Life

THE PROFILE : สดุดีแด่ “SERGIO AGUERO” ตำนานนักเตะผู้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้

By: JEDDY December 18, 2021

นับเป็นข่าวที่น่าเสียดายสำหรับวงการฟุตบอล เมื่อ Sergio Agüero กองหน้าระดับเวิร์ลคลาสทีมชาติอาร์เจนตินา และสโมสรบาร์เซโลนา ตัดสินใจประกาศแขวนสตั๊ดด้วยวัยเพียง 33 ปี เนื่องจากมีปัญหาของภาวะหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ 

อาการดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม ในเกมที่พบกับอลาเบสเมื่อเดือนตุลาคม หลังจากนั้น Agüero ก็ได้รับการรักษาจากทีมแพทย์อย่างใกล้ชิด ซึ่งตัวเขาเองก็พยายามต่อสู้และมีความหวังที่จะกลับมาลงเล่นฟุตบอลอีกครั้ง แต่สุดท้ายมันกลับไม่เป็นอย่างที่คิดเพราะทีมแพทย์ได้แนะนำให้ Agüero เลิกเล่นเพื่อความปลอดภัยของตนเอง แต่มันก็แลกมาด้วยความเจ็บปวดที่ต้องหันหลังให้กับสิ่งที่เขารักมาตลอดชั่วชีวิต

สิ่งที่ Sergio Agüero ได้ฝากไว้ให้กับวงการฟุตบอลถือว่ายิ่งใหญ่มาก เขาคือกองหน้าสุดแสนอันตราย สร้างความปั่นป่วนให้แนวรับฝั่งตรงข้ามด้วยทักษะและความรวดเร็ว มีสถิติการยิงประตูที่ยอดเยี่ยม และมีฝีเท้าระดับโลกอย่างไม่ต้องสงสัย เขาเริ่มเจิดจรัสฉายแสงความเก่งกาจนับตั้งแต่เป็นนักเตะระดับเยาวชน ณ สโมสรอินดิเพนเดนเต้


ทำลายสถิติ DIEGO MARADONA ด้วยวัยเพียง 15 ปี

Sergio Agüero เริ่มต้นความฝันบนผืนหญ้าในสนามฟุตบอลด้วยวัยเพียง 9 ขวบ ในฐานะนักเตะเยาวชนของทีมอินดิเพนเดนเต้ เขาได้รับแรงบันดาลใจอาชีพนักฟุตบอลมาจากคุณพ่อของเขา 

Agüero ใช้เวลาบ่มเพาะฝีเท้าอยู่กับทีมเยาวชนหลายปี จนกระทั่งในวันที่ 5 กรกฎาคม ปี 2003 เขาก็ได้สัมผัสเกมในทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในฐานะตัวสำรองในเกมที่พบกับทีมคลับ แอตเลติโก ซาน ลอเรนโซ่ เด อัลมาโกร

Agüero ลงมาเป็นตัวสำรองในนาทีที่่ 69 แทนที่ Emanuel Rivas ทันทีที่เขาก้าวข้ามเส้นสนามเข้าไปสถิติใหม่ได้บังเกิดทันที Agüero ได้กลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ได้ลงเล่นในลีกสูงสุด ทำลายสถิติของ Diego Maradona ที่ครองมานานกว่า 27 ปีลงไปได้

แต่หลังจากนั้นเขายังไม่ได้รับโอกาสลงเล่นทีมชุดใหญ่มากนัก แต่ก็ยังโชคดีที่ได้สัมผัสฟุตบอลชิงแชมป์ระดับสโมสรของดินแดนละตินอเมริกาที่มีชื่อว่า “โคปา ลิเบอร์ตาดอเรส” ในเกมรอบแบ่งกลุ่มที่ทีมอินดิเพนเดนเต้ เอาชนะทีมเปรูเซียนเซียโน่ไปได้ 4-2 ทำให้ Agüero ทำลายสถิติอีกครั้งด้วยการเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ได้ลงเล่นในโคปา ลิเบอร์ตาดอเรส ซึ่งสถิติที่ 2 นี้เกิดขึ้นหลังจากสถิติแรกเพียง 7 เดือนเท่านั้น ตามมาด้วยปี 2005 เขาถูกเรียกไปติดทีมชาติชุดยู-20 เพื่อเข้าแข่งขันชิงแชมป์โลกที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ และก็เป็นอาร์เจนตินาที่คว้าแชมป์ได้ นักเตะในชุดนั้นนอกจาก Sergio Agüero ยังมีแกนนำอย่าง Lionel Messi, Pablo Zabaleta และ Ezequiel Garay ติดทีมไปด้วย

Agüero ใช้เวลาอยู่กับทีมชุดใหญ่ของอินดิเพนเดนเต้อยู่ 4 ฤดูกาล เขาค่อย ๆ ได้รับโอกาสทีละเล็กทีละน้อยก่อนจะยึดตัวจริงได้ถาวรในฤดูกาล 2005-2006 พร้อมกับระเบิดฟอร์มซัดไป 18 ประตูจากการลงเล่น 35 นัด ทำให้ไปเตะตาบรรดาแมวมองทีมชั้นนำจากยุโรปมากมาย และโชคชะตากำลังจะพาเขาไปสู่จุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ในอาชีพนักฟุตบอล


สำแดงเดช ณ ดินแดนกระทิงดุ

แม้ว่าจะตกเป็นข่าวกับมากมายหลายทีม แต่สุดท้ายเป็นแอตเลติโก มาดริด ได้ลายเซ็นของเจ้าตัวไปครองพร้อมกับจ่ายค่าตัวประมาณ 20 ล้านยูโร ทำลายสถิตินักเตะค่าตัวสูงที่สุดในสโมสร ณ เวลานั้น 

แต่สำหรับทีมตราหมี Agüero เริ่มต้นได้ไม่สวยเท่าไหร่เพราะไปสร้างวีรกรรมใช้มือทำประตูในเกมที่เอาชนะรีครีเอติโว่ ฮูเอลวา เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ปี 2006 จนส่งผลให้เขาได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบมากมาย รวมไปถึงในฤดูกาลนั้นกองหน้าตัวหลักยังคงเป็น Fernando Torres ทำให้โอกาสที่จะโชว์ฝีเท้าอย่างแท้จริงยังคงถูกจำกัดอยู่

ในฤดูกาลถัดมาทุกอย่างก็ลงล็อกเมื่อ Torres ตัดสินใจย้ายออกไปลิเวอร์พูล หวยจึงมาออกที่ Agüero และเขาก็ใช้โอกาสได้อย่างคุ้มค่าตอบแทนความไว้วางใจของทีมได้อย่างสาสมใจ ตลอดระยะเวลา 5 ฤดูกาลเขาพาทีมคว้าไปทั้งหมด 2 รายการ ได้แก่ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ในฤดูกาล 2009-2010 และยูฟ่า ซุปเปอร์คัพ ในปี 2010 ลงเล่นไปทั้งสิ้น 234 นัด ยิงไป 101 ประตู เขาได้กลายร่างจากผู้ร้ายเป็นขวัญใจของทีมแอตเลติโก มาดริดไปเป็นที่เรียบร้อย

ด้วยความคงเส้นคงวาของฟอร์มการเล่นในถิ่นเอสตาดิโอเมโตรโปลิตาโน ทำให้ชื่อของ Sergio Agüero ตกเป็นข่าวการย้ายทีมอีกครั้ง 


ประตูแห่งประวัติศาสตร์ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้

การจากลาดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติสำหรับวงการฟุตบอล แม้คุณจะผูกพันธ์กับสโมสรขนาดไหน แต่ถ้าความสำเร็จมันยังไม่มากพอ หรือบางคนค่าเหนื่อยได้รับตอบแทนแบบไม่เป็นที่น่าพอใจ การโยกย้ายไปสู่อีกสโมสรจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด 

Sergio Agüero ตัดสินใจเก็บกระเป๋าย้ายจากลาลีกามาสู่พรีเมียร์ลีกกับทีมเรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์พร้อมด้วยสัญญา 5 ปี การเข้ามาสู่ถิ่นเอติฮัด สเตเดียม มันมาพร้อมกับความคาดหวังจากแฟนบอลที่ต้องการเห็นทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดมากจากทีมเพื่อนบ้านอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ให้ได้ 

ฤดูกาล 2011-2012 Agüero ลงเล่นภายใต้การคุมทีมของ Roberto Mancini กุนซือชาวอิตาเลียน พร้อมด้วยนักเตะซุปเปอร์สตาร์คับคั่งไม่ว่าจะเป็น Vincent Kompany, James Milner, Carlos Tevez, David Silva, Yaya Touré, Mario Balotelli และ Samir Nasri เป็นยุคที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีนายทุนที่มีความมั่งคั่งทางการเงินและมีทุกอย่างที่ต้องมีไม่ต่างจากทีมใหญ่ทีมอื่น 

แม้พรีเมียร์ลีกจะขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่ง มีนักเตะมากมายที่ต้องใช้เวลาปรับตัวหรือบางคนก็ไม่รอดต้องย้ายทีมออกไปก็มีให้เห็นในหลาย ๆ เคส แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของ Agüero เพราะเขาสามารถเล่นได้ราวกับว่าคุ้นชินกับลึกนี้เป็นอย่างดี ยังคงเดินหน้าผลิตสกอร์สำคัญให้ทีมได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเกมที่ไล่ถล่มทีมปีศาจแดงแบบเละเทะถึง 6-1 ซึ่ง Agüero ก็มีชื่อคนทำสกอร์รวมอยู่ด้วย

การแข่งขันแย่งแชมป์ของ 2 ทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์คู่คี่และสูสีเป็นอย่างมาก คะแนนเบียดกันมาตลอด มีสลับกันขึ้นตำแหน่งจ่าฝูง จนกระทั่งเดินทางมาในเกมสุดท้ายที่ต้องพบกับควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ ในตอนนั้นซิตี้และยูไนเต็ดมีคะแนนเท่ากัน แต่ฝั่งสีฟ้ามีลูกได้เสียที่ดีกว่า เพราะฉะนั้นนัดนี้หากแมนเชสเตอร์ ซิตี้จะได้แชมป์ต้องชนะสถานเดียว ส่งผลให้ความตึงเครียดเกิดขึ้นโดยทันที 

ตลอดระยะเวลา 90 นาทีจนกระทั่งเข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ สกอร์เสมอกันอยู่ที่ 2-2 และเกมของทีมฝั่งปีศาจแดงจบไปก่อน ซึ่งทีมปีศาจแดงถือถ้วยแชมป์รอแล้วเพราะพวกเขาสามารถเอาชนะซันเดอร์แลนด์ไปได้ 1-0 เกมทำท่าจะจบลงด้วยความผิดหวังของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่แล้วปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้น ในนาทีที่ 93 Sergio Agüero กระชากหนีกองหลังเข้ากรอบเขตโทษซัดบอลผ่านมือผู้รักษาประตูเข้าไปสู่ก้นตาข่ายได้สำเร็จ โลกทั้งใบเหมือนหยุดนิ่งไปชั่วคราว Agüero วิ่งดีใจด้วยความสะใจถอดเสื้อแล้วเหวี่ยงไปมาอย่างบ้าคลั่ง เพื่อนร่วมทีมเฮกันเข้ามากอดฮีโร่ชาวอาร์เจนติน่าของทีม แฟนบอลต่างกระโดดโห่ร้องกันด้วยความตื้นตันใจ เหล่าบรรดาผู้จัดการทีมและสตาฟฟ์โค้ชต่างปลดปล่อยความดีใจอย่างไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้ Agüero ทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์สโมสร และเป็นแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษที่รอคอยมานานกว่า 44 ปี

Sergio Agüero ใช้เวลาอยู่ในถิ่นเอติฮัด สเตเดียม ถึง 10 ฤดูกาลเต็ม ๆ คว้าถ้วยรางวัลมาประดับสโมสรมากมาย โดยเฉพาะพรีเมียร์ลีกที่ได้แชมป์รวมกันถึง 5 ครั้ง, ลีกคัพ 6 ครั้ง, เอฟ.เอ.คัฟ และคอมมิวนิตี้ชีลด์อีกอย่างละ 1 ครั้ง แต่น่าเสียดายที่พลาดการคว้าถ้วยยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกไป หลังจากที่แพ้เชลซีในรอบชิงชนะเลิศไป 0-1 เมื่อฤดูกาล 2020-2021

Agüero ลงเล่นให้กับเรือใบสีฟ้าไปทั้งหมด 390 นัด ยิงไปทั้งหมด 260 ประตู ทำให้เขาครองตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดของสโมสรไปเป็นที่เรียบร้อย


ความฝันสลายและการรีไทร์ที่บาร์เซโลน่า

หลังจากที่อิ่มตัวกับความสำเร็จในประเทศอังกฤษ Sergio Agüero ยังมีอีกหนึ่งความฝันคือการเล่นร่วมกับเพื่อนซี้ Lionel Messi ทำให้เขาตัดสินใจเลือกย้ายกลับไปที่ประเทศสเปนอีกครั้งเพื่อร่วมเล่นกับทีมบาร์เซโลน่า แต่ฝันของเขาต้องสลายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อสโมสรใหม่ของเขาประสบปัญหาทางการเงินอย่างรุนแรง และหวยก็ไปออกที่ Messi ที่ต้องย้ายออกไปยังสโมสรเปแอสเช แต่เรื่องร้าย ๆ ยังไม่จบเพียงแค่นั้นเพราะเขาเริ่มต้นด้วยอาการบาดเจ็บ กว่าจะได้ลงเล่นก็เข้าสู่เดือนตุลาคมแล้ว เท่านั้นยังไม่พอ Agüero ยังมีปัญหาหัวใจเต้นผิดจังหวะจนสุดท้ายต้องตัดสินใจรีไทร์พร้อมทั้งน้ำตา โดยมีโอกาสลงเล่นเพียง 5 นัดเท่านั้น เป็นการปิดฉากตำนานของ Sergio Agüero ในวงการฟุตบอลไปอย่างน่าเสียดายด้วยวัยเพียง 33 ปีเท่านั้น 

ส่วนผลงานกับทีมชาติอาร์เจนตินา เขาลงเล่นไปทั้งหมด 101 นัด ยิงไป 41 ประตู และคว้าแชมป์โคปาอเมริกามาได้ในปี 2021 

น่าเสียดายที่เราจะไม่ได้เห็น Sergio Agüero กองหน้าระดับเวิร์ลคลาสในสนามอีกแล้ว อย่างไรก็ตามผลงานและฝีเท้าที่เขาได้ฝากเอาไว้จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักฟุตบอลโดยไม่รู้จบอย่างแน่นอนครับ

JEDDY
WRITER: JEDDY
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line