Entertainment

ROCKY BALBOA นักแพ้ผู้ยิ่งใหญ่ที่กลายเป็นตำนาน นักมวยทรงคุณค่าในดวงใจของใครหลายคน

By: Chaipohn January 27, 2022

ภายใต้ใบหน้าที่ที่ปูดโปนชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อผสมเลือดของไอ้หนุ่มม้าคึกชาวอิตาเลียน แม้การชกจะลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ให้กับนักชกรุ่นใหญ่ที่ใหม่และสดกว่า แต่ Rocky กลับชนะใจนักดูหนังมาตลอด 46 ปี จนได้รับฉายาว่า “นักแพ้ผู้ยิ่งใหญ่” ที่ไม่เพียงจะกลายเป็นหนังในดวงใจของใครต่อใครมากมาย แต่ยังกลายภาคต่ออันทรงคุณค่า และเดินหน้ากวาดรางวัลใหญ่อย่างออสการ์มาแล้ว

เรามาลั่นระฆังที่ความรู้จักกับนักชกแห่งโลกภาพยนตร์ผู้เกรียงไกร ที่ความพ่ายแพ้ชนะใจผู้ชมตลอดกาล “ROCKY”

ยกที่ 1: จากนักชกธรรมดาสู่ซูเปอร์สตาร์แห่งโลกฮอลลีวู้ด

หนัง Rocky เล่าเรื่องราวของนักมวยที่แสนจะธรรมดา Rocky Balboa เติบโตในย่านแหล่งเสื่อมโทรมของเมืองฟิลาเดลเฟีย อาชีพหลักของเขาคือการเป็นนักมวยในสังเวียนท้องถิ่นที่แพ้บ้างชนะบ้างตามยถากรรม ส่วนงานรองของเขาคือการตามทวงหนี้ แม้งานทวงหนี้จะเป็นงานที่ไร้เกียรติ แต่เขาก็แทบไม่เคยใช้กำลังกับลูกหนี้เลยสักครั้ง

เขามีความรักกับ Adrian Pennino สาวผู้เก็บตัวเงียบที่อยู่ในร้านขายสัตว์เลี้ยง จนชีวิตพลิกผันเมื่อนักชกสุดฮ็อต Apollo Creed แชมป์เฮฟวี่เวทที่ไม่เคยพ่าย ได้คัดเลือก Rocky นักชกโนเนมขึ้นสังเวียนที่เปลี่ยนเขากลายเป็นคนดังชั่วข้ามคืน แต่เพราะความกดดันที่ถาโถม รวมไปถึงความรักที่เขามีต่อ Adrian อย่างหมดหัวใจ ทำให้เขาทุ่มเทอย่างเต็มที่ในศึกครั้งนี้ แม้ชัยชนะจะดูริบหรี่ก็ตาม

เสน่ห์ของหนัง Rocky คือการนำเสนอภาพ Loser ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามอันแสนรันทดใจ แต่กลับประกายความหวังอันเรืองรองในฐานะหนังที่สร้างกำลังใจให้ผู้แพ้หรือคนตกอับ ให้ลุกขึ้นสู้ยิบตา แม้ว่าจะปราชัย แต่ชนะใจคนดูอย่างท่วมท้น 

แต่กว่าที่หนัง Rocky จะยืนหยัดในฐานะหนังคลาสสิคตลอดกาลในใจคนทั้งโลก มันกลับไม่ง่ายเลยกว่าที่จะได้สร้างมันออกมา


ยกที่ 2: แรงบันดาลใจ จากไฟต์หยุดโลก

หนัง Rocky ถือกำเนิดขึ้นจากการเขียนบทภายในเวลาเพียง 3 วันครึ่งของ Sylvester Stallone ที่ในช่วงเวลานั้น เขายังเป็นเพียงนักแสดงโนเนมที่ไม่มีแต้มต่อใด ๆ กับฮอลลีวูด

ผลงานการแสดงของเขาเรื่องแรกคือความอับอายเพราะเขาต้องรับบทในหนังโป๊แบบ Softcore แต่เพราะความอดอยากทำให้เขาต้องจำใจรับแสดง ขณะเดียวกันก็ได้ไปปรากฏตัวในฐานะตัวประกอบที่แทบไม่มีบทพูดใดๆ ดูเหมือนวงการบันเทิงจะไม่อ้าแขนต้อนรับเขาในฐานะนักแสดงที่หน้าตาไร้เสน่ห์แบบเขา เพียงแค่ใจรักอย่างเดียวไม่อาจจะช่วยเยียวยาปากท้องของเขาได้

กระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่เขาสิ้นหวัง เขาทุบกระปุกนำเงินก้อนสุดท้ายไปดูการชกครั้งสำคัญระหว่างแชมป์โลก Muhammad Ali ที่ต่อยกับนักชกโนเนม Chuck Wepner และหวังจะลาขาดจากวงการหนังเพื่อไปทำมาหากินอย่างอื่น

แต่การชกในครั้งนั้นกลับสร้างความประทับใจให้เขาอย่างรุนแรง เพราะ Chuck Wepner สู้อย่างสุดใจ แม้คู่ชกจะเป็นยอดขุนพลอย่าง Ali แต่การชกในครั้งนั้นก็สามารถทำให้ Ali ล้มลงได้ แม้จะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ แต่เลือดนักสู้ของ Chuck กลับจุดประกายให้ Stallone กลับไปเขียนบทหนังดราม่านักมวยภายในเวลา 3 วันครึ่ง แล้วเดินสายไปเสนอกับสตูดิโอในฮอลลีวู้ด

ค่ายหนังมากมายสนใจที่จะสร้างหนังนี้ แต่ก็ตัดสินใจแคนเซิลในนาทีสุดท้าย จากสาเหตุของตัว Stallone เอง


ยกที่ 3: มี Rocky ต้องมี Stallone

แม้ทุกค่ายจะสนใจในบทที่ Stallone เขียน แต่ทุกค่ายต่างก็ถอยทัพทั้งหมด เมื่อ Stallone ยื่นคำขาดว่า “ถ้าจะซื้อบทนี้ เขาต้องเล่นเป็นพระเอก” 

อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า Stallone นั้น ไม่ได้เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มันจึงเป็นเรื่องที่เสี่ยงมากที่จะให้นักแสดงโนเนมแบบเขารับบทบาท แม้ค่ายจะพยายามเสนอนักแสดงระดับเกรดเอในยุคนั้นอย่าง Robert Redford, Ryan O’Neal, Burt Reynolds หรือ James Caan แต่ Stallone ก็ยืนกรานว่าเขาต้องเล่นเอง

“ผมคงไม่มีวันให้อภัยตัวเอง หากหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ โดยที่ดารานำคนนั้นไม่ใช่ผม”


ยกที่ 4: เดินหน้าทำหนังด้วยทุนที่แสนจำกัด

แม้ว่าอีโก้ของ Stallone จะทำให้หลายค่ายต้องโบกมืออำลา ต่อให้บทที่เขียนมานั้นดีขนาดไหนก็ตาม

จนสุดท้ายฟ้าก็มีตา ค่าย UA. ก็ตัดสินใจยอมรับข้อเสนอนี้ แต่แลกเปลี่ยนด้วยทุนสร้างอันต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เพราะแทบไม่คาดหวังเลยว่าหนังเรื่องนี้จะสามารถดังได้หากใช้นักแสดงโนเนมแบบเขามาเล่น จากหนังฟอร์มใหญ่ที่หวังจะได้นักแสดงเกรดเอมาเล่น ก็ถูกบีบให้กลายเป็นหนังฟอร์มเล็กไปในที่สุด

แต่การหั่นงบกลับไม่ทำให้ Stallone รู้สึกรู้สาอะไร เพราะเขานั้นอดอยากจนชาชิน กลับดีเสียอีกที่หนังเรื่องนี้งบน้อย เพราะมันทำให้ Stallone ทำงานภายใต้ความกดดันที่น่าทึ่งได้ โดยเขาเลือกใช้ John G. Avildsen ผู้กำกับที่มีผลงานระดับกลางๆมาเป็นคนกำกับให้


ยกที่ 5: เดินหน้าถ่ายแบบกองโจร

และเพราะหนังถูกหั่นงบเหลือเพียงแค่ล้านเหรียญ เม็ดเงินทุกหน่วยจึงมีค่ามาก จนนำไปสู่การถ่ายทำแบบกองโจร มีหลายซีนในหนังที่ถูกเปลี่ยนสคริปต์เพื่อให้สามารถถ่ายทำได้ โดยเฉพาะฉากการนัดเดทระหว่าง Rocky และ Adrian ที่เปลี่ยนจากร้านอาหารเป็นลานสเก็ตน้ำแข็ง ที่ทีมงานต้องแอบเข้ามาถ่ายกลางดึกที่ร้างปราศจากผู้คน

การแก้ปัญหาเฉพาะหน้านั้นมีแทบทุกวัน เนื่องจากทีมงานต้องใช้มือสมัครเล่นว่างงานท้องถิ่นในเมืองฟิลาเดลเฟีย แต่นั่นก็ทำให้หนังเรื่องนี้มีเสน่ห์ในการทำงานท่ามกลางสภาวะอันแสนจำกัดจำเขี่ยได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมคนท้องถิ่นยังให้การต้อนรับกองถ่ายกองโจรนี้เป็นอย่างดี จนทำให้หนังเรื่องนี้มีความสมจริงและความเรียลอย่างมากในการถ่ายทำ


ยกที่ 6: การต่อสู้แบบถึงเลือดถึงเนื้อและถึงใจ

เสน่ห์ของหนัง Rocky คือการปฏิวัติการถ่ายซีนต่อยมวยอย่างสิ้นเชิง จากปกติฉากต่อยมวยในหนังเต็มไปด้วยความเฟคและความปลอม แต่ทีมงาน Rocky อยากให้เห็นด้านที่บอบช้ำและความเจ็บปวดของตัวนักมวยผู้แพ้ให้มากที่สุด พวกเขาจึงเน้นการต่อยแบบสมจริง เล่นจริงและเจ็บจริง

ภาพใบหน้ายับย่นของ Stallone ที่เห็นในแต่ละซีนจึงเป็นเครื่องหมายการันตีว่า “เขาคิดถูกแล้วที่ยืนกรานจะรับเล่นหนังเรื่องนี้ เพราะถ้าเป็นดาราหนุ่มเจ้าสำอางค์คนอื่น ๆ คงรับไม่ได้ที่ภาพบนจอเขาเต็มไปด้วยเลือดและรอยฟกช้ำขนาดนี้”

ซีนต่อสู้ใช้ฟิล์มในการถ่ายทำถึง 84,000 ฟุต รวมไปถึงต้องถ่ายทำด้วยกล้องหกตัว เพื่อเก็บภาพการต่อสู้ให้ได้มากที่สุด แถมตัว Stallone ยังต้องฝึกอย่างหนักในการจัดวางท่าทางให้ประสานกับการถ่ายทำ จนทำให้ภาพที่ออกมาทั้งสวยงามและดุดัน จนทำให้หลายคนต่างยกย่องซีนบนสังเวียนของหนังเรื่องนี้ว่า “เป็นความเจ็บปวดที่สวยงามบนจอภาพยนตร์”


ยกที่ 7: จากบันได Rocky สู่ อนุสาวรีย์ Rocky

ซีนที่ทรงพลังซีนหนึ่งในหนํง คือซีนการฝึกซ้อมของ Rocky ประกอบสกอร์อันทรงพลังของ Bill Conti ซึ่งมันกลายเป็นแทรคคลาสสิคตลอดกาลไว้ใช้สำหรับเปิดตัวนักมวยในไฟต์สำคัญ ๆ จวบจนปัจจุบัน โดยฉากนี้เป็นการรวมภาพการฝึกซ้อมก่อนจะจบลงที่การขึ้นบันไดชูไม้ชูมือแสดงออกถึงการชนะใจตัวเอง

โดยซีนนี้ทีมงานได้เลือกไปถ่ายทำที่ Philadelphia Museum of Art หรือพิพิธภัณฑ์ศิลปะฟิลาเดลเฟีย ซึ่ง บันได 72 ขั้นนี้ ถูกเรียกว่า “Rocky Steps” และกลายเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่นักมวยทั่วโลกต้องไปสักการะ หรือคนที่กำลังทุกข์ใจและพ่ายแพ้ต่อชีวิตต้องเยี่ยมเยือนเพื่อก้าวข้ามทุกอุปสรรคขวากหนาม สถานที่นี้จึงกลายเป็นสถานที่ยอดฮิตที่คนรักหนัง Rocky ต้องไปเยี่ยมเยือนมัน

ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ก็ยอดฮิตจนพิพิธภัณฑ์ต้องสร้างอนุสาวรีย์ Rocky เอาไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความมุ่งมั่นทะเยอทะยานเพื่อให้คนทั้งโลกมาเช็คอินถ่ายรูปคู่กันเป็นธรรมเนียม


ยกที่ 8: กระแสแรงตั้งแต่ยังถ่ายไม่เสร็จ

แม้ว่าค่าย UA จะให้ทุนสร้างหนังในแบบต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่พวกเขาก็ไม่ไว้ใจและเชื่อใจกองถ่ายกองนี้อยู่ดีว่าหนังจะออกมาโอเคหรือไม่ จนโปรดิวเซอร์ที่ดูแลและควบคุมหนังเรื่องนี้ ต้องหาทางทำอะไรสักอย่างเพื่อให้นายทุนเชื่อใจ เขาจึงจัดฉายรอบทดลองโดยที่ยังถ่ายทำและตัดต่อไม่เสร็จ

ซึ่งนักศึกษาในหลายสถาบัน รวมไปถึงผู้ชมทั่วไปจำนวน 400 คน ต่างมีปฏิกิริยาในเชิงบวกของหนังอย่างท่วมท้น เสียงปรบมือกึกก้องทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ได้ดูซีนไคลแมกซ์สุดท้าย สร้างความมั่นใจให้กับค่ายหนังอย่างมาก

พวกเขาจึงยอมทุ่มเงินในการโปรโมทประชาสัมพันธ์อย่างเต็มที่เพื่อให้หนังเรื่องนี้โด่งดังระดับปรากฏการณ์ โดยวางงบประชาสัมพันธ์ไว้สูงถึง 4 ล้านเหรียญ หรือ 4 เท่าจากงบการสร้างของหนังเลยทีเดียว


ยกที่ 9: ม้ามืดคว้ารางวัลออสการ์ เดินหน้าเป็นหนังทำเงินแห่งปี

จนเมื่อหนังออกฉาย Rocky กลายเป็นม้ามืดในฐานะหนังทำเงินสูงสุดแห่งปี 1976 แถมยังดังข้ามปีด้วยการฉายยาวนานกว่า 8 เดือน ทำรายได้ทั้งหมดทั่วโลกสูงถึง 225 ล้านเหรียญ โดยเทียบอัตราเงินเฟ้อปัจจุบันหนังทำรายได้ระดับ 1 พันล้านเหรียญเลยทีเดียว

ขณะเดียวกันเมื่อถึงช่วงเทศกาลกวาดรางวัลกระแส Rocky ก็สามารถพาตัวเองไปได้ไกลจนถึงเวทีรางวัลออสการ์ จนกลายเป็นหนังเกี่ยวกับนักมวยเรื่องแรกที่คว้ารางวัลสูงสุดนั่นคือภาพยนตร์ยอดเยี่ยมนั่นเอง

นอกจากนั้น John G. Avildsen ยังคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมไปครอง รวมไปถึงรางวัลลำดับภาพยอดเยี่ยมอีกด้วย และลิสต์หนังยอดเยี่ยมตลอดกาล ก็มักจะมีชื่อ Rocky เด่นตระหง่านรวมอยู่ในลิสต์นั้นอยู่เสมอ


ยกที่ 10: ยืนหยัดสู่หนังภาคต่ออันทรงคุณค่า

Rocky ไม่ใช่เพียงหนังทำเงินที่คว้ารางวัลยิ่งใหญ่อย่างออสการ์ แต่ยังแจ้งเกิดนักแสดงอย่าง Sylvester Stallone ให้กลายเป็นซูเปอร์ในชั่วข้ามคืน นอกจากนั้นยังเป็นภาคต่ออันทรงคุณค่าที่ตามมาอีกหลายภาค จากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูกใน Creed ที่แตกหน่อสร้างจักรวาลแห่งนักชก สืบต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

และนี่คือเรื่องราวแห่งนักชกจอมพ่ายที่กลายเป็นตำนาน และถูกเล่าขานในฐานะ “นักแพ้ผู้ยิ่งใหญ่ที่ชนะใจคนดูหนังทั่วทั้งโลก” จวบจนปัจจุบัน

Chaipohn
WRITER: Chaipohn
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line