Guide

UNCORKED – WINE 101 รวมทุกเรื่อง “ไวน์” เข้าใจง่ายที่ผู้ชายต้องรู้เพื่อความคูลและมีระดับ

By: PSYCAT March 17, 2018

“ไวน์คือบทกวีที่ถูกบรรจุลงสู่ขวด” เป็นคำที่นักเขียนชาวสก็อตติชอย่าง Robert Louis Stevenson เคยกล่าวเอาไว้ ซึ่ง UNLOCKMEN ว่านี่ไม่ใช่คำกล่าวที่เกินความจริงแต่อย่างใด เพราะไวน์เป็นเครื่องดื่มอันเต็มไปด้วยความซับซ้อนและเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ดึงดูดชวนให้ผู้ชายอย่างเราเข้าไปสัมผัส นอกจากนั้นวัฒนธรรมแห่งการดื่มไวน์ได้กลายเป็นศิลปะการลองลิ้มชิมรสสุดคลาสสิกที่ผู้ชายคูล ๆ ทุกคนไม่ควรพลาด การรู้เรื่องไวน์ประดับตัวไว้จึงเป็นทั้งการยกความเท่ของผู้ชายอย่างเราให้สูงขึ้นไปอีกระดับ แถมยังช่วยให้เราเข้าสังคมแห่งการดื่มไวน์ได้อย่างดื่มด่ำยิ่งขึ้น

ผู้ชายแมน ๆ คนไหนที่เคยคิดไว้ว่าการดื่มไวน์นั้นยากแสนยาก วันนี้คงต้องเปลี่ยนความคิดกันใหม่ เพราะการได้รู้จักเครื่องดื่มแห่งความลุ่มลึกมีระดับอย่างไวน์จะทำให้เราติดใจจนบอกได้เลยว่ามันคุ้มค่าที่จะลิ้มลองบทกวีบรรจุขวดให้ลึกซึ้ง ถ้าพร้อมจะดำดิ่งไปกับความคลาสสิกในโลกของไวน์แล้ว UNLOCK WINE 101 ที่เก็บเรื่องไวน์พื้นฐานให้ครบถ้วนทุกเม็ดก็พร้อมจะปลดล็อกศักยภาพการสัมผัสไวน์ให้คุณถึงที่แล้วเช่นกัน

สำหรับมือใหม่ที่ยังกล้า ๆ กลัว ๆ การเริ่มต้นนับหนึ่งในโลกของไวน์จะเป็นไปอย่างราบรื่น มีระดับและไม่ซับซ้อน ถ้าเราเริ่มจากพื้นฐานของไวน์กันก่อน โดยคำถามสุดเบสิคที่เราควรรู้ก็คือ “ไวน์คืออะไร?”

นอกจากความงดงามคล้ายบทกวีแล้ว ไวน์คือเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากการหมักของน้ำองุ่นที่ได้จากผลองุ่นสด ๆ นั่นเอง โดยแต่ละท้องที่ก็จะมีกระบวนการผลิตแตกต่างกันไปตามสไตล์ที่แต่ละท้องถิ่นกำหนดขึ้น

ถ้าในหัวผู้ชายอย่างเรายังนึกออกแค่ไวน์แดงกับไวน์ขาวก็ไม่ต้องห่วงไป ครั้งนี้เราจะพามาทำความเข้าใจไวน์ 3 ประเภทที่แบ่งตามเทคนิคการผลิตให้เข้าใจแจ่มแจ้งกันไปเลย

เริ่มต้นกันที่ Still Wine เป็นไวน์ที่ไม่มีฟอง หรือพูดง่าย ๆ คือไม่มีการอัดก๊าซ มีปริมาณแอลกอฮอล์ 8-15% Still Wine แบ่งออกเป็นไวน์ได้อีก 3 ชนิดตามสีของไวน์ หนึ่งในนั้นก็คือไวน์ขาว ไวน์แดงที่ผู้ชายทุกคนรู้จักกันดีนั่นเอง

  • Red Wine หรือไวน์แดง คือไวน์ที่ทำจากน้ำองุ่นที่ผ่านการบ่มร่วมกับส่วนอื่นขององุ่นให้เกิดสี ทั้งการเติมเปลือก (Grape Skin) ขั้วองุ่น (Grape Pip) และเมล็ด (Seed) ลงไป จึงมักมีสีแดงเข้มไปจนถึงสีม่วงชื่อไวน์แดงยอดนิยม : คาร์เบอเน โซวีญง (Cabernet Sauvignon), แมร์โล (Merlot), ปิโนต์ นัวร์ (Pinot Noir) และซินฟานเดล (Zinfandel)
  • White Wine หรือไวน์ขาว คนส่วนมากมักเข้าใจผิดว่าทำจากองุ่นเขียว แต่ความจริงเขามีการนำองุ่นสีอื่นมาทำร่วมด้วยเพียงแต่ถอดพวก Pigment ที่เป็นสีออกไป ว่าง่าย ๆ คือการลอกเปลือก ลอกทุกส่วนที่มีสีออกแล้วเก็บแต่เนื้อองุ่นขาว ๆ มาทำน้ำองุ่นเพื่อหมักไปทำไวน์ สีจึงออกมาใส ๆ ไปจนเป็นถึงเหลืองทองอำพันชื่อไวน์ขาวยอดนิยม :  ชาร์ดอนเนย์ (Chardonnay), รีสลิง (Riesling), โซวีญง บล็อง (Sauvignon Blanc) และมอสคาโต้ (Moscato)
  • Rose Wine หรือไวน์โรเซ่ สีสวย ๆ อมชมพูกุหลาบนี่แหละเหมาะสำหรับสั่งให้สาว ๆ ยิ่งนัก ถ้าเธอถามว่าบ่มต่างจากอย่างอื่นยังไงถึงได้สีแบบนี้ ตอบเธอไปด้วยเสียงเรียบ ๆ ว่า บ่มเหมือนไวน์แดงแต่ใช้เวลาน้อยกว่า เพราะใช้เวลาเพียง 12-36 ชั่วโมง จากนั้นค่อยเอามาเบลนด์เข้ากับไวน์ขาว จนออกมามีสีกุหลาบอย่างที่เห็นชื่อไวน์โรเซ่ยอดนิยม : San Miguel, Rose’D Anjou

Sparkling Wine หรือสปาร์คกลิ้งไวน์ ชื่อนี้ขาปาร์ตี้คุ้นหูกันดี ความพิเศษที่ต่างจากประเภทอื่นเพราะมีความซ่า หรือเป็นไวน์มีฟองจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการหมักทำให้กินได้เพลินในบรรยากาศรื่นเริง มีแอลกอฮอล์ 8-14%

 

ผู้ชายคนไหนที่ใจฝักใฝ่ไวน์ที่หวานตามธรรมชาติขึ้นมาสักหน่อย และร่างกายต้องการแรงปะทะจากระดับแอลกอฮอล์ในไวน์ที่สูงขึ้นมาอีกระดับ เราก็ขอแนะนำให้รู้จัก Fortified Wine หรือ ฟอร์ติไฟด์ ไวน์ ซึ่งเป็นไวน์ที่มีการเติมแอลกอฮอล์จากบรั่นดีหรือวอดก้าลงไปในขั้นตอนการผลิต ผลที่ได้ก็คือไวน์จะมีรสชาติหวานตามธรรมชาติมากขึ้น และมักจะมีปริมาณแอลกอฮอล์ที่สูงขึ้น โดยมีปริมาณแอลกอฮอล์ประมาณ 17-22%

นอกจากนี้ ไวน์ยังแบ่งตามความหวานจาก Dry ถึง Sweet

  • Dry เหมาะกับผู้ชายสายดิบ เป็นไวน์ ที่ไม่มีความหวานเลย หรือมีน้ำตาลไม่เกิน 2 % เปี่ยมไปด้วยความเข้มข้น ที่ไม่มีความหวานเพราะ Dry Wine จะผลิตโดยการหมักให้น้ำตาลในองุ่นกลายเป็นแอลกอฮอล์จดหมด
  • Off-Dry หรือ Semi-sweet  เป็นไวน์ที่มีปริมาณน้ำตาล 2-4 % หวานเล็กน้อย คือไวน์ที่ยังปล่อยให้มีน้ำตาลในองุ่นอยู่บ้าง เพื่อลดความเปรี้ยวและเพิ่มกลิ่นชวนดมให้ไวน์
  • Sweet คือไวน์ที่มีปริมาณน้ำตาล 4 % ขึ้นไป เป็นไวน์รสชาติหวาน ผลิตแบบไม่ปล่อยให้น้ำตาลในองุ่นเสียไป ส่วนใหญ่จะมีระดับแอลกอฮอล์ต่ำที่สุด (ยกเว้นพวก Fortified Wine)

หลายครั้งที่เดินเข้าร้านไวน์ แล้วตาไวไปเห็นปี ค.ศ.ระบุอยู่บนฉลากไวน์ ผู้ชายอย่างเราก็คงพอจะเดาได้ไม่ยากว่ามันคือปีที่ผลิตของไวน์ขวดนั้น ๆ แต่ อ้าว ทำไมไวน์บางขวดถึงไม่มีปีที่ผลิตระบุไว้ล่ะ? ไวน์ปลอมหรือเปล่า ทำไมถึงไม่มีที่มาที่ไป? ไม่ต้องเก็บความสงสัยนั้นไว้กับตัวอีกต่อไป เพราะนั่นคือความแตกต่างขั้นเบสิคที่เราสังเกตเห็นได้ระหว่าง Vintage Wine กับ Non-Vintage Wine

แต่ความลุ่มลึกของ Vintage Wine กับ Non-Vintage Wine ไม่ได้จบอยู่แค่ปีที่ผลิตที่แปะหรือไม่แปะอยู่บนฉลากเท่านั้น แต่ยังมีความน่าสนใจอื่น ๆ รอให้เข้าใจอีกด้วย

  • Vintage Wine หรือไวน์โลกเก่า เหมาะสำหรับผู้ชายที่ชอบความยูนีคโดดเด่นเป็นตัวของตัวเอง เพราะ Vintage Wine เป็นไวน์ที่มีความเฉพาะตัวสูง แต่ละปีมีความแตกต่างกันไป เพราะสภาพอากาศของปีที่ผลิตแต่ละปีไม่เหมือนกัน ไวน์จึงออกมาแตกต่างกันไปด้วย โดยที่ฉลากของ Vintage Wine จะระบุปีที่ผลิตเอาไว้ เพื่อทำหน้าที่ประกาศบอกผู้ชายอย่างเราให้รู้ว่าไวน์ขวดนี้ผลิตจากองุ่นปีไหน จะไม่มีการผสมไวน์ข้ามปีให้สูญเสียความเป็นองุ่นปีนั้น ๆ และไม่มีการปรุงรสหรือปรับกลิ่นใด ๆ ทั้งสิ้น โดยชื่อของไวน์มักจะตั้งตามชื่อที่ที่ผลิต เช่น ชื่อเมือง ตำบล หมู่บ้านประเทศที่ผลิต ฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส อิตาลี เยอรมัน
  • Non-Vintage Wine หรือไวน์โลกใหม่เหมาะสำหรับคนที่ชอบความมาตรฐานคงที่ ไม่ชอบความสวิงสวายคาดเดาไม่ได้ เพราะ Non-Vintage Wine มีการเบลนดิ้งน้ำไวน์จากองุ่นหลาย ๆ ปี และใช้กระบวนการผลิตที่พึ่งพาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามามีส่วนร่วม ดังนั้นรสชาติของ Non-Vintage Wine จะเป็นมาตรฐานเหมือนกันทุกปีทุกขวด ทำให้ไม่ต้องระบุปีที่ผลิตไว้บนฉลากแต่อย่างใด เพราะได้ความสม่ำเสมอเหมือนกันทุกปีอยู่แล้ว ชื่อของไวน์จะตั้งตามชื่อพันธุ์องุ่นที่นำมาผลิตไวน์ขวดนั้นประเทศที่ผลิต ชิลี อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แอฟริกาใต้และอเมริกาเหนือ

บ่อยครั้งที่จับแก้วไวน์ ๆ ดู ๆ ดม ๆ แล้วจิบแล้วได้ยินคนพูดถึงบอดี้ของไวน์ จนเรางง ๆ ว่า เฮ้ย ไวน์ต้องมีบอดี้ด้วยเหรอ? บอดี้ของไวน์คืออะไร มันมาจากไหน เราจะเล่าให้ฟัง บอดี้ของไวน์มีที่มาจากปัจจัยสุดหลากหลาย แต่ปัจจัยหลักที่เอาไว้ไปคุยให้คนอื่นฟังได้แบบชิล ๆ เลยคือ “แอลกอฮอล์” ดังนั้นการรู้ว่าไวน์ขวดนั้นมีปริมาณแอลกอฮอล์เท่าไหร่จากฉลากที่แปะบอกไว้อยู่แล้วจึงเป็นทริคดี ๆ ที่เราจะรู้ว่าบอดี้ของไวน์ที่เรากำลังดื่มนั้นเป็นแบบไหน

  • Light-Bodied Wine ไวน์ไลท์บอดี้มักจะมีแอลกอฮอล์ต่ำกว่า 12.5% โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นไวน์ขาวและไวน์แดงอย่าง Pinot Noir ดื่มแล้วให้ความสดชื่น
  • Medium-Bodied Wine ไวน์ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ประมาณ 12.5-13.5% ถูกจัดให้เป็นไวน์ที่บอดี้กลาง ๆ ตัวอย่างไวน์บอดี้กลาง ๆ นี้ เช่น Rose, French Burgundy, Pinot Grigio และ Sauvignon Blanc
  • Full-Bodied Wine สำหรับขาไวน์ที่ชอบจัดหนักจัดเต็มก็ขอเชิญพบกับไวน์บอดี้หนักแน่น ที่มีแอลกอฮอล์ตั้งแต่ 13.5% ขึ้นไป โดยไวน์ฟูลบอดี้ส่วนใหญ่มักจะเป็นไวน์แดง เช่น Zinfandel, Syrah/Shiraz, Cabernet, Merlot และ Malbec แต่ไวน์ขาวที่บอดี้เต็มเหนี่ยวก็มีกับเขาเหมือนกัน เช่น Chardonnay ที่ถูกหมักบ่มในถังไม้โอ๊ค

 

ถ้าเป็นอย่างอื่น เรื่องภายนอกอาจไม่สำคัญ แต่กับเรื่องไวน์บอกได้คำเดียวว่าสำคัญตั้งแต่ภายในอย่างพันธุ์องุ่นยันเรื่องภายนอกอย่างแก้วที่ใช้บรรจุไวน์ เพราะการดื่มไวน์ถือเป็นศาสตร์และศิลป์อย่างหนึ่ง ผู้คนจึงได้พยายามเสาะแสวงหาแก้วไวน์ที่เหมาะสมกับไวน์แต่ละประเภท แก้วไวน์ที่ดีจะทำให้ไวน์แสดงรสชาติและเปิดเผยคาแรคเตอร์ที่แท้จริงออกมาได้มากที่สุด โดยแก้วไวน์ที่เหมาะกับไวน์แต่ละชนิดก็จะถูกดีไซน์ออกมาแตกต่างกันทั้งความสูง ความกว้าง รูปทรง ดังนั้นแก้วไวน์จึงส่งผลต่อการดื่มไวน์โดยตรงแน่นอน

  • Red Wine Glass ตัวแก้วใหญ่ ปากแก้วกว้าง เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับแก้วไวน์แดง เพราะไวน์แดงมีความซับซ้อนของกลิ่นและมีรสชาติเข้มข้น ที่สำคัญแก้วไวน์แดงควรใส เพื่อไม่ให้สีและเนื้อของแก้วไปรบกวนสีที่แท้จริงของไวน์ ทำให้เราสังเกตสีไวน์แดงได้ชัดเจน ไม่มีผิดเพี้ยน
  • White Wine Glass รูปแก้วไวน์ขาวควรมีลักษณะสูงเพรียว เพื่อให้รักษากลิ่นไว้ได้ดี และช่วยส่งไวน์ไปยังโคนลิ้น เพื่อให้ได้เราได้สัมผัสรสชาติของไวน์ได้หนักแน่นเต็มที่ รวมถึงรักษาอุณหภูมิความเย็นของไวน์ขาวไว้ได้ด้วย
  • Sparkling Wine Glass แก้วที่เหมาะกับ Sparkling คือแก้วที่ปากแก้วแคบแต่ทรงแก้วยาว เป็นการช่วยลดโอกาสไม่ให้ไวน์สัมผัสกับอากาศ เพื่อรักษาเอกลักษณ์ของ Sparkling Wine ซึ่งคือฟองและเพื่อคงความซ่าเอาไว้
GRAPE VARIETY: VITIS
RED VITIS

Variety ของไวน์กลายเป็นอีกหนึ่งคำที่ถูกพูดถึงกันมากในผู้ดื่มไวน์ โดย Variety ที่ว่านี้พูดถึงพันธุ์องุ่นที่นำมาผลิตไวน์ โดยสายพันธุ์องุ่นนี่ถือเป็นเรื่องสุดสำคัญ เพราะส่งผลต่อรสชาติไวน์ที่แตกต่างกันไปด้วย

  • PINOT NOIR

องุ่นสายพันธุ์ Pinot Noir เองขึ้นชื่อในเรื่องความใส่ใจและซับซ้อนในขั้นตอนการปลูก รวมไปถึงวิธีการดูแลรักษา เพราะต้องอยู่ในดินที่มีอุณหภูมิเฉพาะเท่านั้น และด้วยความยุ่งยากนี้เอง ที่ทำให้องุ่นสายพันธุ์ Pinot Noir มีอยู่น้อยนิดเท่านั้น เมื่อเทียบกับองุ่นพันธุ์อื่น ๆ ไวน์ Pinot Noir ขวดหนึ่งจึงมีราคาที่ไม่ย่อมเยาว์นัก แต่มันก็คุ้มค่า ที่จะลองลิ้มรสของ Pinot Noir ดี ๆ สักครั้ง ยิ่งเก็บไว้ก็จะยิ่งได้รสชาติที่ซับซ้อนและละมุนขึ้น

  • MERLOT

องุ่นสายพันธุ์ Merlot ถือเป็น หนึ่งในองุ่นพันธุ์ชั้นนำของโลก สามารถเจริญเติบโตได้ดีมาก ในสภาพอากาศหนาวเย็น ไวน์แดงแบบ Merlot ส่วนใหญ่มักมีเปอร์เซ็นต์แอลกอฮอล์ที่สูงกว่า ไวน์แดงที่ใช้องุ่นพันธุ์อื่น ๆ โดยปกแล้ว Merlot จะมีปริมาณ แอลกอฮอล์อยู่ที่ 13% ซึ่งถือว่าสูงใช้ได้เลยทีเดียว แต่รับรองว่ากลิ่นหอมหวานชื่นใจ ยิ่งบ่มในถังไม่โอ๊กนาน ๆ จะได้รสชาติที่ไม่หนักเกินไป แถมดื่มง่าย

  • CABERNET SAUVIGNON

สำหรับไวน์แดงที่มาจากองุ่นพันธุ์ Cabernet Sauvignon คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากมายนัก เพราะมันคือ เจ้าของสมญานาม “King of Red Grapes” หรือ “ราชาแห่งพันธุ์องุ่นโลก” เพราะเป็นพันธุ์องุ่นที่ปลูกเยอะที่สุดในโลก องุ่นสายพันธุ์นี้มีต้นกำเนิดมาจาก Bordeaux ทนสภาพอากาศทั้งหนาวและร้อน ให้รสชาติเปรี้ยวและฝาด

  • MALBEC

องุ่นพันธุ์ Malbec ที่คุณภาพดีที่สุดจะอยู่ที่ประเทศอาร์เจนตินา ความพิเศษคือการปลูกบนยอดเขาสูง ไวน์ที่ได้จากองุ่นพันธุ์ Malbec จะมีความเปรี้ยว ได้กลิ่นหอมผลไม้ที่ซับซ้อน ให้รสชาติร้อนแรงปนความฝาดที่หนักหน่วง โดยปัจจุบัน Malbec ยังเป็นหนึ่งใน 5 องุ่นไวน์แดงอันดับต้น ๆ ที่คนนิยม ยิ่งใครที่หัดจิบไวน์ใหม่ ๆ Malbec ถือเป็นทางเลือกที่ไว้ใจได้ และไม่ทำให้คุณต้องผิดหวังแน่นอน

  • SYRAH/SHIRAZ

องุ่นชนิดเดียว แต่มีถึง 2 ชื่อ เพราะใน Europe และ Califonia องุ่นชนิดนี้ถูกเรียกว่า Syrah แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ในประเทศ  Australia และ ใน South Afica หรือประเทศที่ผลิต Non-Vintage Wine จะเรียกพวกมันด้วยอีกชื่อก็คือ SHIRAZ แต่ความจริงของ สุดยอดไวน์แดงอย่าง Syrah/Shiraz นี้ เกิดขึ้นที่ Franch จากนั้น มันก็ได้กลายเป็น องุ่น Signature ของประเทศ Australia ไปซะอย่างนั้น จนในปี 2010 องุ่น Syrah/Shiraz ประมาณร้อยละ 23 จากทั้งหมด เป็น องุ่น Syrah/Shiraz ที่มาจากประเทศ Australia โดยมีรสชาติจัดจ้านโดดเด่น ให้กลิ่นหอมผลไม้สุกงอม

WHITE VITIS
  • SAUVIGNON BLANC

Sauvignon Blanc แปลว่า “Wild White” มันเป็นไวน์ขาวที่มีต้นกำเนิดจากหุบเขา Loire ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศสนอกจากที่หุบเขาแห่งนี้แล้ว อีกสถานที่นึงที่มีองุ่นพันธุ์หายากนี้ ก็คือ ที่ Marlborough ใน New Zealand เท่านั้น Sauvignon Blanc เป็นพันธุ์องุ่นที่ไวน์ขาว Light Bodied และ Medium Bodied มีความ Dry และมีความเป็นกรดสูง ผู้ดื่มจึงรู้สึกได้ถึงความเปรี้ยวสดชื่นมีชีวิตชีวา มันจึงเป็นไวน์ที่มีรสชาติหอมหวาน และง่ายต่อการดื่มมากที่สุดตัวนึง

  • CHARDONNAY

ชื่อขององุ่นพันธุ์ Chardonnay เชื่อว่า แม้แต่คนที่ไม่ศึกษาเรื่องไวน์อย่างลึกซึ้ง ก็เคยได้ยินผ่านหูกันมาอย่างแน่นอน และถ้าหาก ไวน์แดงอย่าง Cabernet Sauvignon ถูกยกย่องให้เป็น “King of Red Wine” ไวน์ขาวอย่าง Chardonnay ก็คงจะเป็น “Queen of White Wine” อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเป็นองุ่นขาวที่ปลูกเยอะที่สุดในโลก มีสีเหลืองอ่อนเหมือนสีน้ำผึ้ง รสชาติไม่เปรี้ยวมาก กลิ่นหอมซับซ้อนและให้ความสดชื่นได้เป็นอย่างดี

  • SEMILLON

องุ่นพันธุ์นี้สีเหลืองทอง และใครที่หลงใหลในความมีระดับและสง่างามยิ่งไม่ควรพลาด เพราะรสชาติและโครงสร้างของไวน์นั้นมีระดับเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อผสมกับองุ่นพันธุ์ Sauvignon Blanc เป็นไวน์หวาน จะได้ไวน์หวานชั้นเยี่ยมราคาสูง แถมเก็บไว้ได้อีกเป็นร้อยปีเลยทีเดียว

รสชาติของไวน์ที่เราได้ลองลิ้มชิมรสเข้าไปจึงมีที่มาจากพันธุ์องุ่นล้วน ๆ ยิ่งพันธุ์องุ่นมีคุณภาพดีมากเท่าไหร่เราก็จะยิ่งได้สัมผัสกับไวน์ที่มีรสชาติดีมากขึ้นเท่านั้น เราอาจสงสัยว่าแล้วองุ่นที่คุณภาพดีมันมีที่มาจากอะไรบ้าง? เราบอกได้เต็มปากเลยว่า ระดับความสูง (Altitude) ดิน (Soil) และ อากาศ (Climate) คือสิ่งที่มีความสำคัญสูงที่กว่าจะได้องุ่นพันธุ์ดีมาให้เราได้สัมผัส ไวน์ที่ดีจากองุ่นที่มีคุณภาพต้องมาจากระดับความสูง ดินและอากาศที่เหมาะสม

นั่นจึงเป็นสาเหตุให้องุ่นพันธุ์ที่มาจากเมืองเมนโดซา (Mendoza) ประเทศอาร์เจนตินามีความพิเศษหาตัวจับยาก เพราะเมืองเมนโดซาตั้งอยู่บนเทือกเขาแอนดีส (Andes) ซึ่งทำให้สภาพภูมิศาสตร์และภูมิอากาศเหมาะที่จะรังสรรค์ไวน์ชั้นเยี่ยมออกมาสู่นักดื่มไวน์ทั่วโลก พร้อมสรรพไปด้วยคุณสมบัติ 3 อย่างทั้ง ระดับความสูง (Altitude) ดิน (Soil) และ อากาศ (Climate) ที่เป็นปัจจัยให้ได้องุ่นพันธุ์ดีเพื่อผลิตไวน์ที่ควรค่าแก่การลิ้มลองสักครั้งในชีวิต

  • Altitude ด้วยระดับความสูงของ เทือกเขา Andes ทำให้อุณหภูมิตอนกลางวันจะมีแดด และร้อน ตกเย็นจะหนาวและมีลม ซึ่งส่งผลให้ช่วยชะลอความสุกของผลองุ่น ก่อให้เกิด การสะสมของรสชาติที่มากกว่า มองง่าย ๆ องุ่นก็เหมือนนักกีฬาที่เตรียมตัวแข่งโอลิมปิก ที่ต้องผ่านการเทรนขนาดหนักตอนกลางวัน (เจอแดดเยอะ ๆ เพื่อให้เกิดกระบวนการผลิตน้ำตาล) และพักผ่อนเยอะ ๆ ตอนกลางคืนในที่เย็น ๆ ลมโกรกสบายเหมือนเด็กน้อย
  • Soil องุ่นที่ให้น้ำไวน์ที่ดี จะต้องปลูกบนดินที่แห้ง ร่วน แต่มีแร่ธาตุสูง ซึ่งจะทำให้รากองุ่นต้องพยายามอย่างหนักเพื่อความอยู่รอด องุ่นต้องชอนไชรากลึกลงไปใต้ดินให้มากที่สุด เพื่อไปหาแหล่งน้ำ และเมื่อยิ่งรากลงไปลึก ๆ จะยิ่งเจอกับแร่ธาตุใต้ดินมากเท่านั้น ซึ่งส่งผลให้รสชาติไวน์มีความซับซ้อนหลากมิติมากขึ้น
  • Climate ถ้าสถานที่ปลูกองุ่นปลูกอยู่บนที่ Rain Shadow ทำให้องุ่นไม่โดนฝนหนัก ไม่เกิดความชื้น (เพราะความชื้นส่งผลให้เกิดเชื้อราและโรคได้ง่าย) ทั้งยังได้ประโยชน์จากลมที่นิ่งและแห้งซึ่งจะไหลผ่านไปที่องุ่นได้ดีมาก
TERRAZAS DE LOS ANDES

Terrazas จึงเป็นไวน์ที่ผู้ชายทุกคนไม่ควรพลาดด้วยความใส่ใจเต็มเปี่ยมของบริษัท Moët & Chandon ตั้งแต่แรกเริ่มบุกเบิกพื้นที่ปลูกองุ่นใหม่ (จากฝรั่งเศสที่เกิดโรคระบาดกับองุ่นทั่วประเทศในปี 1850) เดินทางสู่ประเทศอาร์เจนตินา และเฟ้นหาทำเลที่ดีที่สุดอย่างเมืองเมนโดซาจนพบจนก่อกำเนิดเป็นแบรนด์ Terrazas ในปี 1960

ความพิเศษของที่มาองุ่นพันธุ์ดีแห่งเมืองเมนโดซา คือทำเลที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอนดีสน้ำที่ไหลลงมาหล่อเลี้ยงต้นองุ่นจึงเป็นน้ำบริสุทธิ์ที่เกิดจากการละลายของหิมะบนยอดเขา รวมถึงอุณหภูมิที่แตกต่างกันในเวลากลางวันและกลางคืนทำให้ได้รสชาติองุ่นชั้นเลิศ จนเกิดเป็นไวน์ที่เราบอกว่าต้องลองให้ได้ในชีวิตนี้

 

RESERVA CHARDONNAY

องุ่นจากเทือกเขาแอนดีสที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,250 เมตร ทำให้องุ่นมีรสชาติแร่ธาตุชัดเจน มีความหอม ความสดชื่นที่โดดเด่นด้วยกลิ่นของผลไม้สีขาว ผสมผสานกับกลิ่นของผลไม้เมืองร้อน รสชาติมีความเข้มข้นที่เกิดจากการหมักบ่มในถังไม้โอ๊กนาน 8 เดือน รวมถึงรสสัมผัสที่นุ่มละมุนเหมาะแก่การชวนสาวสักคนมาดื่มด้วยกันจนเกิดเป็น “ความบาลานซ์และกลมกล่อมที่ลงตัว”

RESERVA CABERNET SAUVIGNON

ความพิเศษคือองุ่นพันธุ์ CABERNET SAUVIGNON ที่ใช้ในการทำไวน์นี้ถูกเก็บเกี่ยวด้วยมืออย่างอ่อนโยนในช่วงเวลาเฉพาะซึ่งจะได้ความหอมและเปรี้ยวตามธรรมชาติอย่างสมดุล ที่สำคัญการปลูกบนเทือกเขาแอนดีสที่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 980 เมตรทำให้องุ่นสุกเต็มที่ มีรสหวาน และก่อให้เกิดความฝาดที่นุ่ม และนี่แหละคือ “สุดยอดของรสสัมผัสที่สมบูรณ์แบบ”

RESERVA MALBEC

ความสูงจากระดับน้ำทะเลที่แตกต่างกันย่อมส่งผลให้เกิดความหลากหลายที่น่าลิ้มลองที่แตกต่างกันด้วย RESERVA MALBEC ได้องุ่นสายพันธุ์ MALBEC จากระดับความสูงเหนือน้ำทะเล 1,067 และเป็นหนึ่งในไวน์ MALBEC ที่คุณภาพดีที่สุดในประเทศอาร์เจนตินา และเราขอกระซิบบอกเลยว่าถ้าใครเป็นสายสเต็กเนื้อต้องไม่พลาดที่จะจับมาแพร์ริ่งกันเพราะ “ไวน์ชั้นเลิศอร่อยลงตัวกับสเต็กเนื้อชั้นเยี่ยมเป็นที่สุด”

SINGLE VINEYARD MALBEC

SINGLE VINEYARD MALBEC เป็นไวน์ที่ได้จากองุ่นสายพันธุ์ MALBEC ที่ไม่ผ่านการตกแต่งพันธุกรรม ปลูกมาตั้งแต่ปี 1929 ดังนั้นจึงมอบรสชาติสุดลุ่มลึกเต็มไปด้วยมิติและความซับซ้อน ผ่านการปลูกและเก็บเกี่ยวด้วยมือในช่วงเช้าตรู่ของวันเท่านั้น จึงได้ออกมาเป็นไวน์ที่ได้รับความหอมและซิตรัสตามธรรมชาติอย่างสมดุลที่สุด ที่สำคัญไปกว่านั้นนี่คือองุ่นที่ปลูกในไร่ LAS COMPUERTAS ซึ่งถือเป็นหนึ่งในไร่คุณภาพที่ดีที่สุดบนเทือกเขาแอนดีส และได้รับการยอมรับว่าปลูกองุ่นพันธุ์ MALBEC ได้ดีที่สุดในโลก นี่สิ “ที่สุดของรสสัมผัสอันสมบูรณ์แบบ” ที่ผู้ชายอย่างเราตามหา

UNLOCK WINE 101 วันนี้ก็ครบเครื่องทุกกระบวนท่าของไวน์ไปแล้ว แถมยังแนะนำ TERRAZAS ไวน์น่าลิ้มลองจากเทือกเขาแอนดีส เมืองเมนโดซา ประเทศอาร์เจนตินามาไว้เป็นทางเลือกดี ๆ ถ้าไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ที่เหลือก็เหลือแค่ผู้ชายอย่างเรา ๆ จะลงมือเลือกไวน์มาดื่มเองสักขวด ลิ้มรสดูว่าบทกวีที่เปี่ยมไปด้วยศิลปะอย่างไวน์มันจะลุ่มลึกสมคำร่ำลือแค่ไหน แต่ที่แน่ ๆ การเรียนรู้ WINE 101 พร้อมบอกที่มาและปัจจัยคุณภาพของพันธุ์องุ่นได้ ก็สร้างความคูลและมีมิติให้การดื่มไวน์เพื่อเข้าสังคมครั้งหน้าได้อย่างเท่ขึ้นแน่นอน

PSYCAT
WRITER: PSYCAT
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line