยของ Segway ที่แค่เอียงตัว ก็เคลื่อนไหวไปตามทิศทางที่ต้องการได้อย่างสบาย ไม่ต้องออกแรงแม้แต่หยดเดียว เราคิดไว้ไม่ผิดว่าต้องมีคนเอา 2 สิ่งนี้มารวมกันเข้าสักวัน และมันก็เกิดขึ้นจริงแล้วในชื่อ ‘StarkBoard’ เหมือนได้แรงบันดาลใจมาจากความไฮเทคของ Tony Stark เราจะเรียก StarkBoard ว่าเป็น Skateboard อัจฉริยะก็ไม่ผิด เพราะรูปทรงของมันยังคงเป็น Skateboard อย่างชัดเจน แต่มีการเพิ่ม weight sensor และ motion sensor เข้าไป ทำให้สามารถเคลื่อนที่ได้จากการโน้มตัวเช่นเดียวกับที่ใช้ใน Segway ดังนั้นต่อให้เล่น Skateboard ไม่เป็นเลย ก็ไม่มีปัญหา เรียนรู้แค่ไม่กี่นาทีก็เพียงพอที่จะออกไปผจญภัยบนถนนได้ทันที StarkBoard เคลื่อนไหวด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้ง สามารถเดินทางได้ 20 km ซึ่งเหลือเฟือสำหรับการเดินทางไปมาในเมือง ด้วยความเร็วสูงสุด 32 km/h มอเตอร์ไฟฟ้าที่ทรงพลังสามารถส่งกำลังพาเราขึ้นทางลาดชันได้ถึง
หากใครยังไม่รู้เดือนพฤศจิกายนนี้ในหลาย ๆ ประเทศถูกจัดให้เป็นเดือน MOVEMBER หรือ เดือนแห่งการไว้หนวด ที่เกิดจากการรวมกลุ่มกันของคนที่อยากทำความดี และช่วยเหลือสังคมด้วยวิธีง่าย ๆ แบบผู้ชายแมน ๆ สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักชื่อนี้มาก่อนเลยอาจจะสงสัยว่ามันคือเดือนอะไรมีความสำคัญอย่างไร ซึ่งเราต้องย้อนไปยังจุดเริ่มต้นโครงการนั่นมาจาก ชาวเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ที่ตั้งกลุ่มกันเพื่อไว้หนวดในช่วงเดือน พฤศจิกายน จึงเป็นที่มาของคำว่า MOVEMBER จากการผสานคำระหว่าง Moustache (หนวด) และ November (พฤศจิกายน) เข้าด้วยกัน โดยการรวมกลุ่มนี้ก่อให้เกิดเป็นกิจกรรมที่เหล่าชายหนุ่มซึ่งเรียกตัวเองว่า MO BROS เข้าร่วมแข่งขันไว้หนวดภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน เพราะกลุ่มผู้ก่อตั้งเชื่อว่าหนวดเป็นหนึ่งสัญลักษณ์ของเพศชาย เพราะผู้ชายส่วนใหญ่มักคิดว่าตัวเองแข็งแกร่ง ไม่ค่อยเจ็บป่วย ทำให้ละเลยในเรื่องของสุขภาพ องค์กรการกุศลที่ใช้ชื่อว่า MOVEMBER มองเห็นเรื่องโรคภัยเป็นสิ่งที่สำคัญจากการที่ผู้ชายชาวออสเตรเลียต้องประสบปัญหาเสียชีวิตจากโรคมะเร็งจำนวนมาก องค์กรการกุศลนี้จึงอยากเป็นตัวกลางที่คอยช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ชายในการต่อสู้กับมะเร็งต่อมลูกหมากและอัณฑะ รวมไปถึงสุขภาพด้านอื่น ๆ สำหรับวิธีการก็ง่าย ๆ คนที่อยากจะเข้าร่วมโครงการนี้ เริ่มจากการเตรียมพร้อมด้วยใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน และต้องเลี้ยงหนวด ห้ามตัด เล็มเป็นอันขาดจนกว่าจะถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน หลังจากนั้นจะเปิดให้ผู้ใจบุญเข้ามาบริจาคเงินกับความพยายามของหนุ่ม ๆ เหล่านี้ เพื่อนำเงินสมทบทุนไปช่วยเหลือผู้ป่วยที่ประสบปัญหาเกี่ยวมะเร็งต่อมลูกหมากและอัณฑะที่ขาดแคลนในเรื่องทุนทรัพย์ต่อไป ซึ่งมันเป็นแฟชั่นการกุศลที่ฮิตมาก ไม่เฉพาะในประเทศ
เรื่องราวของอาถรรพ์ศุกร์ 13 อาจจะไม่ใช่ความเชื่อแบบไทยจ๋า แต่เนื่องจากประเทศเราก็รับเอาวัฒนธรรมของตะวันตกมาค่อนข้างเยอะ แถมเรื่องไสยศาสตร์ และสิ่งเร้นลับก็เป็นของที่คู่กับคนไทยมาช้านาน ดังนั้นจึงไม่แปลกหากเราจะรู้สึกอิน และพารานอยด์ไปกันมัน จนถึงขั้นมีโรคแปลก ๆ ที่ชื่อ Triskaidekaphobia ไว้สำหรับคนที่กลัวเลข 13 เลยทีเดียว ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วเรื่องของอาถรรพ์เลข 13 ก็เป็นอะไรที่ไม่ได้ไกลตัวคนไทยมากเลย เพราะไม่ว่าจะเป็นตามโรงแรม หรืออาคารสำนักงาน ถ้าเกิดเจ้าของดันเป็นชาวต่างชาติ ชั้น 13 จะหายไปเสียอย่างนั้น หรือมักจะกระโดดข้ามไม่มีห้องพักหมายเลข 13 เป็นการเอาเคล็ด เพราะตามความเชื่อเดิมแล้วเลข 13 สำหรับชาวตะวันตกถือว่าเป็นเลขอาถรรพ์ หรือเลขซวยที่บ่งบอกถึงความไม่สมบูรณ์ ตัวอย่างเช่น ราศีที่มีเพียง 12 , เดือนในหนึ่งปี , หรือจะเป็นนาฬิกาบอกเวลาที่ก็มีตัวเลขเพียง 12 เท่านั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลข 13 ก็อาจจะไม่ได้ร้ายแรงขั้นสุดหากมันไม่ได้เกี่ยวข้องและไปตรงกับวันศุกร์ 13 *ซึ่งเรื่องราวต่อไปนี้เป็นเพียงข้อมูลที่เรามานำเสนอโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน สำหรับเรื่องราวของวันศุกร์ 13 นั่นหากจะไล่เรียงคงต้องอ้างอิงย้อนไปยังพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เนื่องจากมันเป็นเลขอัปมงคลของสาวกคนสุดท้ายที่ดันทรยศหักหลังพระเยซูคริสต์ นั่นคือ จูดาส จนทำให้พระองค์ถูกตรึงกางเขนในวันศุกร์ จึงเป็นที่มาของความเชื่อเรื่องโชคร้ายนี้ โดยเรื่องนี้เป็นเพียงความเชื่อที่เล่า ๆ
ใครจะไปคิดว่าจินตนาการจากการ์ตูน Marvel อย่างชุดเกราะเหล็กบินขึ้นฟ้าแบบ Iron Man จะเป็นจริงขึ้นมาในอนาคตอันใกล้นี้ เหตุเกิดจากนาย Richard Browning หนุ่มชาวอังกฤษ จากเมืองเรดดิ้ง ที่กำลังอยู่ในชุดสูทหน้าตาประหลาดพยายามลอยตัวอยู่ในเหนือน้ำ เพื่อทำสถิติความเร็วจากการเหาะ โดยเขาเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง และมีเจ้าหน้าที่จาก Guinness World Record รวมถึงสื่อมวลชนจำนวนมากให้ความสนใจรวมเป็นสักขีพยาน สำหรับโปรเจกต์นี้ Richard Browing กล่าวว่ามันเกิดขึ้นเมื่อราว ๆ 3 ปี ก่อน เพราะตัวเขาเองต้องการจะสร้างชุดที่สามารถลอยตัวในอากาศได้ โดยเริ่มแรกเขาใช้ปีกและพัดลมก่อนที่จะล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า จนสุดท้ายตัดสินใจยัดเครื่องยนต์เจ็ทรัดติดตัวไปกับเขาเองจนประสบความสำเร็จสามารถเหาะเหนือพื้นดินได้ Richard Browning ได้ให้ชื่อชุดเหาะนี้ว่า Daedalus มีลักษณะเป็น exoskeleton ขนาดเบาประกอบด้วย 4 เครื่องเจ็ตบริเวณแขนสองข้าง และอีก 2 ตัวบริเวณสะโพกทำให้ชุดของเขาสามารถทำสถิติความเร็ว 32 ไมล์ต่อชั่วโมงเป็น World Record ในสาขา the fastest speed in a body-controlled jet engine
บางครั้งวงเหล้าในหมู่เพื่อนที่กินกันจนเมาแบบกรึ่ม ๆ มักจะมีเพื่อนสักคนที่พูดภาษาอังกฤษขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทั้ง ๆ ที่ในวงเหล้าวงนั้นก็ไม่ได้มีชาวต่างชาติ บทสนทนาก็ยังไม่มีตรงไหนที่บอกว่าให้พูดจาด้วยภาษาอื่น แถมพูดคล่องจนคนในวงตกใจว่าแอบไปฝึกภาษามาจากไหน ยิ่งถ้าเคยกินหลาย ๆ วงก็บอกได้เลยว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ ต้องมีคนเมาแล้วพูดภาษาอังกฤษขึ้นมาประจำ ตกลงเมาแล้วพูดภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นจริงไหม UNLOCKMEN เอางานวิจัยมาฝากกัน งานวิจัยชิ้นหนึ่งบอกเราว่าเบียร์สักไพน์ หรือไวน์สักแก้วสามารถช่วยให้เราพูดภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาแม่ได้ดีขึ้นจริง โดยภายใต้เงื่อนไขว่าต้องได้รับในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะแอลกอฮอล์มีส่วนลดการยับยั้งชั่งใจของเรา ซึ่งส่งผลให้เวลาเราพูดภาษาต่างชาติออกไปเราไม่มีความกังวล ความกลัวว่าจะพูดผิด ไม่มีความลังเลใจที่จะพูดออกไป แต่ในทางกลับกันเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ก็มีผลต่อการทำงานด้านความรู้ความเข้าใจของสมอง แถมส่งผลเสียต่อความจำ และอาจนำไปสู่ความมั่นใจที่สูงเกินไป รวมถึงการประเมิณตัวเองสูงเกินจริง เราเลยอดสงสัยไม่ได้ว่าตกลงแล้วแอลกอฮอล์ทำให้เราพูดภาษาอื่นได้ดีขึ้น หรือจริง ๆ เราก็แค่กล้ามากขึ้นกว่าเดิม? งานวิจัยที่ชื่อ Dutch courage? Effects of acute alcohol consumption on self-rating and observer ratings of foreign language skills ที่ได้รับการตีพิมพ์ลง Journal of Psychopharmacology ทำการทดลองโดยการใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาชาวเยอรมันจำนวน 50 คนโดยทุกคนเรียนอยู่ที่ Maastricht
ก่อนที่เราจะเล่าคอนเท้นท์นี้ต้องขอย้ำก่อนว่า “กัญชายังถือเป็นยาเสพติดที่ผิดกฎหมายให้โทษประเภท 5 ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ซึ่งมีโทษทางอาญากับผู้เสพและผู้ครอบครองและไม่มีการอนุญาตให้นำมาใช้ในทางการแพทย์แต่อย่างใด” ดังนั้นเรื่องที่ทีมงาน UNLOCKMEN นำเสนอเป็นเพียงข่าวสาร ความรู้รอบตัวจากรอบโลกเพื่อให้ทุกคนได้รับรู้ว่าต่างประเทศเขามีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น และเป็นเช่นไรกันบ้าง เพราะอย่างที่เราทราบกันว่าในต่างประเทศ เริ่มมีการเปิดเสรีในเรื่องของกัญชามากขึ้น ตัวอย่างเช่นในประเทศสหรัฐอเมริกาที่บางรัฐอนุญาติให้มีการจำหน่ายกัญชากันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว อีกทั้งบางมหาวิทยาลัยยังได้เปิดหลักสูตรสอนเกี่ยวกับกัญชาโดยเฉพาะ เพื่อศึกษาแบบเจาะลึกหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพืชสายเขียวเจ้าปัญหานี้ต่อไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเคยมีการศึกษาเรื่องหนึ่งมาก่อนแล้วว่าการรับประทานกัญชานั่นมีปรโยชน์กว่าการสูบ เราจึงนำข้อมูลจาก herb.co ที่เขียนอธิบายประโยชน์จากการกินกัญชาทั้งแบบดิบ และปั่นดื่มสมูทตี้ไว้อย่างละเอียดหยิบมาฝากกัน กัญชาอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และ ไฟเบอร์ หากเราศึกษาลึกลงไปจะพบว่าภายในกัญชามีส่วนประกอบทางชีวภาพเคมีที่ยอดเยี่ยม และเต็มไปด้วยสารอาหารชั้นดี จนคุณต้องประหลาดใจ เพราะในใบกัญชาสดนั้นมี วิตามิน K , วิตามิน C , ธาตุเหล็ก , แคลเซียม , โฟเลต อีกทั้งมันเต็มไปด้วยไฟเบอร์ชนิดที่ว่าผักหลาย ๆ ประเภทยังต้องชิดซ้าย สารอาหารชะลอความเสื่อมชรา หากจะพูดให้ภาษาดูสวยงามเราอาจต้องบอกว่ากัญชานั้นสามารถต่อต้านความเสื่อมชรา หรือมี Anitoxidants อยู่ภายในตัวมันเอง ซึ่งไอ้เจ้า Anitoxidants จัดว่ามีความสำคัญต่อร่างกาย อีกทั้งยังปกป้องเราจากความเครียดตลอดไปจนโรคหลอดเลือด และมะเร็งหากเราเลือกกินแบบดิบ
สำหรับคนทั่วไปรวมไปถึงนักบิดปกติที่ไม่ได้มีกลุ่มแก๊งค์จริงจัง และยังคงเป็นมนุษย์ในจำนวน 99% ที่ใช้ชีวิตการขับขี่ที่ไม่มีกฎระเบียบของกลุ่มเพื่อนนั้น แน่นอนว่า ชีวิตในการขับขี่รถจักรยานยนต์คู่ใจไปไหนต่อไหน ถือเป็นอะไรที่เพลิดเพลิน สนุกสนาน ผ่อนคลาย และทำให้รู้สึกถึงความเป็นอิสระ แต่สำหรับนักบิดตัวจริงซึ่งถูกเปรียบเทียบเป็นกลุ่มคนจำนวน 1% ที่มีความแตกต่างจาก 99% ที่เหลือนั้น มันแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ตามหลักสากลแล้ว นักบิดตัวจริงที่ได้ชื่อว่าเป็น 1% เหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกที่อยู่ในกลุ่ม หรือ Club ที่มีความใหญ่โตระดับชาติ จนไปถึงระดับโลก โดยชาวต่างชาติมักจะเรียกกลุ่มรถจักยานยนต์เหล่านี้ว่า “One-Percenter Outlaw Motorcycle Gangs” ซึ่งที่เรียกแบบนั้นก็เพราะว่า กลุ่มมอเตอร์ไซค์เหล่านี้นั้น จะไม่สนใจถึงกฎหมาย หรือกฎเกณฑ์ใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ก็ไม่ใช่พวกเขาจะใช้ชีวิตได้อย่างตามอำเภอใจไร้กฎระเบียบใด ๆ ในชีวิตเลย เพราะในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาเองก็มีกฎที่ยุ่งยาก และต้องเคร่งครัดมาก ๆ ของพวกอยู่ด้วยเช่นกัน โดยกฎเหล่านี้ ไม่ได้มีไว้เล่น ๆ หรือมีไว้ขู่ขำ ๆ แต่ถ้าหากใครละเมิดขึ้นมาล่ะก็จะมีความผิดรุนแรง และมีการลงโทษที่ไม่มีใครอยากเจอกับตัวแน่นอน บางครั้งบทลงโทษอาจจะหนักถึงขนาดที่คนทั่วไปอาจจะจินตนาการไปไม่ถึงเลยทีเดียว แต่ด้วยความเข้มข้นของกฎระเบียบเหล่านี้เอง ทำให้พวกเขาได้ความมีวินัย ความมีระบบ