ใครจะไปคิดว่าจินตนาการจากการ์ตูน Marvel อย่างชุดเกราะเหล็กบินขึ้นฟ้าแบบ Iron Man จะเป็นจริงขึ้นมาในอนาคตอันใกล้นี้ เหตุเกิดจากนาย Richard Browning หนุ่มชาวอังกฤษ จากเมืองเรดดิ้ง ที่กำลังอยู่ในชุดสูทหน้าตาประหลาดพยายามลอยตัวอยู่ในเหนือน้ำ เพื่อทำสถิติความเร็วจากการเหาะ โดยเขาเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง และมีเจ้าหน้าที่จาก Guinness World Record รวมถึงสื่อมวลชนจำนวนมากให้ความสนใจรวมเป็นสักขีพยาน สำหรับโปรเจกต์นี้ Richard Browing กล่าวว่ามันเกิดขึ้นเมื่อราว ๆ 3 ปี ก่อน เพราะตัวเขาเองต้องการจะสร้างชุดที่สามารถลอยตัวในอากาศได้ โดยเริ่มแรกเขาใช้ปีกและพัดลมก่อนที่จะล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า จนสุดท้ายตัดสินใจยัดเครื่องยนต์เจ็ทรัดติดตัวไปกับเขาเองจนประสบความสำเร็จสามารถเหาะเหนือพื้นดินได้ Richard Browning ได้ให้ชื่อชุดเหาะนี้ว่า Daedalus มีลักษณะเป็น exoskeleton ขนาดเบาประกอบด้วย 4 เครื่องเจ็ตบริเวณแขนสองข้าง และอีก 2 ตัวบริเวณสะโพกทำให้ชุดของเขาสามารถทำสถิติความเร็ว 32 ไมล์ต่อชั่วโมงเป็น World Record ในสาขา the fastest speed in a body-controlled jet engine
บางครั้งวงเหล้าในหมู่เพื่อนที่กินกันจนเมาแบบกรึ่ม ๆ มักจะมีเพื่อนสักคนที่พูดภาษาอังกฤษขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทั้ง ๆ ที่ในวงเหล้าวงนั้นก็ไม่ได้มีชาวต่างชาติ บทสนทนาก็ยังไม่มีตรงไหนที่บอกว่าให้พูดจาด้วยภาษาอื่น แถมพูดคล่องจนคนในวงตกใจว่าแอบไปฝึกภาษามาจากไหน ยิ่งถ้าเคยกินหลาย ๆ วงก็บอกได้เลยว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ ต้องมีคนเมาแล้วพูดภาษาอังกฤษขึ้นมาประจำ ตกลงเมาแล้วพูดภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นจริงไหม UNLOCKMEN เอางานวิจัยมาฝากกัน งานวิจัยชิ้นหนึ่งบอกเราว่าเบียร์สักไพน์ หรือไวน์สักแก้วสามารถช่วยให้เราพูดภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาแม่ได้ดีขึ้นจริง โดยภายใต้เงื่อนไขว่าต้องได้รับในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะแอลกอฮอล์มีส่วนลดการยับยั้งชั่งใจของเรา ซึ่งส่งผลให้เวลาเราพูดภาษาต่างชาติออกไปเราไม่มีความกังวล ความกลัวว่าจะพูดผิด ไม่มีความลังเลใจที่จะพูดออกไป แต่ในทางกลับกันเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ก็มีผลต่อการทำงานด้านความรู้ความเข้าใจของสมอง แถมส่งผลเสียต่อความจำ และอาจนำไปสู่ความมั่นใจที่สูงเกินไป รวมถึงการประเมิณตัวเองสูงเกินจริง เราเลยอดสงสัยไม่ได้ว่าตกลงแล้วแอลกอฮอล์ทำให้เราพูดภาษาอื่นได้ดีขึ้น หรือจริง ๆ เราก็แค่กล้ามากขึ้นกว่าเดิม? งานวิจัยที่ชื่อ Dutch courage? Effects of acute alcohol consumption on self-rating and observer ratings of foreign language skills ที่ได้รับการตีพิมพ์ลง Journal of Psychopharmacology ทำการทดลองโดยการใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาชาวเยอรมันจำนวน 50 คนโดยทุกคนเรียนอยู่ที่ Maastricht
ก่อนที่เราจะเล่าคอนเท้นท์นี้ต้องขอย้ำก่อนว่า “กัญชายังถือเป็นยาเสพติดที่ผิดกฎหมายให้โทษประเภท 5 ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ซึ่งมีโทษทางอาญากับผู้เสพและผู้ครอบครองและไม่มีการอนุญาตให้นำมาใช้ในทางการแพทย์แต่อย่างใด” ดังนั้นเรื่องที่ทีมงาน UNLOCKMEN นำเสนอเป็นเพียงข่าวสาร ความรู้รอบตัวจากรอบโลกเพื่อให้ทุกคนได้รับรู้ว่าต่างประเทศเขามีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น และเป็นเช่นไรกันบ้าง เพราะอย่างที่เราทราบกันว่าในต่างประเทศ เริ่มมีการเปิดเสรีในเรื่องของกัญชามากขึ้น ตัวอย่างเช่นในประเทศสหรัฐอเมริกาที่บางรัฐอนุญาติให้มีการจำหน่ายกัญชากันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว อีกทั้งบางมหาวิทยาลัยยังได้เปิดหลักสูตรสอนเกี่ยวกับกัญชาโดยเฉพาะ เพื่อศึกษาแบบเจาะลึกหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพืชสายเขียวเจ้าปัญหานี้ต่อไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเคยมีการศึกษาเรื่องหนึ่งมาก่อนแล้วว่าการรับประทานกัญชานั่นมีปรโยชน์กว่าการสูบ เราจึงนำข้อมูลจาก herb.co ที่เขียนอธิบายประโยชน์จากการกินกัญชาทั้งแบบดิบ และปั่นดื่มสมูทตี้ไว้อย่างละเอียดหยิบมาฝากกัน กัญชาอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และ ไฟเบอร์ หากเราศึกษาลึกลงไปจะพบว่าภายในกัญชามีส่วนประกอบทางชีวภาพเคมีที่ยอดเยี่ยม และเต็มไปด้วยสารอาหารชั้นดี จนคุณต้องประหลาดใจ เพราะในใบกัญชาสดนั้นมี วิตามิน K , วิตามิน C , ธาตุเหล็ก , แคลเซียม , โฟเลต อีกทั้งมันเต็มไปด้วยไฟเบอร์ชนิดที่ว่าผักหลาย ๆ ประเภทยังต้องชิดซ้าย สารอาหารชะลอความเสื่อมชรา หากจะพูดให้ภาษาดูสวยงามเราอาจต้องบอกว่ากัญชานั้นสามารถต่อต้านความเสื่อมชรา หรือมี Anitoxidants อยู่ภายในตัวมันเอง ซึ่งไอ้เจ้า Anitoxidants จัดว่ามีความสำคัญต่อร่างกาย อีกทั้งยังปกป้องเราจากความเครียดตลอดไปจนโรคหลอดเลือด และมะเร็งหากเราเลือกกินแบบดิบ
สำหรับคนทั่วไปรวมไปถึงนักบิดปกติที่ไม่ได้มีกลุ่มแก๊งค์จริงจัง และยังคงเป็นมนุษย์ในจำนวน 99% ที่ใช้ชีวิตการขับขี่ที่ไม่มีกฎระเบียบของกลุ่มเพื่อนนั้น แน่นอนว่า ชีวิตในการขับขี่รถจักรยานยนต์คู่ใจไปไหนต่อไหน ถือเป็นอะไรที่เพลิดเพลิน สนุกสนาน ผ่อนคลาย และทำให้รู้สึกถึงความเป็นอิสระ แต่สำหรับนักบิดตัวจริงซึ่งถูกเปรียบเทียบเป็นกลุ่มคนจำนวน 1% ที่มีความแตกต่างจาก 99% ที่เหลือนั้น มันแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ตามหลักสากลแล้ว นักบิดตัวจริงที่ได้ชื่อว่าเป็น 1% เหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกที่อยู่ในกลุ่ม หรือ Club ที่มีความใหญ่โตระดับชาติ จนไปถึงระดับโลก โดยชาวต่างชาติมักจะเรียกกลุ่มรถจักยานยนต์เหล่านี้ว่า “One-Percenter Outlaw Motorcycle Gangs” ซึ่งที่เรียกแบบนั้นก็เพราะว่า กลุ่มมอเตอร์ไซค์เหล่านี้นั้น จะไม่สนใจถึงกฎหมาย หรือกฎเกณฑ์ใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ก็ไม่ใช่พวกเขาจะใช้ชีวิตได้อย่างตามอำเภอใจไร้กฎระเบียบใด ๆ ในชีวิตเลย เพราะในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาเองก็มีกฎที่ยุ่งยาก และต้องเคร่งครัดมาก ๆ ของพวกอยู่ด้วยเช่นกัน โดยกฎเหล่านี้ ไม่ได้มีไว้เล่น ๆ หรือมีไว้ขู่ขำ ๆ แต่ถ้าหากใครละเมิดขึ้นมาล่ะก็จะมีความผิดรุนแรง และมีการลงโทษที่ไม่มีใครอยากเจอกับตัวแน่นอน บางครั้งบทลงโทษอาจจะหนักถึงขนาดที่คนทั่วไปอาจจะจินตนาการไปไม่ถึงเลยทีเดียว แต่ด้วยความเข้มข้นของกฎระเบียบเหล่านี้เอง ทำให้พวกเขาได้ความมีวินัย ความมีระบบ
ใครเล่นเกมรถแข่งอย่าง Gran Turismo Sport ใน Playstation 4 แล้วรู้สึกว่ามันยังธรรมดาเกินไป ห่างไกลจากความเสมือนจริงจนไม่อินเข้าไปถึงแก่นอารมณ์ พวกเราคงเคยจินตนาการว่ามันคงจะดีไม่น้อย ถ้าเราสามารถบังคับรถแข่งของจริงได้ด้วย controller อันเดียวกับที่ใช้เล่นเกม ตอนนี้มันเป็นจริงแล้ว ด้วยผลงานจากค่าย Nissan x GT Academy ที่ช่วยกันใส่เทคโนโลยีเข้าไปใน GT-R 542 แรงม้า คันจริง ตัวจริง เสียงจริง ต่างกันแค่เจ้าก๊อตซิล่า GT-R คันนี้ สามารถบังคับได้ด้วย PS4 DualShock controller GT-R/C Project คันนี้เกิดขึ้นจากการร่วมมือกันของคู่ซี้ Nissan x GT Academy ที่พยายามจะนำการขับรถแบบ Virtual มาบรรจบกับโลก Reality มาเนิ่นนาน มีการเฟ้นหานักขับจากเกม Gran Turismo เพื่อนำมาปั้นให้กลายเป็นนักขับรถมืออาชีพตัวจริงมาแล้วหลายคน และโปรเจคล่าสุดก็ดูจะเป็นอีกขั้นของการนำทั้งสองโลกมารวมเข้าไว้ด้วยกัน ด้วยการให้ลูกศิษย์ที่ปั้นมาจากสถาบัน GT Academy ผู้ชนะอันดับ 1
การดูดนตรีสดให้ได้อารมณ์ที่สุดนั้นทำอย่างไร? คำถามยอดฮิตที่คนบางคนยังไม่เข้าใจ และสงสัยอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ไปดูคอนเสิร์ตวง Rock หรือวงดนตรีที่เล่นดนตรีแนวมันส์ ๆ หนัก ๆ มักจะเห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่มันมีการเล่นที่จะว่าเต้นก็ไม่ใช่ เหมือนจะมีเรื่องกันก็ไม่เชิงยิ่งทำให้งงเข้าไปใหญ่ว่า มันจะอะไรขนาดนั้น จริง ๆ แล้ว ไอ้การกระทำดังกล่าว ถ้าหากว่าเป็นคนที่ชื่นชอบการเสพดนตรี และดูคอนเสิร์ต โดยเฉพาะนักเสพที่ถูกเรียกว่า “เด็กเสื้อดำ” จะเข้าใจว่า มันเป็น Culture ทางการดูคอนเสิร์ตที่เรียกว่า “Mosh Pit” ซึ่งมีมาอย่างยาวนาน วันนี้เราจะพาชาว UNLOCKMEN ไปทำความรู้จักกับธรรมเนียม หรือท่าทางการแสดงออกนี้กัน จะได้ไม่ตกใจเวลาหลงเข้าไปกลางดงชาว Rock ตอนดูคอนเสิร์ต “History of Mosh” ในช่วงต้นยุค 80 การละเล่นนี้ถูกเรียกว่า Mash โดยนักร้องนำวง Hardcore Punk ที่ชื่อว่า Bad Brain นั่นก็คือ Paul Hudson เพื่อที่จะใช้อธิบายการเต้นแบบก้าวร้าว และรุนแรงในขณะที่ผู้คนกำลังดูการแสดงสดของเขา แต่เนื่องจากว่า Paul เป็นคนพูดจาติดสำเนียง
ใกล้เข้ามาทุกที กับ Tokyo Motor Show 2017 เทศกาลรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของฝั่ง JDM ที่แม้แต่ฝรั่งยังต้องบินมาเยี่ยมชม เพราะมีครบทั้งรถเท่ รถคลั่ง รถแรง และรถรุ่นใหม่ ๆ ที่มักจะนำมาเปิดตัวเป็นครั้งแรกที่นี่ และปีนี้เป็นปีที่แฟน ๆ ซูบี้จะได้ตื่นเต้นก่อนใคร เพราะ Subaru จะเปิดตัว 2 รุ่นพิเศษเป็นครั้งแรกในงานนี้ มีทั้ง WRX STi S208 และ BRZ STi Sport Edition ในโทนสีเดียวกัน ขอเริ่มจาก Subaru BRZ STi Sport Edition ก่อน เพราะนับตั้งแต่วันที่เปิดผ้าคลุมรถ Sport Coupe คันนี้ออกมา คนทั้งโลกก็ต่างเฝ้ารอวันที่ Subaru จะปลุกเสกเวอร์ชั่น STi เรียกพลังให้ BRZ แรงสมกับหน้าตา ลบคำครหาว่าแรงแต่รูป สูบไม่ไป แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่โผล่มาสักที ตอนนี้มันโผล่มาแล้วครับ
ได้ชื่อว่ากลิ่นเหม็นจากร่างกาย ไม่ว่าจะมาจากช่องทางไหน ก็ทำร้ายจิตใจทั้งคนรอบข้างรวมถึงเจ้าตัวอย่างรุนแรงได้ทั้งนั้น และกลิ่นเหม็นที่ติดอันดับน่าเป็นห่วงใน chart Top 3 ต้องมีกลิ่นเท้าเข้าไปติดโผอยู่ด้วยแน่นอน ลองคิดดูว่าคุณต้องถอดรองเท้า คลานเข่าเข้าไปหาผู้หลักผู้ใหญ่เพื่อสู่ขอสาวแต่งงาน ทันใดนั้นกลิ่นเท้าก็โฉยออกมาอย่างรุนแรงจนรับไม่ได้ เรียกว่าวงแตกคากลิ่นตีน แบบนี้ไม่โอเค โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นที่มักจะถอดรองเท้า นั่งล้อมโต๊ะกินเหล้ากับลูกค้าและหัวหน้าหลังเลิกงาน การมีกลิ่นเท้ารุนแรงเกินไป ย่อมหมายถึงโศกนาฏกรรมในหน้าที่การงาน นี่จึงเป็นที่มาของ Hana-Chan หุ่นยนต์หมาน้อยที่มีหน้าที่คอยดมกลิ่นเท้า Hana-Chan หรือเรียกไทย ๆ ว่า ฮานะจัง คือหุ่นยนต์สุนัขขนาด 15 เซนติเมตร รูปร่างตัวเล็กน่ารัก ประมาณชิสุ พุดเดิ้ล ที่บริษัท NEXTTECHNOLOGY ซึ่งเป็น StartUp ญี่ปุ่นสร้างขึ้นมา โดยอาศัย Insight ของผู้ชายคนทำงานที่ต่างกังวลว่ามีกลิ่นเท้ารุนแรงหรือไม่ เพราะกลิ่นเท้าถือเป็นสิ่งที่น่าอับอาย ไม่มีมารยาททางสังคม ไม่ให้เกียรติคนรอบข้าง และในเกือบทุกจังหวะชีวิตเข้าสังคม ต้องมีการถอดรองเท้าเสมอ คนรอบข้างอาจจะไม่กล้าบอกเรื่องกลิ่นเท้า เจ้าตัวก็อาจจะไม่รู้ว่าเหม็นขนาดไหน จึงเป็นหน้าที่ของฮานะจัง ที่จะใช้ Sensor รับกลิ่นซึ่งติดอยู่ที่จมูกในการเตือนสติระดับความเหม็นของเท้า ความพิเศษของมันคืออาการหลังดมกลิ่น ถ้าไม่มีกลิ่นเท้า ฮานะจังจะสั่นหางเหมือนตอนสุนัขดีใจ ถ้าเหม็นประมาณนึง ฮานะจังจะบอกเราด้วยการเห่า
เป็นคำถามโลกแตกอีกคำถามหนึ่งที่ถามใคร ใครก็ต้องส่ายหัวงุนงงว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทั้ง ๆ ที่เจ้าแท่งน้อยกลอยใจลูกชายของเรามันปักหลักซ่อนตัวอยู่ในกางเกงแทบจะตลอดเวลา ไม่มีโอกาสได้เห็นเดือนเห็นตะวันอย่างใครเขา แต่ทำไม้ ทำไม สีของมันถึงได้คล้ำเข้มคมขำกว่าสีผิวส่วนอื่น ๆ ได้ชัดเจนขนาดนั้น? UNLOCKMEN ไม่ได้จะอาสาควักออกมาหาคำตอบเอง แต่นี่คือคำตอบจาก Dr. Cameron Rokhsar และ Dr. Lindsey Bordone สองแพทย์ผิวหนังจาก New York และคำตอบทั้งหมดนั้นก็เริ่มต้นที่ฮอร์โมนเพศของเรานั่นเอง ฮอร์โมนเพศชาย Testosterone และฮอร์โมนเพศหญิง Estrogen ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเรานั้นจะทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเซลล์เมลาโนไซท์ ซึ่งเจ้าเซลล์เมลาโนไซท์เหล่านี้เองที่เป็นเซลล์ผิวหนังและเส้นผมที่ปล่อยเมลานินหรือโปรตีนสีอันเป็นตัวกำหนดสีผิวของเรา ดังนั้นเมื่อเราเริ่มเข้าสู่วัยแรกแย้ม ฮอร์โมนเพศพุ่งกระฉูดอย่างวัยแรกรุ่น เมื่อฮอร์โมนเพศยิ่งหลั่ง เซลล์ที่ควบคุมเรื่องเม็ดสียิ่งทำงาน พื้นที่เฉพาะส่วนสำคัญที่เกี่ยวกับเพศอย่างน้องชายเรา หรือหัวนมเราจึงมีสีเข้มขึ้นมากกว่าส่วนอื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่ตอนวัยเด็กมันก็ดูชมพูอ่อนใสน่าขบกัดอยู่ดี ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือ ยิ่งโตยิ่งมีสีคล้ำขึ้นเพราะฮอร์โมนเพศ ทั้ง ๆ ที่ไม่โดนแดดนั่นแหละ Dr. Cameron Rokhsar ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “ฮอร์โมนควบคุมการผลิตเม็ดสีของเมลาโนไซท์สิ่งเหล่านี้สามารถมีผลต่อเม็ดสีในบริเวณนั้น ทำให้โดยทั่วไปพื้นที่ดังกล่าวจะสีคล้ำขึ้น”
อาชีพมีเป็นร้อยเป็นพันอาชีพ เราต่างมีความใฝ่ฝันทั้งเล่นทั้งจริงถึงอาชีพที่เราอยากทำแตกต่างกันออกไป ไหนจะอาชีพแปลก ๆ มากมายบนโลกใบนี้ และหนึ่งในอาชีพสุดแปลก สุดน่าสนใจ จนอยากจะรู้ว่าเขาทำอะไรกันบ้างที่เรากำลังจะพูดถึงซึ่งก็คืออาชีพ ‘คนรีวิวการให้บริการทางเพศ’ หรือ ‘ผู้สำรวจมาตรฐานการให้บริการทางเพศ’ อยากรู้ล่ะสิว่ามันมีที่มาที่ไปยังไงกันแน่? การรับรองมาตรฐานการให้บริการทางเพศที่ว่าไม่ได้เกิดขึ้นในไทยแต่อย่างใด แต่เกิดขึ้นที่ประเทศเยอรมัน ที่ที่การให้บริการทางเพศเป็นเรื่องถูกกฎหมาย โดยผู้สำรวจมาตรฐานการให้บริการทางเพศก็ทำงานให้กับ The German brothel owners’ association (BSD) หรือพูดง่าย ๆ ว่าคือสมาคมเจ้าของสถานให้บริการทางเพศแห่งประเทศเยอรมัน ส่วนหน้าที่นี้ก็ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยแต่เกิดจากการที่สมาคมฯ ได้คิดค้นนวัตกรรมที่จะทำให้อุตสาหกรรมด้านการบริการทางเพศในเยอรมันนั้นดีขึ้น ด้วยการควบคุมคุณภาพ ควบคุมความโปร่งใสตรวจสอบได้ รวมถึงควบคุมการบริการด้วย พวกเขาจึงคิดการ “ประทับตรารับรองการให้บริการทางเพศ” ขึ้น สำหรับหน้าที่ของ ‘ผู้สำรวจมาตรฐานการให้บริการทางเพศ’ ก็มีหน้าที่ให้เรทการให้บริการทางเพศที่ไม่ต่างอะไรกับการให้ดาวโดยมีตั้งแต่ 1 ดาวชนิดที่ว่าต่ำเตี้ยเรี่ยดินไม่ได้มาตรฐานสุด ๆ ไปจนถึงได้ 6 ดาวที่แบบช่างว้าวอะไรขนาดนี้ ‘ผู้สำรวจมาตรฐานการให้บริการทางเพศ’ ต้องทำหน้าที่รับรอง 3 สเต็ปด้วยกัน โดยสเต็ปต่าง ๆ ก็จะเป็นการสำรวจสถานที่ให้บริการว่าเจ้าของกิจการเป็นใคร ตรวจสอบได้ไหม สถานบริการขนาดใหญ่แค่ไหน จากนั้นก็ดูสภาพความการทำงานว่าทำงานตามชั่วโมงที่เป็นไปตามกฏหมายหรือเปล่า น้อง ๆ หนู